ภาคที่ 4 บทที่ 215 หลบหนี (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 215 หลบหนี (1)

เลือดสดไหลลงจากรถม้าหลวง ท่วมตัวรถมาจนละเลงไปด้วยสีเลือด

ศพคนเถื่อนกองพะเนิน

ซูเฉินยืนอยู่เหนือรถม้าหลวง เผยรอยยิ้มพึงพอใจ เป็นความรู้สึกที่มาจากความกระหายพลังได้รับการเติมเต็ม

โชคไม่ดีที่เติมเต็มได้เพียงความกระหายอยาก พลังที่แท้จริงไม่ได้สูงขึ้นเลย

แต่ก็ช่างมันปะไร ซูเฉินเชื่อว่าเรื่องทุกอย่างย่อมมีเหตุและผล

ทุกอย่างมีเหตุผลของมัน คงยังไม่ถึงเวลาที่โทเทมจะแสดงพลัง

ตอนนี้เขาถือไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดไว้ ราวกับเป็นราชาที่แท้จริง ด้านข้างคือทหารมนุษย์ทั้ง 73 คน

เป็นภาพที่สง่างามและผ่าเผยจนกระทั่งคนเถื่อนทั้งหลายได้เห็นแล้วอึ้งไป

พวกเขาอ้าปากกว้าง ไม่เชื่อกับสิ่งที่เห็น สีหน้าเต็มไปด้วยความสับสน ตกตะลึง กระทั่งความหวาดกลัว ตัดกับสีหน้าของทหารมนุษย์ที่ยืนเด่นเป็นสง่าเรากับออกมาจากภาพวาด

วาบ !

แสงสว่างวาบชั่วครู่ปรากฏขึ้นจากภายในรถม้า เก็บภาพตรงหน้าให้คงอยู่ชั่วนิจนิรันดร์

มันคือแสงจากแผ่นบันทึกที่อานู๋ปี่ติดตั้งไว้ภายในรถม้า เขาจะได้บันทึก ‘ภาพอันรุ่งเรืองและงามสง่า’ เอาไว้ได้

ซึ่งอาจกล่าวได้ว่ามันก็ได้ทำหน้าที่ของมันแล้ว

ซูเฉินไม่รู้เลยว่าภาพของตนเองถูกบันทึกไว้

แต่ถึงจะรู้เขาก็ไม่สน

สังหารศัตรูแล้วก็นับว่าจบภารกิจ

ถึงเวลาถอยแล้ว

“กรร !!!”

คนเถื่อนข้างเคียงเริ่มคำรามโกรธ

เมื่อหายจากอาการตกใจ ทหารคนเถื่อนจึงเริ่มพุ่งเข้าใส่ซูเฉินอย่างดุดัน

โชคไม่ดีที่สายไปเสียแล้ว

ซูเฉินดึงเรือเหาะจันทราเงินและเรือเหาะตะวันกรุ่นออกมาอย่างรวดเร็ว

“เข้าไป !”

สิ้นคำสั่งซูเฉิน ทหารทั้งหลายก็กระโจนเข้าเรือเหาะไปทีละคน

แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เข้าไป

เรือเหาะจันทราเงินเด่นด้านความเร็ว จึงจุคนได้น้อย ปกติแล้วขึ้นได้เพียง 5 คน แต่หากไม่สนความสบาย ก็จุได้มากสุด 10 คน เรือเหาะตะวันกรุ่นลำใหญ่ กว่าสามารถจุคนได้ 20 คน หรือหักเบียดกันก็ได้ถึง 40 คน ซึ่งก็หมายความว่ายังมีอีกกว่า 20 คนที่ไม่สามารถขึ้นเรือได้

ซูเฉิน และคนอื่น ๆ เตรียมพร้อมเรื่องนี้มาแล้ว

แท้จริงแล้วเขาให้คนขึ้นเรือเหาะไปเพียง 45 คน ทั้งหมดคือด่านกลั่นโลหิต ส่วนด่านทะลวงลมปราณรั้งท้ายไม่ได้ขึ้นไป

พวกเขาสามารถใช้อีกวิธีหนึ่งได้

“ไป !”

