GGS:บทที่ 802 สมบัติ
หวังซือหยาในตอนนี้ทำได้เพียงยิ้มแต่ไม่พูดอะไรออกมา เธอขี้เกียจจะใส่ใจซูจิ้งเรื่องความปลอดภัยแบบนี้อีกแล้ว
เธอเองก็รู้สึกได้เลยว่าไม่ว่าจะเป็นหน่วยรบพิเศษ 30 คน หรือจะเป็นนักคาราเต้ 40 คน กับซูจิ้งแล้วก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรเลย
เขายังไม่เคยใช้แรงเต็มที่กับคนพวกนี้เลยซักครั้ง เพราะไม่ว่าจะแข็งแกร่งแค่ไหนแล้ว
แต่เมื่อเทียบกับเหตุการณ์ที่ซูจิ้งช่วยพ่อของเธอในวันนั้นเทียบกันไม่ได้เลยซักนิด
ต่อให้เธอไม่รู้ว่าในระหว่างนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่หลังจากได้มีการตรวจวินิจฉัยศพของเหล่าคนร้ายลักพาตัวเพื่อหาร่องรอยเพื่อหาต้นตอของเรื่อง
แต่สิ่งที่หลงเหลือนั่นเพียงบ่งบอกได้แค่ว่าซูจิ้งนั้นเปรียบได้ดั่งสัตว์ประหลาด และแข็งแรงพอๆกับสัตว์ร้ายเลยทีเดียว
ตอนนี้ทุกคนที่เป็นสักขีพยานการประลองต่างค่อยๆรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมา แม้แต่เสี่ยวไจ๋เองก็แทบจะยกซูจิ้งขึ้นหิ้งกราบไหว้เรียบร้อยแล้วในตอนนี้
เมื่อนำเสี่ยวไจ๋ไปเทียบกับซูจิ้งแล้วตัวเสี่ยวไจ๋เทียบได้กับไก่อ่อนธรรมดาตัวหนึ่ง
ซูจิ้งต่อสู้กับเสี่ยวไจ๋ต่อไปประมาณยี่สิบนาที ตลอดเวลาที่ต่อสู้เขาเองก็ได้คอยอธิบายกระบวนท่าต่างๆของเพลงหมัดวัวคลั่งรูปแบบที่สองและรูปแบบที่สามตลอด
เสี่ย;ไจ๋เองก็ถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะด้านการต่อสู้จริงๆ เขานั้นเหมือนกับว่าในใจมีแต่เรื่องการต่อสู้และเป็นคนที่เรียนรู้ด้วยความเจ็บปวด
ถึงจะเป็นอย่างนั้นนั่นกลับทำให้เขาสามารุจดจำกระบวนท่าต่างๆได้อย่างรวดเร็ว
อย่าเรียกว่าจำได้เลย ควรจะเรียกว่าเข้าใจหัวใจของเพลงหมัดได้อย่างลึกซึ้งดีกว่า อีกไม่นานเขาน่าจะสัมผัสได้ถึงแก่นแท้ของเพลงหมัดวัวคลั่งนี้แล้ว
“อัตราการใช้ประโยชน์บวกสิบ” หลังจากได้ยินเสียงกริ่งดังอยู่ในหัว ซูจิ้งก็ได้ยินเสียงฉิงหยุนพูดจำนวนนี้ออกมา
ซูจิ้งได้แต่งงนิดหน่อย ด้วยชื่อเสียงของเพลงหมัดวัวคลั่งนี้ทำให้ค่าการใช้ประโยชน์เพิ่มขึ้นมาจนตอนนี้เท่ากับสิบห้าแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นอัตราการเติบโตที่เร็วมาก
แต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆค่าการใช้ประโยชน์ถึงได้เด้งขึ้นมาถึงสิบหน่วยได้ในทีเดียว
เขาได้ถามฉิงหยุนผ่านจิตสำนึกว่า “ทำไมอยู่ๆฉันถึงได้ค่าการใช้ประโยชน์สิบหน่วยล่ะ”
“มันเป็นค่าที่คำนวนมาจากหลายๆเหตุการณ์ ทั้งเรื่องของเสี่ยวไจ๋ หัวใจพระสูตร และเหตุการณ์กวาดล้างสำนักคาราเต้
