บทที่ 213 ศึกราชัน (1)
เมื่อซูเฉินจากไป อานู๋ปี่จึงเริ่มถอย
ราชาผู้บ้าคลั่งแห่งชนเผ่าเพลิงลืมเรื่องสร้างประวัติศาสตร์ไปสิ้น ตอนนี้เพียงอยากออกไปจากที่นี่โดยเร็วเพื่อหลบให้พ้นการไล่ล่าของจักรพรรดิอสูรกาย
กู่ฉาเอ่ย “ฝ่าบาทไปเถอะขอรับ ข้าจะจัดการแนวป้องกันที่นี่เอง”
ราชาไปได้ แต่ผู้บัญชาการอย่างกู่ฉาจะทิ้งกองทัพไม่ได้
อานู๋ปี่เหลือบมอง “เช่นนั้นก็ฝากด้วย”
เขาหมุนตัวจากไปไม่ลังเล
กู่ฉาถอนใจให้เงาร่างของอานู๋ปี่
ไม่แน่ว่าข่าวการตายของเขา ราชาไร้ความสามารถนั่นก็คงเห็นเป็นเรื่องยินดีกระมัง
เขาถูคอเสื้อตนแล้วมองไปไกล
ในตอนนี้ วังลอยฟ้าสีเลือดพยายามฝ่าวงล้อมของทัพคนเถื่อนอย่างเต็มกำลัง หากเป็นปกติเมื่อมันเคลื่อนมาถึงตรงนี้ อานู๋ปี่และกงกู๋เอ่อร์ถูก็คงถอยไปได้ไกลแล้ว
แต่ตอนนี้วางลอยฟ้ากลับปล่อยหมอกสีแดงดูหน้าประหลาดออกมาเป็นระลอกคลื่น พริบตาเดียวก็ปกคลุมไปทั่วทั้งสนามต่อสู้ ไม่ว่าพลังต้นกำเนิดโดยรอบจะผันผวนรุนแรงแค่ไหน หรือการโจมตีรุนแรงเพียงใด แต่ ‘ริบบิ้น’ ริ้วสีแดงนี้ก็ไม่สลายหายไป
พริบตาต่อมาเงาร่างก็เพิ่งออกจากวัง เดินมาตามเส้นที่ทางหมอกริ้วสีแดงแผ่ออกมา
เงาร่างนั้นเป็นบัณฑิตวัยกลางคน ถือไม้เท้าฝังอัญมณี 3 เม็ด ระหว่างที่เดินตามทางออกมาดูสบายใจยิ่งนัก แต่ทุกก้าวเดินพาเงาร่างก้าวไปไกล แท้จริงแล้วเขาไม่ได้กำลังเดิน แต่หมอกยาวเป็นระลอกคลื่นพาเขาเคลื่อนที่ไปด้านหน้าต่างหาก ทำให้มาปรากฏอยู่ตรงหน้ากู่ฉาในพริบตา
ลำแสงคมกริบแหวกว่ายไปในอากาศ
ในฐานะนักรบอารามขั้นสุดที่ผ่านการเจิมน้ำมนต์มาแล้วถึง 5 ครั้ง กู่ฉาปลดปล่อยกำลังที่เกิดจากความเข้าใจในวิถีแห่งดาบออกไปอย่างเต็มที่ ดูเหมือนเรียบง่าย แต่ก็อัดแน่นไปด้วยไอสังหารหนาแน่น จังหวะนั้น คมดาบราวกับจะแยกภูผาแยกฟ้าได้
กระทั่งกู่ฉายังรู้สึกว่าท่าดาบของตนเองเมื่อครู่งดงามที่สุดนับตั้งแต่ลืมตาดูโลกมา ใจสีเลือดคงต้องถูกบีบให้ต้องถอยไปอย่างเลี่ยงไม่ได้
แต่เขาคิดผิดไป
ใจสีเลือดยังคงเดินหน้าต่อ ไม่เร็วไม่ช้าจนเกินไป ทั่วทั้งร่างเหมือนจะกลายเป็นภาพมายา
