ตอนที่ 596 การแทรกแซงของฝ่ายมาร

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

หานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วตัดสินใจพาลูกน้อยหลบหนีออกจากตระกูลหานทันทีด้วยหวังว่าจะส่งเขาไปที่ตระกูลไป่หลี่เพื่อขอให้ตระกูลไป่หลี่ช่วยเลี้ยงดู

ในตอนนั้น บิดาของไป่หลี่ชิงโร่วก็เข้ารับตำแหน่งเป็นผู้นำตระกูลไป่หลี่แล้ว เขารักหลานชายตัวน้อยเป็นอย่างมาก แม้ผู้เชี่ยวชาญทำนายดวงชะตาจะกล่าวว่าเขาเป็นตัวกาลกิณี ทว่าผู้นำตระกูลไป่หลี่ก็ไม่สนใจ

อย่างไรก็ตาม จู่ ๆ ก็เกิดการแทรกแซงของขุมกำลังภายนอกในตอนนั้น ขุมกำลังดังกล่าวทรงพลังยิ่งนักจนไม่หวาดหวั่นต่อตระกูลไป่หลี่ของพวกเขาแม้แต่น้อยและยังโจมตีตระกูลไป่หลี่จนต้องเผชิญกับความเสียหายครั้งใหญ่ และเนื่องจากเหตุการณ์ในครานั้น ผู้นำตระกูลหานคนก่อนจึงได้รับบาดเจ็บสาหัสจนสุดท้ายดวงวิญญาณของเขาก็กลับคืนสู่สวรรค์ชั้นฟ้า

สถานการณ์ต่อเนื่องเหล่านั้นทำให้ข่าวลือที่ว่าหานโม่ฉือเป็นตัวกาลกิณียิ่งทวีคูณความรุนแรงมากขึ้น

หลังจากหานชางรับช่วงต่อตำแหน่งผู้นำตระกูลหาน เขาก็ส่งคนออกไปไล่ล่าหานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วโดยได้ร่วมมือกับตระกูลหลิวเพื่อบีบบังคับมิให้ตระกูลไป่หลี่ยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวเรื่องนี้

ในเวลานั้นตระกูลเหมยวางตัวเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ตระกูลไป่หลี่จึงตกอยู่ในสถานการณ์ที่สองหมัดยากจะสู้สี่มือและมิอาจยื่นมือเข้าไปช่วยได้

เพื่อไม่เป็นการสร้างความเดือดร้อนให้กับตระกูลไป่หลี่ หานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วจึงหารือกันและตัดสินใจส่งหานโม่ฉือไปยังดินแดนระดับล่างซึ่งก็คือดินแดนหวนหลิง และหลังจากการต่อสู้ดิ้นรนครั้งสุดท้าย ทั้งสองก็ถูกจับตัวกลับไปที่จวนตระกูลหานและกักขังไว้ในหอคอยต้องห้าม

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นอกเหนือจากหานชางก็ไม่มีผู้ใดทราบสถานการณ์ของทั้งสองแม้แต่น้อย คนอื่น ๆ เพียงทราบว่าทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ทว่าไม่ทราบรายละเอียดที่แน่ชัด

ตระกูลไป่หลี่พยายามส่งคนไปช่วยหานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วทว่าไม่เกิดผลใด ผนึกและข่ายอาคมรอบหอคอยต้องห้ามทรงพลังเกินไปจนพวกเขาไม่สามารถฝ่าทะลวงเข้าไปได้เลย

หลังจากเข้าใจสถานการณ์ในอดีตอย่างคร่าว ๆ หานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ก็นิ่งเงียบไปพักใหญ่ หากเรื่องเป็นเช่นนี้จริง อย่างน้อยมันก็พิสูจน์ได้ว่าตระกูลไป่หลี่ไม่ได้ทำสิ่งใดแทรกแซงเหตุการณ์ในปีนั้นและพวกเขาไม่เคยทำสิ่งใดที่ผิดต่อบิดาและมารดาของหานโม่ฉือ