ตะโกนลั่นแล้ว เรือเหาะทั้งสองก็ลอยสูง

“จับมัน !” คนเถื่อนตะโกนลั่น

แต่กระนั้น ด้วยสนามรบเต็มไปด้วยความโกลาหล ทหารยศสูงทั้งหลายออกไปปกป้องอานู๋ปี่กันหมด จึงเหลือคนเถื่อนที่มีอำนาจพอจะสั่งคนอื่นได้

ซูเฉินฉวยโอกาสร้องตะโกน “อานู๋ปี่ตายแล้ว !”

“อานู๋ปี่ตายแล้ว !”

“ราชาถูกสังหาร !”

“คนเถื่อนแพ้แล้ว !”

เสียงตะโกนเริ่มดังก้องไปทั่ว

สงครามนั้นวุ่นวายอย่างน่าเหลือเชื่อ ไม่มีทหารคนไหนเห็นว่าแนวหน้าเป็นอย่างไร ทำให้เชื่อคำลวงได้ง่าย ส่งผลต่อขวัญกำลังใจ กระทั่งคนเถื่อนก็ยังอดตกใจอยู่ภายในยามได้ยิน เสียง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในสนามรบบ้าง การฆ่าฟันรอบกายมีแต่ทำให้กังวลยิ่งขึ้น เมื่อรวมกับภาพฉากประหลาดที่เกิดขึ้นกับรถม้าหลวงและเลือดที่นองไปทั่วแล้ว คนเถื่อนที่อยู่ห่างออกไปจึงเชื่อว่าเกิดเรื่องกับอานู๋ปี่ พวกที่สับสนมากหน่อยจึงเริ่มเผยแพร่ข่าวนี้ออกไป ทำให้คำลวงกระจายไปอย่างรวดเร็ว

พริบตาเดียว ข่าวเรื่องคนเถื่อนแพ้ก็ดังไกล คนเถื่อนนับไม่ถ้วนที่ยังสู้ศึกสิ้นกำลังใจ ถูกสังหารคาที่ คนอื่นได้แต่มองจนใจ ไม่รู้จะบุกหรือถอย แต่ก็มีพวกที่หันหลังหนีทันทีอยู่ด้วย

……

ประกาศจบ ซูเฉิน เล่อเฟิง และคนอื่น ๆ จึงเริ่มวิ่งไปทางด้านหลังรถม้า

ในเวลาเดียวกัน ร่างของทุกคนก็เปลี่ยนกลายเป็นทหารคนเถื่อน

ถูกต้อง คนพวกนี้ใช้ยาของซูเฉินและได้ความสามารถในการเปลี่ยนร่างมา

พวกเขาจะใช้มันหลบหนี

แม้จะสามารถเปลี่ยนร่างได้ แต่ก็ยังอันตรายไม่ใช่น้อย คนเถื่อนหลายคนเคยเห็นรูปร่างหน้าตาพวกเขามาแล้ว จึงเป็นไปได้ว่าจะตามมา ทั้งยังอาจมีพวกสัตว์อสูรร่วมด้วย

สุดท้ายแล้ว อันตรายเหล่านี้จึงเป็นพวกคนแข็งแกร่งที่ต้องรับมือ

“พบกันที่เนินทางตะวันตก หากในครึ่งชั่วยามยังไม่เห็นใครก็ไปได้เลย !” ซูเฉินว่า

“ขอรับ !” เล่อเฟิงและคนอื่น ๆ ตอบเสียงดัง

ฟ้าว ฟ้าว ฟ้าว !