ทั้งหมดนี้ล้วนทำให้ผู้คนตกตะลึงพรึงเพริศและสร้างผลกระทบอันดียิ่งให้แก่สังคม ทำให้ค่าการใช้ประโยชน์เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตามหากแบ่งเหตุการณ์พวกนี้ไป หรือเกิดเหตุการณ์ในช่วงเวลาที่ห่างกันมากเกินไป ค่าการใช้ประโยชน์จะขึ้นได้ช้ามาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าการใช้ประโยชน์ที่เกิดจากคนหนึ่งคนโดยเฉลี่ยจะทำให้ได้ค่าใช้ประโยชน์อยู่ที่ 0.0001
แต่กับเสี่ยวไจ๋คนนี้ผู้ที่เป็นอัจฉริยะด้านการต่อสู้
หลังจากที่เขาเรียนเพลงหมัดวัวคลั่งครบทั้งสามรูปแบบจะทำให้เขาเป็นผู้ที่บรรลุแล้วในฐานะมนุษย์โลก และนั่นจะเป็นผลดีต่อมนุษย์ในภายภาคหน้า” ฉิงหยุนอธิบาย
ซูจิ้งได้ทำการฟังอย่างตั้งใจแทบจะที่สุดเท่าที่รู้จักฉิงหยุนมา ถึงแม้คะแนนจะไม่ได้สูงมากก็ไม่เป็นไร
สำหรับซูจิ้งแล้วที่เขาสนใจที่สุดก็คือหลักการการคำนวนของฉิงหยุน
ฉิงหยุนได้คิดค่าคะแนนด้วยการคาดการณ์ผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า
นั่นก็หมายความว่าหากเขาสามารถหาคนที่เหมาะสมมาเรียนเพลงหมัดวัวคลั่งนี้ไปจนครบถ้วนและนำไปทำให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมล่ะก็
เขาก็น่าจะได้ค่าการใช้ประโยชน์สิบหน่วยต่อหนึ่งคน หากเรียนไปร้อยคนก็จะได้พันหน่วย แล้วคนบนโลกนี้มีตั้งกี่ร้อยล้านคน ต้องมีสักส่วนหนึ่งล่ะที่เป็นอัจฉริยะด้านการต่อสู้แบบเสี่ยวไจ๋
ต่อให้มีไม่มาก อาจจะได้ค่าการใช้ประโยชน์มาไม่เยอะ แต่ด้วยการที่เขามีทั้งหัวใจพระสูตรและเพลงหมัดวัวคลั่งนี้แล้วย่อมต้องสามารถสร้างชื่อให้กับของทั้งสองให้ลือเลี่ยงขจรไกลได้ไม่ยาก
หากใช้สองสิ่งนี้พร้อมกันนอกจากจะไม่ต้องสนว่าต้องทำให้ใครสนใจแล้ว โลกนี้ยังจะมีผู้ฝึกตนอีกด้วย
“ขอบคุณครับอาจารย์…” เสี่ยวไจ๋ที่ร่างกายชุ่มไปด้วยเหงื่อกล่าวออกมาด้วยความตื่นเต้น
“หยุดเลยอย่ามาเรียกฉันว่าอาจารย์ ฉันแค่แนะนำนายแค่นั้นเอง” ซูจิ้งพูดออกมา
“เอ่อออถ้างั้นเป็น ขอบคุณมากครับคุณซู” “คุณซูผมจะไปร่วมออกรายการกับอาจารย์เกี่ยวกับการใช้ศิลปะการต่อสู้ ผมสามารถใช้เพลงหมัดวัวคลั่งนี้ได้รึเปล่า” เสี่ยวไจ๋ถามออกมาพลางทำหน้าอ้อนวอน
ซูจิ้งถึงกับผงะเล็กน้อย เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าวัดมีอะไรที่ทำให้รายการพวกนี้สามารถสนใจจนเชิญไปออกรายการได้
อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรขนาดนั้น วัดวาอารามเองก็สมควรจะต้องการผู้มีจิตศรัทธาเข้าไปทำบุญด้วยเหมือนกัน ก็คงไม่ได้เอาไปทำอะไรเสียหายหรอกมั้ง
ซูจิ้งได้ลองถามรายละเอียดส่วนที่เป็นการแสดงโชวเพิ่มเติม เมื่อได้ยินแล้วเขาจึงได้บอกกับเสี่ยวไจ๋ไปว่า