“ท้ายที่สุดท่านพ่อก็ทำให้ตระกูลไป่หลี่ของเรามั่นคงขึ้นมาได้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาก็สืบหาข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ในปีนั้นมาโดยตลอดและพยายามหาทางช่วยท่านอาทั้งสอง อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าเบื้องหลังหานชางยังมีขุมกำลังทรงพลังที่หนุนหลังเขาอยู่ ตระกูลไป่หลี่จึงทำอะไรพวกเขาไม่ได้ มีผู้อาวุโสหลายคนในตระกูลหานที่มิได้สนับสนุนหานชาง ทว่าเป็นเพราะขุมกำลังที่อยู่เบื้องหลังหานชาง พวกเขาจึงไม่กล้าทำสิ่งใดบุ่มบ่าม”

ไป่หลี่ชิงโร่วกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงจริงใจ เพราะเหตุนั้นทุกคนจึงไม่สงสัยในวาจาของนาง

“มันคือฝ่ายมาร”

ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือมองหน้ากันและคาดเดาได้ทันทีว่าขุมกำลังเบื้องหลังนั้นคือขุมกำลังใด หากมิใช่เพราะขุมกำลังมารร้าย เกรงว่าคงไม่มีขุมกำลังใดที่จะทรงพลังพอจนทำให้ตระกูลไป่หลี่หวาดหวั่นได้

“ถูกต้อง มันคือฝ่ายมาร”

ไป่หลี่ชิงโร่วมองฉินอวี้โม่ด้วยความรู้สึกชื่นชม หากมิใช่เพราะเรื่องหานโม่ฉือ นางและฉินอวี้โม่ผู้นี้คงจะเป็นสหายที่เข้ากันได้ดี สตรีที่ทั้งชาญฉลาดและยอดเยี่ยมเช่นนี้น่าคบหาสมาคมด้วยเป็นอย่างมาก

“เหอะ เงื้อมมืออันชั่วร้ายของพวกเขาแผ่ขยายไปทั่วจริง ๆ !”

ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ แค่นเสียงด้วยความรังเกียจฝ่ายมารยิ่งกว่าเดิม ด้วยการกระทำที่ชั่วร้ายเช่นนี้ ไม่แปลกใจเลยที่จะเกิดเหตุการณ์ครั้งนั้นเมื่อพันปีก่อน ช่างเป็นกลุ่มคนที่ไร้ยางอายจริง ๆ

“เพราะเหตุนี้ เราจึงสันนิษฐานว่าจะเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้นในงานรวมพลสี่ตระกูลลับ เจ้าหานชางนั่นมิใช่คนดี เขาได้รับการหนุนหลังจากพวกขุมกำลังมารร้าย และตระกูลหลิวก็เห็นดีเห็นงามเป็นฝ่ายเดียวกับพวกเขา เกรงว่าจะต้องเกิดเรื่องที่เลวร้ายในงานครานี้อย่างแน่นอน”

ไป่หลี่ชิงโร่วขมวดคิ้วเป็นปมและกล่าวออกไป นางยังไม่สามารถสืบหาเบาะแสได้ในตอนนี้ หานเฟยก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดและดูเหมือนว่าเขาไม่ทราบเรื่องนี้เลยสักนิด แม้แต่ไป่หลี่ชิงโร่วก็ยังไม่ได้ข้อมูลใดที่เป็นประโยชน์จากเขา

“เพราะฉะนั้น ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พ่อของเจ้าจึงเสแสร้งผูกมิตรสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับหานชาง ในขณะที่หานเฟยตามเกี้ยวพานเจ้า ทั้งหมดเป็นกลยุทธ์ของพวกเจ้าเท่านั้น เจ้าต้องการใช้วิธีนี้เพื่อสืบข้อมูลจากหานเฟยและทำให้หานชางประมาท”

ฉินอวี้โม่ยิ้มกริ่มเล็กน้อย ตระกูลไป่หลี่มิใช่ตระกูลไก่กาธรรมดาทั่วไป การที่ไป่หลี่ชิงโร่วเป็นเช่นนี้ บิดาของนางก็น่าจะไม่ต่างกัน การวางแผนได้อย่างแนบเนียนเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเจ้าเล่ห์จอมแผนการอย่างแท้จริง

“คิดไว้ไม่มีผิด เจ้าคาดเดาจุดประสงค์ของเราได้ในทันที”

ไป่หลี่ชิงโร่วพยักศีรษะโดยไม่กล่าวอธิบายสิ่งใด นี่คือจุดประสงค์ของตระกูลไป่หลี่อย่างแท้จริง พวกเขาไม่เคยยอมแพ้ในการช่วยเหลือหานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วซึ่งถูกกักขังไว้ในหอคอยต้องห้ามของตระกูลหาน