เมื่อถูกดาบของกู่ฉา เขาก็ไม่คิดปัดป้องหรือหลบเลี่ยง แต่กลับเดินต่อไปอย่างนิ่งสงบ
ดาบของกู่ฉาฟันผ่านร่างใจสีเลือด แต่กลับไม่ถูกสิ่งใด
คล้ายกับว่าใจสีเลือดไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้ แต่อยู่ในโลกอื่น
จังหวะนั้นไม้เท้าในมือใจสีเลือดจึงเริ่มส่องแสง
พูดให้ถูกคืออัญมณีสีเข้มกำลังเรืองแสง
ริ้วแสงสีดำพุ่งเข้าปะทะกู่ฉา ทำให้ร่างเขาค่อย ๆ แก่ตัวลง
กระทั่งพลังชีวิตอันทรงพลังของกู่ฉาและพลังต้นกำเนิดยังไม่อาจหยุดยั้งได้ ได้แต่มองร่างกายตนเองแก่เฒ่าลงเรื่อย ๆ พลังชีวิตหดหาย
“อา……” นักรบผู้ดุดันถอนหายใจเสียงเบา “แสงสีดำแห่งความตาย……”
เขาพยายามรวบรวมกำลังชีวิตที่ยังเหลืออยู่ภายในร่าง แสงสีดำจางลงเล็กน้อย
“หือ ?” ใจสีเลือดที่กำลังก้าวเดินหยุดทันที
เขาหยุดแล้วก็ราวกับเวลาหยุดหมุน ระลอกคลื่นสีแดงหยุดขยับ และแม้แต่เลือดสดก็ดูเหมือนจะเริ่มแข็งตัว
ใจสีเลือดเผยนัยน์ตาชื่นชมแล้วจ้องกู่ฉา “เป็นนักรบคนเถื่อนที่แข็งแกร่งโดยแท้ น่าเสียดายที่อยู่แค่ขั้นราชัน”
ยามโบกมืออีกครั้ง หมอกดำก็พุ่งออกมาเข้ากัดกินกู่ฉาทั้งร่าง
หลังจัดการแล้ว ใจสีเลือดก็ย่างก้าวต่อ
เขายังเดินเชื่องช้าเหมือนแต่ก่อน แต่ระยะห่างระหว่างเขากับอานู๋ปี่กลับสั้นลงเรื่อย ๆ
ในที่สุดก็อยู่ห่างจากอานู๋ปี่แค่เอื้อม
เขาเอ่ยเสียงเบา “อานู๋ปี่แห่งเผ่าเพลิงผู้ยิ่งใหญ่ หากยอมส่งของที่ชิงไปคืนมา ข้าก็ลืมความแค้นได้ ทั้งยังจะส่งลูกน้องสัตว์อสูรนับหมื่นให้ด้วย เลือดเนื้อของพวกมันน่าจะพอกับสิ่งที่เจ้าสูญเสียไปได้”
อานู๋ปี่ส่ายหน้า “เจ้าพูดอะไรข้าไม่รู้เรื่อง”
ใจสีเลือดมุ่นคิ้ว “นั่นไม่ใช่คำตอบที่ข้าต้องการ”
“และจะเป็นคำตอบเดียวที่เจ้าจะได้ยิน !” นักรบคนเถื่อนผู้กล้าหาญและดุดันตะโกนลั่นพร้อมกับเขวี้ยงขวานมือใส่ใจสีเลือด
สายฟ้าเส้นหนึ่งวาดลงจากฟ้าผ่าลงมาที่ขวาง เติมเต็มพลังสะท้านพิภพให้อาวุธ
แต่ใจสีเลือดกลับไม่เห็นมันสำคัญ ไม่จำเป็นต้องทำสิ่งใดเพื่อรับมือด้วยซ้ำ
เขาเพียงโบกมือเบา ๆ ก็หยุดขวานมือไว้ได้ ขวานมือลอยอยู่ในอากาศ ส่วนเขาก็หันไปมองอานู๋ปี่ “นี่คือคำตอบสุดท้ายงั้นหรือ ?”