ขวานบินหลายเล่มพุ่งเข้ามา

ทุกคนหลบพร้อมกัน จากนั้นพุ่งเข้าใส่คนเถื่อนที่ทำการโจมตี

พวกเขาไม่โต้ เช่นนั้นจะทำให้ช้าลงและถูกล้อมได้ มีแต่ปะปนไปกับคนเถื่อนถึงจะกลมกลืนจนแยกไม่ออก

“บุก !”

ซูเฉินเปลี่ยนร่างเป็นคนเถื่อนร่างใหญ่แล้วพุ่งเข้าไป ระหว่างที่บุกตะลุยฝ่าดงศัตรู เขาก็ประทับฝ่ามือลงบนพื้นจนเกิดฝุ่นตลบใหญ่ลอยขึ้น

เสียงลมและเสียงขวานบินดังหวีดหวิวแยกไม่ออกจนเกิดความโกลาหล

แต่เมื่อฝุ่นจางลง คนเถื่อนเหล่านั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

อีกทั้งอานู๋ปี่ตายไปแล้ว รถม้าหลวงก็ถูกทำลาย ข่าวคราวเรื่องคนเถื่อนพ่ายแพ้กระจายตัว คนเถื่อนที่ไม่รู้ความจริงสูญเสียกำลังใจในการต่อสู้ บางคนได้แต่เดินเตร่ไม่รู้ทิศทาง บ้างก็หนีทัพไปเลย

คนเถื่อนเป็นเผ่าที่กล้าหาญชาญชัย แต่จะกล้าหาญแค่ไหนก็ยังมีคนขี้ขลาด ก็เหมือนกับการที่สามารถมีคนอย่างตานปา ซ่าเค่อเอ่อร์ และอ้ายฝูหลี่เก๋อซือขึ้นมาได้แม้จะเป็นเผ่าที่โง่เขลาเพียงไหน จะมีพวกที่หนีทัพบ้างก็ไม่แปลก แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมีมากเกินไป เหมือนกับที่มีคนฉลาดเพียงหยิบมือ

แต่หากมีคนนำแล้ว สถานการณ์จึงผันเปลี่ยน

‘คนเถื่อน’ เกือบ 30 คนพุ่งออกมาจากทัพคนเถื่อนแล้วตะโกนเสียงดังลั่น “คนเถื่อนพ่ายแพ้แล้ว !”

“รีบหนี !”

“ไม่หนีตอนนี้จะถูกสังหาร !”

“นึกถึงลูกที่บ้านสิ……”

คำเหล่านี้ถูกเตรียมมาล่วงหน้า เล็งเป้าหมายไปที่จุดอ่อนของพวกคนเถื่อน

เริ่มแรกมีคนเถื่อนแค่ 3-4 คนที่เริ่มหนี แต่จำนวนก็พลันพุ่งสูง จาก 7 เป็น 8 กลายเป็น 10 และหลายสิบ……

ทุกจังหวะที่ผ่านไปมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้คนอื่นเริ่มคิดจะหนีทัพเช่นกัน

เริ่มแรกก็ยากจะบอกว่าคำพูดส่งผลเพียงไหน แต่ไม่นานก็เห็นว่าคนเถื่อนพากันถอยร่นทัพหลายระลอก

เมื่อขวัญกำลังใจถูกทำลายจึงเกิดปฏิกิริยาลูกโซ่อย่างง่ายดาย

คนเถื่อนในสนามรบก็เหมือนไข่มุกบนสร้อยขาด กระจายตัวไปทั่วเหมือนแมลงวันไร้หัว แม้พวกที่กล้าและบ้าเลือดสักหน่อยยังหมดกำลังใจสู้ ไม่รู้จะทำอย่างไร

เคราะห์ดีที่เป็นเพราะสัตว์อสูรยังคงโจมตี สนามรบซึ่งถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่ง มีเพียงคนเถื่อนที่อยู่ใกล้รถม้าหลวงเท่านั้นที่ถูกกำราบ ขวัญกำลังใจของทหารทางฝั่งวังสีเลือดลอยฟ้ายังมีสูง กระนั้นเมื่อทหารทางหนึ่งหายไป แรงกดดันที่มีต่อสัตว์อสูรจึงลดลงมาก ดังนั้นคนเถื่อนที่เหมือนชัยชนะอยู่แค่เอื้อมจึงรู้สึกว่าสถานการณ์พลิกผัน ไม่อาจกำหนดได้ว่าใครจะชนะ