“เอาล่ะ เราเข้าใจแล้ว ทีนี้เจ้าก็เชิญกลับไปได้”

จู่ ๆ ฉินอวี้โม่ก็ลุกขึ้นยืนและกล่าววาจาไล่แขกกลับทันที นางไม่คิดที่จะผูกมิตรจริงใจกับสตรีผู้นี้ ต่อให้วันนี้ไป่หลี่ชิงโร่วจะใจกว้างและมอบข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้กับพวกนางมากมาย นางก็มิได้ซาบซึ้งใจแม้แต่น้อย

เพราะถึงอย่างไร ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างยิ่งเมื่อคิดได้ว่าการที่ไป่หลี่ชิงโร่วทำเช่นนี้แท้จริงแล้วเป็นส่วนหนึ่งของแผนการเพื่อดึงดูดความสนใจของหานโม่ฉือและแย่งชิงเขาไปจากตน

สำหรับผู้ที่คิดแย่งชิงคนรักของตนไป การกระทำของฉินอวี้โม่ก็ถือว่าสุภาพมากแล้ว หากมิใช่เพราะคิดว่าไป่หลี่ชิงโร่วยังพอมีประโยชน์ นางก็คงจะฉีกหน้าคุณหนูผู้นี้ไปนานแล้ว

“อะไรนะ ?!”

ไป่หลี่ชิงโร่วชะงักงันทันทีที่ได้ยินวาจาไม่แยแสของฉินอวี้โม่ เมื่อครู่ทั้งสามสนทนาพาทีกันอย่างเพลิดเพลิน แล้วเหตุใดจู่ ๆ ฉินอวี้โม่จึงกล่าววาจาไล่นางอย่างกะทันหันเช่นนี้ ?

“ชิงเฉิง ช่วยส่งแขกให้ข้าด้วย ข้ามีเรื่องต้องหารือกับโม่ฉือ”

ฉินอวี้โม่เมินเฉยต่อไป่หลี่ชิงโร่วและหันไปกล่าวกับเยว่ชิงเฉิงก่อนดึงมือหานโม่ฉือเดินจากไปทันที

ไป่หลี่ชิงโร่วยังคงแสดงสีหน้างุนงงระคนประหลาดใจ ในขณะที่คนอื่น ๆ ชะงักไปเล็กน้อยเท่านั้นและค่อย ๆ เรียกสติกลับคืนมา

“แม่นางไป่หลี่ ขออภัยด้วย อวี้โม่และโม่ฉือรักกันแนบแน่นมาเสมอ ตอนนี้ทั้งสองอาจกำลังยุ่งอยู่กับการแสดงความรักต่อกันก็เป็นได้”

เยว่ชิงเฉิงยิ้มกริ่มขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้าแหย่เมื่อกล่าวถึงสหายทั้งสอง

“ฮ่า ๆ ๆ ความสัมพันธ์ระหว่างลูกพี่ลูกน้องของข้าทั้งสองช่างดีจริง ๆ”

ไป่หลี่ชิงโร่วรู้สึกอับอายไม่น้อยขณะกำหมัดแน่นและกัดฟันกล่าวออกไป นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่นางถูกหยามเกียรติอย่างไม่ไว้หน้าเช่นนี้ ฉินอวี้โม่ผู้นี้ยากที่จะรับมือจริง ๆ

โชคดีที่ทัศนคติของนางเมื่อครู่ดึงดูดความสนใจของหานโม่ฉือได้สำเร็จ นางเชื่อว่าภาพลักษณ์แย่ ๆ ของนางและความรู้สึกไม่ดีที่เกิดขึ้นจากการพบกันก่อนหน้านี้คงจะหายไปแล้ว ตราบใดที่นางแสดงตนเป็นคนจิตใจดีเพื่อเอาชนะใจหานโม่ฉือต่อไป นางเชื่อว่าตนยังพอมีโอกาสอยู่

เมื่อคิดได้เช่นนี้ ไป่หลี่ชิงโร่วจึงยิ้มบาง ๆ และกล่าวออกไป “ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวก่อน ข้าจะไม่รบกวนเวลาของพวกเขา”