ใจสีเลือดถือว่าตนเองเป็นคนชั้นสูงในหมู่สัตว์อสูร ดังนั้นจึงเลือกวิถีสุภาพชน เว้นเสียแต่ว่าโกรธจนคุมตนเองไม่ได้ จึงไม่ค่อยเห็นเขาเสียการควบคุมตนเองบ่อยนัก
ในตอนนี้เขาใช้น้ำเสียงข่มขู่ แสดงให้เห็นถึงความขุ่นข้องหมองใจ เขาไม่มีเวลาให้เสียมาก ด้านหลังยังมีคนเถื่อนที่พยายามรุดเข้ามาอีก
แต่อานู๋ปี่ก็ยังล่าถอย
ในเรื่องกำลัง เขาเป็นนักรบอารามขั้นสุด ผ่านการเจิมน้ำมนต์มาแล้วถึง 6 ครั้ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นคนแข็งแกร่งโดยแท้จริง เขาขาดประสบการณ์การต่อสู้จริง ขาดความกล้าในการสู้ตัดสินเป็นตาย ทำให้ความแข็งแกร่งที่แท้จริงอาจจะต่ำกว่ากู่ฉา
อานู๋ปี่ไม่เคยคิดจะสู้แลกชีวิต กระทั่งคนจากเผ่าที่มีจิตใจกล้าหาญดุดัน พอใช้ชีวิตเสื่อมทรามเข้าหลายปีก็กลายเป็นคนอ่อนแอได้
ดังนั้นเขาจึงเลือกหนีไม่ลังเล
“เจ้าทำข้าผิดหวังนัก !” ใจสีเลือดหมดความอดทนแล้ว
เขายกไม้เท้าสามสีของเขาขึ้นไปในอากาศอย่างใจเย็น แสงสีน้ำเงินเริ่มสาดส่องลงมาตรงหน้า
มันแผ่กระจายไปที่พื้นอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ได้ทำอันตรายสิ่งใด เพียงแต่ขยายออกไปไม่หยุดก็เท่านั้น
เมื่อจะแตะโดนตัวอานู๋ปี่ มือของชายชราผู้หนึ่งก็ทำท่าทางให้หยุด
และแสงสีน้ำเงินก็หยุดจริง ๆ
คือกงกู๋เอ่อร์ถู
ชายชราจ้องใจสีเลือด “ฝ่าบาท เราไม่มีสิ่งที่ท่านต้องการ”
ใจสีเลือดยังใช้ไม้เท้าต่อ แสงสีน้ำเงินกระจายกลายเป็นแสงจุดเล็กจุดน้อยราวกับดวงดาวบนฟ้า “แต่ข้าสัมผัสกลิ่นอายมันได้”
กงกู๋เอ่อร์ถูมีสีหน้ามุ่งมั่นมาก “วงเขตสีน้ำเงิน…… ฝ่าบาท ข้าคิดว่าเกิดเรื่องเข้าใจผิดแล้ว……”
“ไม่มีเรื่องเข้าใจผิดทั้งนั้น เจ้าก็แค่ถ่วงเวลา” ใจสีเลือดตอบเสียงต่ำ
หากไม่ใช่เพราะตอนนี้อานู๋ปี่กำลังหลบหนี หรือทัพคนเถื่อนกำลังไล่ล่า เขาก็คงยอมคุยกับอีกฝ่ายไปแล้ว
แต่สถานการณ์ในตอนนี้เร่งด่วน ความพยายามต่อรองทั้งหลายนับเป็นกลยุทธ์การถ่วงเวลา ใจสีเลือดไม่คิดเสียเวลา ดังนั้นจึงออกท่าโจมตีต่อไม่รั้งรอ
วงเขตสีน้ำเงินแผ่ขยายต่อไป ทำให้เกิดคลื่นแห่งความเฉื่อยชาเข้าครอบงำทุกคนที่อยู่ในอาณาเขตพลัง กระทั่งสายลมก็ดูเรื่อยเฉื่อย ให้ผลคล้ายกับวิชาสุเมรุสูญของฉือไคฮวง แต่จุดหลักที่ต่างคือมันเป็นวงเขต ส่วนอีกอันเป็นวิชาต้นกำเนิด ซึ่งนับว่าทรงพลังในการใช้ครั้งเดียวมาก ทำให้ไม่อาจรั้งอยู่ได้นาน ลบล้างได้ง่ายกว่า แต่วงเขตนั้นแตกต่าง มันคล้ายกับพลังที่มาจากตัวผู้ใช้เอง ทำให้คงอยู่ได้นานและมีความแท้จริง ที่สำคัญ พวกมันมีอำนาจสูง ไม่อาจลบล้างได้โดยง่าย
เมื่อใจสีเลือดใช้วงเขตสีน้ำเงิน ทุกสิ่งอย่างในวงเขตก็จะเชื่องช้าลง ไม่ใช่เพียงเป้าหมายใดเป้าหมายหนึ่ง แต่รวมถึงพลังต้นกำเนิดที่ไหลเวียนอยู่ในวงเขตด้วย หรือก็คือมันสยบการเคลื่อนไหวของพลังต้นกำเนิดได้ ทำให้พลังในสถานที่โดยรอบลดลงเช่นกัน วิชาที่ใช้ก็จะอ่อนลงมาก อาจใช้บางวิชาได้ช้าลง หรือมีกำลังอ่อนลง หรือกระทั่งอาจใช้ไม่ได้เลย แต่ผลเหล่านี้จะไม่กระทบกับผู้ใช้วงเขต ทันทีที่ใจสีเลือดใช้วงเขต จะไม่มีใครต่อต้านเขาได้อีกเว้นเสียแต่ว่าจะมีกำลังเท่าเทียมกัน