สำหรับซูเฉินและคนอื่น ๆ นี่เป็นสิ่งที่พวกเขาวาดหวัง

“ตานปา ต้องขอบคุณข้าให้ดีภายหลังด้วยเล่า” ซูเฉินเอ่ยพร้อมรอยยิ้มแล้วเหลือบมองความโกลาหลเบื้องหน้า

ไม่ว่าผลการต่อสู้จะเป็นอย่างไร ชนเผ่าเพลิงก็ต้องรับผิดชอบใหญ่หลวง ตานปาสามารถฉวยโอกาสนี้เรืองอำนาจขึ้นมาได้

คนเถื่อนจะเกิดการต่อสู้ภายในเพราะเรื่องนี้ และไม่เป็นภัยต่ออาณาจักรหลงซางไปอีกเป็นเวลานาน

ส่วนภัยที่ตานปาและคนเถื่อนอาจมีต่อพวกเขาในอนาคต ซูเฉินไม่คิดเป็นกังวล ความแข็งแกร่งของเผ่าขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของคนในเผ่า ไม่ใช่แค่ผู้นำที่แข็งแกร่งเพียงคนเดียว และแม้ตานปาจะเป็นผู้นำที่มองไกล มุ่งสนใจเรื่องสัตว์อสูร แต่มีหรือที่ซูเฉินจะนอนอยู่บนกองเกียรติยศเฉย ๆ?

ซูเฉินรีบควบคุมความคิดของเขาอย่างและพุ่งไปด้านหน้าต่อ

ในตอนนี้ เขาบุกออกจากศูนย์กลางสนามรบแล้ว กำลังจะถึงขอบนอกของการต่อสู้

กระทั่งตรงนี้ก็ยังมีคนเถื่อนวิ่งวุ่นไปทั่ว สูญเสียระเบียบระบบ ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อไป

ถึงตอนนี้ ซูเฉินจึงปลอดภัย ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

แต่ก็เป็นจังหวะนั้นที่เขาเห็นแสงเส้นเส้นหนึ่งพุ่งขึ้นมาบนท้องฟ้า

เป็นเรือเหาะตะวันกรุ่น !

ยังหนีไม่พ้นอีกหรือ ?

ซูเฉินรู้สึกใจสะดุด คิดว่าสถานการณ์คงไม่ดีแล้ว

เมื่อมองดูให้ดีก็เห็นฝูงอินทรีมงกุฎเงินกำลังไล่ล่าเรือเหาะอย่างดุเดือด ทำให้ต้องหลบหนีกลับไปกลับมา

โชคไม่ดีที่เรือเหาะทั้งสองถูกฝูงอินทรีมงกุฎเงินไล่ล่าตั้งแต่เริ่มเหาะขึ้นมา

อินทรีมงกุฎเงินเป็นอสูรกายระดับสูง หากถูกอสูรกายระดับเช่นนั้นล้อมก็นับว่ามีปัญหาแล้ว

เรือเหาะจันทราเงินยังนับว่าไม่เป็นไรเพราะรวดเร็ว ทำให้สลัดพวกมันทิ้งได้ง่าย ที่แย่คือเรือเหาะตะวันกรุ่น

เรือเหาะตะวันกรุ่นไม่ใช่เรือเหาะที่รวดเร็วอยู่เป็นทุนเดิม และมีจำนวนคนอยู่มากที่สุด จึงไม่แปลกที่จะหนีอินทรีมงกุฎเงินไม่พ้น

