GGS:บทที่ 801 ผู้มาเยือน

 

เช้าวันถัดมา รถออดี้คันหนึ่งมาจอดที่หน้าบ้านของซูจิ้ง พวกเขาได้แนะนำตัวกับต้ามู่และเสี่ยวมู่ได้ฟังแล้ว แต่ซูจิ้งสั่งพวกมันไว้ว่าตอนนี้เขายุ่งมาก วันนี้ไม่รับแขก พวกมันเลยจ้องมองไปยังคนที่มาแบบนิ่งๆ

 

สักพักได้มีรถหรูเข้ามาอีกสองคัน และคนอีกกลุ่มหนึ่งก็ได้เดินเข้ามา โดยหนึ่งในนั้นมีหวังซือหยาอยู่ด้วย

มีต้ามู่และเสี่ยวมู่เห็นซือหยาก็ได้รีบบินไปเรียกซูจิ้งในทันทีโดยไม่ต้องการฟังคำอธิบายใดๆ ไม่นานนักซูจิ้งก็มาเปิดประตูรับที่หน้าบ้าน

 

“วันนี้พี่สาวซือหยามาด้วยเหตุอันใดครับ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“ห้ะ ทำไม เดี๋ยวนี้นายไม่ต้อนรับฉันแล้วรึไงกัน” หวังซือหยาหัวเราะไปหึหนึ่งก่อนพูดออกมา

“ต้อนรับสิคร้าบ” ซูจิ้งพูดออกมาก่อนที่จะเหลือบไปเห็นคนอื่นๆที่ยืนอยู่กันเป็นกลุ่ม และหลังกลุ่มนี้ก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งประกอบด้วย โจวฮงหยวน โจวเทียนรุย และพระอีกสองรูป

 

ซูจิ้งรู้สึกประหลาดใจจนต้องถามออกมาว่า “คุณโจว มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”

“พวกเราก็มาแล้วสักพักหล่ะ แต่นักแก้วของนายน่ะสิไม่ยอมให้เข้าไป อธิบายไปยังไงก็ยังเฉยเมยต่อพวกเรา” โจวฮงหยวนรู้สึกหน่ายจิตในทันที นี่เขาต้องมาแพ้ให้นกแก้วเพียงสองตัวเหรอเนี่ย

“ฮ่าฮ่า โทษทีๆ พอดีวันนี้ผมยุ่งๆก็เลยบอกพวกมันไปว่าถ้าไม่ใช่เหตุด่วนเหตุร้ายไม่ต้องไปตามน่ะ” ซูจิ้งกล่าวขอโทษออกมาเป็นการใหญ่

“เป็นทางเราที่ผิดเองล่ะนะ” โจวฮงหยวนพูดออกมา

พลางก็นึกถึงหวังซือหยาที่มาถึงแล้วยังไม่ได้พูดอะไร เจ้านกสองตัวนี้ก็รีบแจ้นไปเรียกเจ้านายของมันมาทันที

ถึงแม้จะเชื่อได้ยากก็ตามแต่นี่แสดงให้เห็นว่าซูจิ้งและตระกูลหวังนั้นมีสายสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากันอยู่ เรื่องนี้เท่านั้นที่ไม่ผิดอย่างแน่นอน

 

“อย่ามามัวยืนคุยกันอยู่ที่หน้าประตูเลยน่า เข้ามากันก่อน” ซูจิ้งพูดก่อนจะเดินนำทุกคนไปยังสวนหลังบ้าน

ทุกคนต่างตกตะลึงในความสวยงามสวนของซูจิ้งยกเว้นเพียงแค่หวังซือหยาเท่านั้นที่เห็นมาบ่อยแล้ว

แม้แต่โจวฮงหยวนและโจวเทียนรุยที่เห็นมาแล้วสองสามครั้ง แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะตื่นตาตื่นใจทุกครั้งไป

 

ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นที่ตอนนี้ที่กำลังตื่นเต้นกับภาพความสวยงามที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าด้วยหน้าตาเด๋อๆด๋าๆไม่รับรู้สิ่งใด

“ผมก็เคยได้ยินมาบ้างเหมือนกันจากซือหยาว่าสวนของคุณซูนั้นสวยจนน่าตกตะลึงประดุจดั่งสวนสวรรค์ แต่พอได้เห็นด้วยตาตัวเองแล้วนี่บอกได้เลยว่าได้ยินไม่สู้ได้เห็นจริงๆ” ชายวัยกลางคนตัวสูงได้กล่าวชมออกมา เขานั้นดูเหมือนจะอายุประมาณสามสิบปีและมีหน้าตาที่หล่อเหลาอยู่บ้าง เพียงแต่ผิวพรรณนั้นดูไม่ดีเท่าไหร่ออกจะดูกระดำกระด่างไปซักหน่อย

 

“กล่าวชมเกินไปแล้ว” ซูจิ้งพูดออกมาในขณะที่จ้องไปยังชายตรงหน้า

“อาจิ้ง ฉันยังไม่ได้แนะนำให้นายรู้จักสินะ คนๆนี้มีชื่อว่า ซุนยูเฮ็ง ลูกชายคนที่สามของตระกูลซุนแห่งเมืองหลวง

เขานั้นมีความสนใจเป็นพิเศษในเรื่องพืชไร่และพืชสวนน่ะ” หวังซือหยากล่าวแนะนำตัวพลางขยิบตาให้ซูจิ้ง

 

ซูจิ้งเองก็เข้าใจทันทีว่าซือหยาต้องการจะสื่ออะไร ด้วยการที่ยอดขายของผงกระชับทรวงอกและกุหลาบสีน้ำเงินนั้นได้รับความนิยมอย่างมาก

และมะละกอเกล็ดงูที่เป็นทั้งวัตถุดิบและผลผลิตเองก็ใกล้ที่จะถึงขีดสุดในการผลิตด้วยความสามารถของพวกเขาแล้ว

 

เป็นธรรมดาที่พวกเขาอยากจะขยายกำลังการผลิตแป้งกระชับทรวงอกและเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกกุหลาบสีน้ำเงินและมะละกอเกล็ดงู

ที่ดินที่พวกเขาใช้ในการผลิตเองก็ถือได้ว่าอยู่ไกลมาก หากพวกเขาคิดจะแก้ปัญหาด้วยการให้เมืองใกล้ๆเป็นศูนย์กลางการผลิตของพวกนี้ก็ตาม

แต่ด้วยการที่จะต้องเข้าถึงให้ได้ตั้งแต่หน่วยงานภาครัฐในพื้นที่ไล่ลงไปจนถึงประชาชนในพื้นที่ให้ร่วมมือปลูก ต่อให้มีการเซ็นสัญญาค้ำประกันไว้

แต่ก็ถือว่ามีความเสี่ยงและต้องเสียเงิน เสียแรง และเสียเวลาไปมหาศาลอยู่ดี นี่ถือว่าเป็นปัญหาที่ใหญ่หลวงพอสมควร

 

แต่หากเปลี่ยนเป็นพวกเขาไปร่วมมือกับบริษัทที่เป็นยอดฝีมือด้านการเกษตรอยู่แล้ว จะช่วยให้พวกเขานั้นประหยัดเวลาไปได้อย่างมาก

“สวัสดีครับคุณซุน” ซูจิ้งเอ่ยคำทักทาย

“สวัสดีเช่นกันครับคุณซู”

ซุนยูเฮ็งเองก็ยื่นมือไปจับมือของซูจิ้ง พลางพูดออกมาว่า “เรามาเข้าเรื่องกันเลยดีว่านะครับ ผมเองก็ไม่อยากจะรบกวนซักเท่าไหร่ แต่ครั้งนี้ที่ผมมาเพราะว่ามีความต้องการที่ออกจะเห็นแก่ตัวอยู่เหมือนกัน