“ไม่ว่าจะเป็นรายการโชวหรือต้องไปแสดงอะไรแนวๆนี้ก็ตาม นายไม่ต้องออมแรง แสดงให้เห็นถึงอานุภาพออกไปให้เต็มที่ นายเข้าใจที่ฉันต้องการจะสื่อรึเปล่า”
“ทราบแล้วครับ” เสี่ยวไจ๋พยักหน้ารับด้วยความยินดี
“เหนือสิ่งอื่นใดอย่างแรกนายต้องกลับไปฝึกฝนเพิ่มเติมซะก่อน ถ้านายไม่เข้าใจก็ถามฉันได้” ซูจิ้งพูดพลางตบบ่าเสี่ยวไจ๋
หลังจากนั้นเขาก็เดินตรงไปยังโจวฮงหยวนและซุนหยูเฮงพลางพูดว่า
“ผมคงปล่อยให้พวกคุณรอนานไปหน่อยหล่ะนะ เอาล่ะเดี๋ยวผมจะไปเอาพระสูตรและพระพุทธมาให้ดู”
ซูจิ้งกลับเข้าในห้องและกลับออกมาพร้อมพระสูตรและพระพุทธ
ทันทีที่โจวฮงหยวนและซุนหยูเฮงได้เห็นหัวใจพระสูตรและพระพุทธต่างก็แสดงท่าทางตื่นเต้นออกมา
พวกเขาตั้งใจมอง ยิ่งมองก็ยิ่งตื่นเต้น
นั่นก็เพราะว่าพวกเขาได้เข้าถึงความรู้สึกแห่งเซ็นซึ่งมีอานุภาพมากกว่าที่เห็นจากรูปภาพมากนัก
หากเทียบกันแล้วล่ะก็รูปภาพนี่แทบจะไม่ได้เศษเสี้ยวของของจริงเลยแม้แต่น้อย
“คุณซูผมขอซื้อทั้งสองสิ่งนี้ได้รึเปล่าครับ” ซุนหยูเฮงพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
“มันไม่ถูกต้องนะคุณซุน คุณจะซื้อสมบัติทางพุทธศาสนาแบบนี้ได้ยังไงกัน” โจวฮงหยวนรีบแย้งในทันที
“คุณโจวเองก็มาเพื่อที่จะต้องการหัวใจพระสูตรและพระพุทธนี้เหมือนกันไม่ใช่หรือครับ” ซุนหยูเฮงเองก็พูดสวนกลับไป
“ผมมาเพื่อนำหัวใจพระสูตรและพระพุทธนี้ไปก็จริงแต่ผมก็ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะมาซื้อซะหน่อย
ผมแค่จะมาขอยืมให้เจ้าอาวาสและปรมารจารย์เชิงหยานได้ดูเท่านั้นเอง
เพราะของทั้งสองสิ่งนี้จะช่วยส่งเสริมการศึกษาพระธรรมเท่านั้นเอง” โจวฮงหยวนเองก็อธิบายออกมา
“ผมเองก็ต้องการซื้อเพื่อไปมอบให้ผู้อาวุโสท่านหนึ่งผู้ที่ได้บวชเรียนอยู่เหมือนกันแล้วผมทำผิดตรงไหน” ซุนหยูเฮงก็ได้พูดสวนกลับมา
พวกเขาในตอนนี้ดูเหมือนจะพูดเพื่อคลี่คลายปัญหาเหมือนจะเป็นสันติวิธี
แต่จริงๆแล้วเป็นการใช้วาจาเชือดเฉือนกันมากกว่า
หวังซือหยาในตอนนี้ทำหน้าตาเริ่มที่จะเอือมระอาแล้ว ซูจิ้งเองในตอนนี้ก็ยังคิดอยู่ว่าจะพูดอะไรกับทั้งคู่ดี
นี่ขนาดแค่เป็นของลอกเลียนแบบ
มันเป็นงานคัดลอกที่เอาไว้สำหรับฝึกตนในวัดพุทธใหญ่ของห้วงเวลาฯเซียนฝั่งตะวันตกเท่านั้น
แน่นอนว่าของจริงซูจิ้งไม่มีทางเอาออกมาง่ายๆแน่นอน
“คุณซู เห็นแก่หน้าฉันกับซือหยาช่วยขายทั้งสองสิ่งนี้ให้ผมเถอะนะ” ซุนหยูเฮงเลิกเถียงกับโจวฮงหยวนแล้วตัดสินใจมาคุยกับซูจิ้งแทน
โจวฮงหยวนเองก็หันไปมองซูจิ้งเช่นเดียวกัน นี่มันเหมือนกับว่าสุดท้ายแล้วก็กลับมาเป็นว่าให้เขาเป็นคนจัดการเรื่องทั้งหมดแทน ซูจิ้งจึงถามความเห็นของซือหยา ซือหยาจึงพูดมาว่า