หลังจากเดินตรงไปถึงประตู จู่ ๆ ไป่หลี่ชิงโร่วก็หันกลับไปอีกครั้งและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “แม่นางเยว่ หากไม่รบกวนเกินไป รบกวนฝากบอกโม่ฉือด้วยว่างานรวมพลสี่ตระกูลลับใกล้ที่จะมาถึงแล้ว ข้าสามารถหาทางพาพวกเขาเข้าไปกับข้าได้ ข้าพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมอันดับหนึ่งของนครล่าฝัน หากต้องการสิ่งใด เชิญพวกเขาไปหาข้าที่โรงเตี๊ยมได้ทุกเมื่อ”

หลังจากกล่าวจบ นางก็ไม่เสียเวลาอยู่ที่นี่อีกต่อไปและมุ่งหน้าออกจากจวนจ้าวนครล่าฝันก่อนตรงไปยังโรงเตี๊ยมที่พักของตนทันที

“เหอะ ใครกันที่จะบอกให้เจ้า เจ้าเพียงพยายามดึงดูดความสนใจของรุ่นพี่โม่ฉือก็เท่านั้น อย่าคิดว่าพวกข้ามองไม่ออก !”

เยว่ชิงเฉินอดถอนหายใจเบา ๆ ไม่ได้เมื่อเห็นแผ่นหลังที่เดินจากไปของสตรีผู้นั้น

ในสายตาของนาง ไป่หลี่ชิงโร่วและสตรีคนอื่น ๆ ที่ปรารถนาจะครอบครองหานโม่ฉือตั้งแต่ดินแดนหวนหลิงล้วนเป็นสตรีดอกบัวขาวที่น่ารังเกียจทั้งสิ้น เพียงแต่ดอกบัวขาวของไป่หลี่ชิงโร่วมีคุณภาพสูงกว่าคนอื่นก็เท่านั้น

* 白莲花 (ดอกบัวขาว) เป็นคำสแลงที่เกิดขึ้นใหม่ ใช้ในหมู่วัยรุ่นจีน ใช้ล้อเลียนหรือเปรียบเปรยผู้หญิงที่ทำตัวภายนอกดูซื่อใสบริสุทธิ์เหมือนดอกบัว แต่ที่จริงมีพฤติกรรมมัวหมอง คิดฟุ้งแต่เรื่องไม่ดีไม่งาม หรือผู้หญิงแอ๊บแบ๊วที่ในใจไม่แบ๊ว พูดสั้น ๆ คือแอบแรด หรือแรดเงียบ

“ชิงเฉิง เจ้าควรสงวนท่าทีไว้บ้าง”

ฉินอวี้โม่จับมือหานโม่ฉือเดินเข้ามาทันเห็นสีหน้าที่แสดงออกอย่างชัดเจนของเยว่ชิงเฉิงพอดิบพอดี นางจึงกล่าววาจาหยอกเย้าติดตลกอย่างอารมณ์ดี

“เจ้าไม่ได้ออกไปแสดงความรักกันหรอกรึ ?”

เมื่อเห็นสหายทั้งสองเดินกลับเข้ามาอีกครา เยว่ชิงเฉิงจึงเอ่ยถามและมองทั้งสองด้วยแววตาคลุมเครือ

“นี่มันกลางวันแสก ๆ เอง การนั่งดูเจ้ากับชิงเฟิงแสดงความรักกันน่าจะสนุกมากกว่า”

ฉินอวี้โม่ยิ้มและจับมือหานโม่ฉือเดินไปนั่งลง

พวงแก้มของเยว่ชิงเฉิงแดงระเรื่อทันทีที่ได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่และรู้สึกเขินอายขึ้นมา

“เหอะ เจ้านี่ชอบล้อข้าอยู่เรื่อย !”

เยว่ชิงเฉิงแสร้งทำเป็นฉุนเฉียวและแค่นเสียงเย็นชาทว่าใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มกว้าง นางไม่ขุ่นเคืองในวาจาของสหายแม้แต่น้อย

“เอาล่ะ มาคุยเรื่องจริงจังกันเถอะ”

ฉินอวี้โม่ยิ้มและเริ่มหารือถึงธุระสำคัญกับทุกคน

“ทุกคนคิดว่าสิ่งที่ไป่หลี่ชิงโร่วกล่าวมาเชื่อถือได้รึไม่ ?”