ผมมีโอกาสได้เห็นภาพพระสูตรและรูปพระพุทธที่ถูกเผยแพร่บนอินเตอร์เนตเมื่อไม่กี่วันก่อน ผมไม่ทราบว่ารูปต้นฉบับเหล่านั้นยังอยู่ที่คุณซูรึเปล่าครับ”

 

ซูจิ้งยังไม่ได้ตอบอะไรแต่โจวฮงหยวนเองก็ได้แทรกเข้ามาว่า “คุณซุนนี่ก็มาด้วยเรื่องหัวใจพระสูตรและรูปพระพุทธเหมือนกันเช่นนั้นหรือ”

เดิมทีทั้งสองต่างก็ไม่ได้รู้จักกันแม้แต่น้อย แต่เพียงสิ้นประโยคนี้บรรยากาศรอบตัวได้เปลี่ยนไปในทันที

ซูจิ้งเองก็นึกขำอยู่ไม่น้อย เขาเองก็ไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมคนที่อยากได้ของๆเขานั้น จะมาเหลื่อมกันซักวันสองวันก็ไม่ได้ ชอบมาเจอกันซะจริงๆ

เอาจริงๆเขานั้นก็เผยแพร่ภาพเหล่านั้นไปตั้งนานแล้วแต่ก็ยังไม่มีใครสนใจติดต่อเขาเลย พอเขาเลือกที่จะปล่อยไปผู้คนต่างก็เริ่มอยากรู้อยากเห็นอยากครอบครองต้นฉบับหัวใจพระสูตรและรูปพระพุทธขึ้นมาซะอย่างนั้น แถมมาพร้อมกันซะอีก อย่างที่เขาว่ากันไว้ว่าแค่ภาพถ่ายมีหรือจะสู้ของจริงได้

ซูจิ้งได้พูดออกมาว่า “ต้นฉบับจริงนั้นอยู่ที่ผมเองนั่นแหล่ะ เราค่อยมาคุยเรื่องนี้กันทีหลังดีกว่า ตอนนี้เรามานั่งลงและดื่มชากันก่อนดีกว่าครับ”

โจวฮงหยวนและซุนยูเฮงต่างก็ไม่ขยับกันไปไหน มองกันอยู่อย่างนั้น

ทันใดนั้นพระรูปหนึ่งที่บวชมา 17 พรรษาได้ตรงเข้ามาจับมือซูจิ้งก่อนที่จะพูดว่า “สวัสดีครับคุณซู เรามาประลองกันหน่อยไหม”

 

ซูจิ้งนิ่งอึ้งไปในทันที โจวฮงหยวนเองก็ได้รีบดึงพระหนุ่มรูปนั้นกลับมา

ชางดงก็ได้พูดขึ้นมาว่า “เสี่ยวไจ๋ เราค่อยพูดเรื่องนี้กันทีหลัง” แต่ไม่ว่าทั้งสองจะดึงพระรูปนั้นออกไปยังไงร่างกายของพระหนุ่มก็ไม่ได้มีการไหวติงแม้แต่น้อย ประหนึ่งดังพวกเขากำลังชักเย่อกับภูเขาลูกหนึ่ง

 

ซูจิ้งสายตาส่องเป็นประกายในทันทีก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “ท่านอาจารย์น้อยท่านนี้สมควรจะเป็นผู้ฝึกตนใช่หรือไม่”

โจวฮงหยวนจึงได้ตอบว่า “พระรูปนี้ชื่อเสี่ยวไจ๋ เขาเองก็ได้ฝึกศิลปะการต่อสู้ของวัดเรามาตั้งแต่เด็ก

ถึงจะเห็นว่าเขาเป็นพระรูปหนึ่ง แต่เขาเองก็มีกำลังปานโคถึกมาตั้งแต่เด็กแล้ว และก็มีความสามารถด้านศิลปะการต่อสู้ไม่น้อยเลย