ที่สำคัญ เรือเหาะตะวันกรุ่นถูกสร้างมาเพื่อใช้ต่อสู้ แต่อาวุธทั้งหลายถูกปิดเอาไว้ไม่อาจใช้งานเพราะบรรจุคนเกิน ทำให้สู้กลับก็ไม่ได้ ในตอนนี้จึงได้แต่ใช้ดาบไม่กี่เล่มและปืนใหญ่สวรรค์บนลำเรือยิงไล่ศัตรู แต่สุดท้ายก็เป็นไปได้ยาก

ซูเฉินหลบหนีสนามรบออกมาได้แล้ว แต่เรือเหาะยังถูกพวกมันไล่วนเป็นวงกลม ทหารพวกนั้นยังได้แต่พึ่งพาเกราะแกร่งของเรือเหาะ แต่ดูท่าจะทนได้อีกไม่นานแล้ว

เห็นเช่นนั้น ซูเฉินจึงรีบเปิดแผ่นสื่อสาร “เหยียนไค พาพวกเขาไปที่ยอดเขากลาง”

“ขอรับ !” เสียงแหบพูดตอบ

ซูเฉินเตรียมแผ่นนี้ไว้ให้ทุกคนจะได้มีวิธีสื่อสารกันได้ ไม่คิดว่าจะได้ใช้ประโยชน์เร็วเช่นนี้

หลังจากออกคำสั่งไปบ้างแล้ว ซูเฉินจึงเริ่มออกตัวไปทางเขาหมี่อัวที่ใกล้ที่สุด

เขาหมี่อัวคือหนึ่งในเขาสามธาราเหิน ยอดอยู่ติดกับปราการสามเขา จึงได้ชื่อว่ายอดเขากลาง สูงขึ้นเหนือฟ้าราวกับนิ้วกลางก็มิปาน

ซูเฉินพุ่งเข้าหายอดเขากลางด้วยความเร็วสูงสุดแทนที่จะบินไป จากนั้นใช้วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายหลายครั้งติดต่อกันจนขึ้นไปอยู่บนยอดเขา

ตอนนี้หน้าผากเขาชุ่มเหงื่อ แม้วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายจะใช้พลังน้อยลงหลังจากปรับเป็นวิชาธรรมชาติแล้ว แต่การใช้มันติดต่อกันในระยะเวลาอันสั้นก็ยังเป็นภาระหนักต่อร่างกายอยู่ดี

ซูเฉินรีบเอนร่างนอนนิ่งบนยอดเขาราวกับเป็นหินก้อนหนึ่ง

อินทรีมงกุฎเงินที่ดินอยู่ด้านบนยังคงเข้าโจมตีเรือเหาะตะวันกรุ่นอย่างดุดันจากรอบทิศ เรือเหาะใช้ทุกวิถีทางแต่ก็ไม่อาจสลัดพวกมันหลุด แค่การมาให้ถึงยอดเขากลางก็นับว่ายากมากแล้ว แย่ไปกว่านั้น อีกาน้ำแข็งคลั่งฝูงหนึ่งก็กำลังพุ่งเข้ามาอีก

สถานการณ์ยิ่งแย่ลงเรื่อย ๆ

ซูเฉินจ้องไปยังฝูงอินทรีมงกุฎเงินเขม็ง

ใกล้อีก !

อีกนิด !

ฝูงอินทรีมงกุฎเงินค่อย ๆ เข้าใกล้ยอดเขา

ถึงเวลาแล้ว !

เงาร่างของซูเฉินกะพริบหายไปพลางใช้วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายอีกครั้ง พร้อมกันนั้น ภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดพลันปรากฏเบื้องหลัง เพลิงดำปกคลุมร่างดูสง่างาม ครั้งนี้สูงใหญ่กว่า 500 จั้ง ดาบหั่นภูผาเริ่มขยาย สายฟ้าเต้นระริกผ่านตัวดาบ ก่อนมันจะวาดวิถีดาบไปยังอินทรีมงกุฎเงิน !!!