สำหรับเรื่องราวที่ได้ยินมาจากคุณหนูตระกูลไป่หลี่เมื่อครู่ ฉินอวี้โม่ต้องการถามความคิดเห็นจากทุกคนเสียก่อน ไป่หลี่ชิงโร่วแสดงท่าทางและแววตาจริงใจทว่านางไม่มั่นใจนักว่านั่นเป็นความจริงหรือการแสร้งทำ

“หากถามความเห็นข้า ข้ายังไม่วางใจเท่าใดนัก ไป่หลี่ชิงโร่วผู้นั้นดูจะเป็นนางแพศยาจอมหลอกลวง หากเก็บคำพูดของนางมาคิดจริงจังก็คงแปลกเต็มที”

เยว่ชิงเฉิงเป็นคนกล้าพูดกล้าแสดงออกเป็นทุนเดิม และนางไม่ชอบสตรีที่ไร้ยางอายอย่างไป่หลี่ชิงโร่วเป็นที่สุด นางกล่าวตอบแสดงความเห็นของตนอย่างไม่ลังเล

“ข้ารู้สึกว่าเรื่องที่นางกล่าวมาน่าจะเป็นความจริง อย่างน้อยก็เรื่องที่ว่าฝ่ายมารเข้ามาแทรกแซงมีส่วนในสถานการณ์ยุ่งเหยิงนี้ สำหรับทัศนคติของตระกูลไป่หลี่ที่มีต่อตระกูลหานนั้น เรื่องนี้เราสามารถสืบหาในภายหลังได้”

ลั่วเฉินไตร่ตรองอย่างละเอียดก่อนกล่าวแสดงความคิดเห็นของตน

พวกเขาได้รับจดหมายนิรนามมาก่อนหน้านี้แล้วและครานี้ไป่หลี่ชิงโร่วก็ยังกล่าวในทำนองเดียวกัน เห็นได้ชัดว่าฝ่ายมารน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องจริง ๆ อย่างไรก็ตาม สำหรับสิ่งที่ขุมกำลังชั่วร้ายคิดจะทำต่อไปนั้นก็ยากที่จะคาดเดาได้

สี่ตระกูลลับล้วนเป็นขุมกำลังอันดับต้น ๆ ของดินแดนเทพมายา หากทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาแตกแยกได้ก่อน มันก็จะส่งผลดีต่อฝ่ายมารอย่างมาก

คนอื่น ๆ พยักศีรษะอย่างเห็นด้วยและรู้สึกว่าวาจาของลั่วเฉินสมเหตุสมผลมากทีเดียว

ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง ๆ และกล่าวความคิดของตน “ข้าคิดว่าสิ่งที่ไป่หลี่ชิงโร่วกล่าวมาเป็นความจริง อย่างไรก็ตาม นางจะต้องมีบางอย่างที่ปิดบังและยังไม่บอกเราแน่”

ฉินอวี้โม่คาดเดาจุดประสงค์ของไป่หลี่ชิงโร่วในวันนี้ได้แล้ว สตรีผู้นั้นเพียงต้องการแสร้งแสดงความเป็นมิตรจิตใจดีของตนเพื่อทำให้หานโม่ฉือประทับใจในตัวนางเท่านั้น ตราบใดที่นางมีภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาของหานโม่ฉือ ไป่หลี่ชิงโร่วก็จะมีโอกาสมากขึ้นในอนาคต

เพราะเหตุนั้น สิ่งที่นางกล่าวในวันนี้ย่อมมิใช่เรื่องโกหกและบางส่วนจะต้องมาจากใจจริงอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม นางน่าจะมีข้อมูลบางอย่างที่เก็บงำปิดบังจากฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ ซึ่งเรื่องนั้นน่าจะเกี่ยวข้องกับงานรวมพลของทั้งสี่ตระกูลที่กำลังจะมาถึง นางจงใจปล่อยให้มีข้อสงสัยและยังกล่าวทิ้งท้ายก่อนจากไปด้วยต้องการให้ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือไปหานางถึงที่

น่าเสียดายที่ครานี้ไป่หลี่ชิงโร่วคิดผิดอีกครา

หากตกหลุมพรางที่นางวางไว้เสียง่าย ๆ พวกเขาก็คงมิใช่ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ

.