เมื่อวันก่อนตอนที่เขาเห็นนายใช้เพลงหมัดวัวคลั่ง

เขาเองก็ฝึกแบบข้ามวันข้ามคืนจนกระทั่งผ่านไปซักสองวันให้หลังพอเริ่มหิวถึงเลิกฝึก

 

พอเขารู้ว่าฉันจะมาหานายก็เลยขอตามมาด้วย

เขาเองยังคอยพูดกรอกหูฉันมาตลอดทางเลยว่าให้ฉันศรัทธานายเหมือนเขาที่ศรัทธานายประดุจดั่งอาจารย์ของฉัน”

ซูจิ้งถึงกับยิ้มออกมาก่อนพูดต่อว่า “เคารพฉันเป็นอาจารย์แล้วอาจารย์เขาจะไม่ว่าอะไรหรอ”

โจวฮงหยวนพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านอาจารย์เชิงหยานนั้นเองแทบจะถวายพานให้นายเลยด้วยซ้ำมีรึจะว่า”

 

“ฉันก็ไม่ได้รังเกียจหรอกนะ เพียงแต่ว่าฉันก็กลัวจะสอนนายไม่ได้อย่างที่นายหวังหรอก เปลี่ยนเป็นให้ฉันช่วยแนะนำดีกว่า” ซูจิ้งหยุดนึกสักครู่ก่อนจะหันไปหาซุนหยูเฮงก่อนจะพูดว่า “คุณซุน เราพอจะคุยเรื่องหัวใจพระสูตรทีหลังได้รึเปล่าครับ”

“ได้แน่นอน ผมเองก็สนใจเพลงหมัดวัวคลั่งนี้อย่างไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน” ซุนหยูเฮงยิ้ม

 

หลังจากนั้นภาพที่ปรากฏต่อหน้าทุกคนในตอนนี้ก็คือพระหนุ่มเสี่ยวไจ๋ได้กำลังแสดงท่าทางต่างๆทั้งมือและเท้าในลานว่างใกล้ๆ

กระบวนท่ากว่า 100 รูปแบบของเพลงหมัดวัวคลั่งรูปแบบที่หนึ่ง หมัดวัวคลั่ง ถูกแสดงให้เห็นออกมาด้วยท่าทีที่ดุดันประหนึ่งดั่งวัวตัวหนึ่งก็ไม่ปาน

ทันทีที่ซูจิ้งเห็นก็ได้แต่ยืนนิ่งอีกครั้ง นี่คือผลจากการเรียนรู้เพียงแต่สองวันเนี่ยนะ โคตรอัจฉริยะ

 

ถ้าหากว่าเขาไม่นับพวกของยิบย่อยที่ได้จากขยะห้วงเวลาฯแล้วล่ะก็ เพลงหมัดวัวคลั่งนี้ถือว่าเป็นของดีที่สุดที่เขาได้จากขยะห้วงเวลาฯชุดนี้ คนธรรมดาทั่วไปย่อมเป็นไปได้ยากที่จะฝึกได้สำเร็จ

แต่กับเสี่ยวไจ๋ผู้นี้ที่ใช้เวลาฝึกเพียงสองวันเขาก็ฝึกได้จนเกือบจะเข้าถึงแก่นแท้ของเพลงหมัดชุดนี้แล้ว

ช่างเป็นคนที่เหมาะกับคำว่าอัจฉริยะด้านการต่อสู้จริงๆ

 

“ปัง” เสียงดังสนั่นเกิดขึ้นมาหลังจากที่กระบวนท่าสุดท้ายสิ้นสุดลง เสี่ยวไจ๋ได้โจมตีไปที่ก้อนหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง ก้อนหินนี้ค่อยมีเสียงดังเป็นเสียงของแข็งค่อยๆร้าว จนสุดท้ายมันก็แยกขาดจากกัน

โจวฮงหยวน โจวเทียนรุย ซุนหยูเฮง หวังซือหยา ทั้งหมดต่างตกตะลึงจนแน่นิ่งไป

โจมตีหินก้อนยักษ์ให้แยกออกได้ในทีเดียว นี่เป็นหนังเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้รึไงกัน