คนเถื่อนขาดความสามารถในการคุมพลังต้นกำเนิดจึงไม่มีวงเขตเช่นนั้น แต่ก็ไม่มีความจำเป็นเช่นกัน เมื่อคนเถื่อนแข็งแกร่งจนถึงขั้นสุด ก็จะสามารถทำลายขีดจำกัดทางธรรมชาติ และบ่มเพาะพลังโทเทมจนสำเร็จได้ พลังชีวิตที่กล้าแข็งไม่จำเป็นต้องมีพลังต้นกำเนิดอีก ร่างกายเป็นเหมือนขุมพลังในตนเอง สามารถควบคุมได้อย่างอิสระ ดังนั้นจึงสามารถใช้ร่างกายต่อต้านวงเขตได้โดยง่ายดาย
น่าเสียดายที่ในสนามรบครั้งนี้ไม่มีคนเช่นนั้น
มีเพียงสองคนที่กล่าวถึงความสามารถเช่นนั้นแล้ว คือซ่าเค่อเอ่อร์และอ้ายฝูหลี่เก๋อซือ คนแรกตายในสนามรบด้วยแก่ชรากำลังจึงถดถอย ส่วนคนหลังถูกทิ้งไว้เพราะความริษยาของอานู๋ปี่
โชคดีที่กงกู๋เอ่อร์ถูก็ไม่ได้อ่อนแอ
เขาเป็นผู้นำบรรพชนอารามศักดิ์สิทธิ์ แม้ร่างกายอาจจะชราภาพ แต่ก็มีการใช้พลังต้นกำเนิดที่เป็นเอกลักษณ์ อีกทั้งเขายังไม่ได้สู้ตัวคนเดียว
กงกู๋เอ่อร์ถูคำรามเสียงต่ำแล้วโยนกะโหลกหนึ่งออกไป
มันมีรูปร่างเหมือนศีรษะสัตว์อสูรตัวเล็กตัวหนึ่ง ถูกราดด้วยยา เผยกลิ่นอายชั่วร้าย เขี้ยวขนาดใหญ่สองเขี้ยวยื่นออกมาจากกราม ทันทีที่ถูกคว้าขึ้นมา วงเขตสีน้ำเงินก็เหมือนจะสั่นสะท้านและหม่นแสงลงเล็กน้อย
“ราอูแห่งรอยสัก ? น่าสงสารนัก ถูกสังหารโดยคนเถื่อนเองหรือ ทั้งยังถูกเอามาใช้ทำเครื่องมือต้นกำเนิดอีก” ใจสีเลือดพึมพำ
กงกู๋เอ่อร์ถูหยิบกะโหลกจักรพรรดิอสูรกายออกมา ซึ่งเป็นสหายเก่าของใจสีเลือด ผู้ครองชายแดนตะวันตกคนก่อนหน้านั่นเอง
“ไม่แน่ว่าวันนี้คนเถื่อนอาจจะได้อีกสักกะโหลก” กงกู๋เอ่อร์ถูตอบเสียงเรียบ
ในเมื่อปะทะกันแล้ว จึงไม่มีหวังกับการพูดคุยอย่างสันติได้อีก ผิดหรือถูกใช้กำลังเป็นตัวตัดสิน
ใจสีเลือดเองก็ไม่เสียเวลา ยกไม้เท้าขึ้นช้า ๆ อีกครั้ง ริ้วแสงสีดำเลื้อยไปทางกงกู๋เอ่อร์ถู
ใจสีเลือดนับเป็นผู้เชี่ยวชาญในการคุมพลังต้นกำเนิด เขามีความเข้าใจในพลังธาตุที่แตกต่าง ความเข้าใจในน้ำมีลึกซึ้งจนสามารถสร้างวงเขตได้ อัญมณีสีแดงและสีดำเป็นตัวแทนธาตุไฟและความมืด อัญมณีแรกมีความรุนแรง ทรงพลัง และสามารถก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมาก ในขณะที่เม็ดหลังมีคุณสมบัติการกัดกร่อนอย่างเหลือเชื่อ ใจสีเลือดสามารถใช้ธาตุที่ 4 ได้ด้วย นั่นคือสายฟ้า น่าเสียดายที่เพิ่งจะมีความเข้าใจเกี่ยวกับสายฟ้าก็เพียงตอนที่ซูเฉินชิงโทเทมวิญญาณสายฟ้าไปเท่านั้น เส้นทางแห่งการล่วงรู้จึงถูกตัดขาดไปเช่นนั้น
อสรพิษมืดที่กำลังเลื้อยออกไปคืออสรพิษปลิดชีวา
อสรพิษปลิดชีวานับไม่ถ้วนถูกปลดปล่อย หลอมรวมกันกลายเป็นคลื่นความมืดที่ไล่ล่าไม่หยุดยั้ง เป็นหนึ่งในวิชาไร้เทียมทานของใจสีเลือด
เปิดการต่อสู้ด้วยท่าสังหาร
เขาอยากรีบจบการต่อสู้โดยเร็ว !