“ตัวฉันนั้นรู้จักกับเขามาตั้งแต่เด็กก็แค่นั้นเอง” หวังซือหยายิ้มเล็กน้อย
“แค่นั้นอ่ะนะ ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้เวรตะไลเกาซิง(เฉาซิง)ล่ะก็ ความจริงแล้วเราควรจะแต่งงานด้วยกันนานแล้วนะ
แต่เอาจริงๆตอนนี้ก็ยังไม่สายยย…” ซุนหยูเฮงที่กำลังพูด พลางจ้องไปยังหวังซือหยาด้วยสายตาหวานชื่น
“เรื่องมันผ่านไปแล้วนายจะพูดถึงมันทำไมล่ะ” หวังซือหยายกมือห้ามในทันใด
ซูจิ้งเองก็พลันนึกได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ดงซุนพูดตอนที่ไอ้เกานั่นฟื้นขึ้นมา
หมอนั่นได้เผลอพูดออกมาโดยไม่ตั้งใจเกี่ยวกับเรื่องของตระกูลหวังและตระกูลซุนที่เกือบจะได้ดองกันและเป็นคู่ที่เหมาะสมอย่างมาก
แต่เกาซิงนั้นได้ทำลายทุกอย่างไป
หมอนั่นได้ชนะใจหวังซือหยาไปได้ และก็ทำให้ซือหยาหัวใจสลาย
เธอเองจึงปฏิเสธทุกเรี่องเกี่ยวกับการแต่งงานทำให้งานแต่งงานต้องถูกหยุดลง
ซุนหยูเฮงเองก็ไม่ได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหวังซือหยาเลยซักนิด เขาโดนตระกูลหักคอให้ไปแต่งงานกับผู้หญิงอื่นแต่ชีวิตแต่งงานก็ไม่ได้มีความสุขอะไร แต่งได้สองปีก็เลิกกันไปทำให้ตอนนี้ถือได้ว่าเขาโสดสนิท กว่าเขาจะรู้เรื่องก็ผ่านเหตุการณ์มานานพอสมควร ทำให้เขาเองก็ได้รู้ใจตัวเองว่าหัวใจเขานั้นยังมีหวังซือหยาอยู่ในใจเสมอมา
หลังจากซูจิ้งเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้วเขาเองก็เริ่มคิดอะไรบางอย่าง
ดูเหมือนว่าซุนหยูเฮงนั้นเพียงต้องการไปเพื่อเป็นการขอพรซะมากกว่า
ไม่น่าจะเอาไปขายทำกำไรอะไรที่ไหน
เขาจึงพูดออกมาว่า “เอาล่ะใจเย็นๆกันก่อนนะครับ คุณโจวนั้นแค่จะขอยืมเพื่อนำไปศึกษา
ด้วยเหตุผลนี้ผมเองก็ไม่มีทางปฏิเสธได้อยู่แล้ว อ้อผมบอกไว้ก่อนนะครับว่าทั้งหัวใจพระสูตรและพระพุทธนี้ประเมินค่ามิได้ผมไม่มีทางขายหรอก
แต่เห็นแก่ที่คุณซุนจะนำไปมอบให้ผู้อาวะโสเป็นของขวัญ เอาเป็นว่าผมเอาของชิ้นอื่นออกมาแทนก็แล้วกัน
คุณจะว่ายังไงครับ
“จะมีของใดสูงค่าเทียบเท่าได้กับหัวใจพระสูตรและพระพุทธนี้ได้กัน” ซุนหยูเฮงมองไปยังหวังซือหยาด้วยอาการน้อยใจเล็กน้อย
เขาทำเหมือนกับว่าอุตส่ายกเอาความสัมพันธ์กับซือหยามาอ้างก็แล้วไม่ได้ช่วยอะไรเลย
แม้แต่ซือหยาเองก็บอกมาแค่รู้จักกันแต่เด็กไม่ได้ช่วยพูดอะไร
“มันก็พูดยากนะครับ เอาเป็นผมให้คุณประเมินเองดีกว่าว่าของสองสิ่งนั่นมีค่าพอรึเปล่า
ทั้งสองสิ่งนั้นเป็นมหาสมบัติอย่างแน่นอน
เอาเป็นตามผมขึ้นไปดูกันดีกว่าว่าสมบัติทั้งสองนั้นมีค่าพอๆกันรึเปล่า