แม้แต่โจวฮงหยวนที่รู้จักเสี่ยวไจ๋มานานก็ไม่เคยคิดว่าเขาจะแข็งแกร่งได้ขนาดนี้ หรือว่านี่คืออานุภาพของเพลงหมัดวัวคลั่งกันแน่ ช่างเป็นเพลงหมัดที่น่ามหัศจรรย์จริงๆ

 

“โลกใบนี้ช่างกว้างใหญ่และเต็มไปด้วยเหล่าผู้มีความสามารถจริงๆ น่าจะเป็นเรื่องดีที่ได้สอนศิลปะการต่อสู้ให้เด็กนี่จะได้ช่วยให้ชื่อเสียงของเพลงหมัดวัวคลั่งเลื่องลือยิ่งขึ้น” ซูจิ้งได้ยืนขึ้นในทันทีก่อนจะพูดออกมาว่า “เสี่ยวไจ๋ มาประลองกันหน่อยสิ”

 

“เยี่ยม” เสี่ยวไจ๋สายตาเป็นประกายทันที

“เสี่ยวไจ๋ บอกไว้ก่อนนะว่านี่เป็นเพียงแค่การประลองเท่านั้น อย่าลงมือหนักไปนะ”

โจวฮงหยวนนั้นรีบพูดปรามเสี่ยวไจ๋ในทันที เขารู้ดีว่าเสี่ยวไจ๋นั้นมีแรงวัวถึกมาตั้งแต่เด็ก

นี่พอเขาได้เรียนรู้เพลงหมัดวัวคลั่งไปแล้วเขาก็กลัวว่าซูจิ้งจะสู้กับเสี่ยวไจ๋ไม่ไหวจนบาดเจ็บสาหัสได้

“อย่าไปฟังคุณโจวเลยน่า จัดมาเต็มที่เลย” ซูจิ้งพูดออกมาพร้อมรอยยิ้มแห่งความยินดี

 

“ได้ คุณซู โปรดชี้แนะด้วย” เสี่ยวไจ๋ในตอนนี้ได้ชกหมดคู่ไปยังซูจิ้งในทันที เขาในตอนนี้เปรียบได้ดั่งวัวตัวหนึ่งเลยทีเดียว

ซูจึ้งไม่ได้หวาดวิตกแต่อย่างใด เขามองความเคลื่อนไหวพร้อมทั้งผ่อนคลายจิตใจ ความรู้สึกของเขาในตอนนี้เหมือนกับอาจารย์มวยที่กำลังสอนเด็กน้อยอยู่

 

เขาในตอนนี้เริ่มอธิบายเพลงหมัดวัวคลั่งรูปแบบที่สองและรูปแบบที่สามในระหว่างการต่อสู้ พวกเขาสู้กันด้วยความรวดเร็ว

พริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้วสิบกว่ากระบวนท่า เสี่ยวไจ๋ที่มีความแข็งแรงประดุจดั่งวัวถึกนั้น ในตอนนี้ร่างกายของเขามีเหงื่อโชกเต็มตัว แต่สำหรับซูจิ้งนั้นเหงื่อยังไม่ออกเลยซักเม็ด

โจวฮงหยวนในตอนนี้เข้าใจในทันทีเลยว่าความกังวลของเขาก่อนหน้านี้ช่างไร้สาระจริงๆ

 

พลางพูดออกมาอย่างนิ่งเรียบพร้อมยิ้มเล็กน้อยว่า “ตอนแรกฉันก็พาลนึกไปว่าคุณซูมีเพลงหมัดวัวคลั่งนี้เป็นสุดยอดวิชา คิดไม่ถึงว่าเท่าที่ดูแล้วสำหรับคุณซูนั้นเพลงหมัดวัวคลั่งนี้ก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไรเลยสินะเนี่ย”