บทที่ 216 หลบหนี (2)
เพียงดาบเดียว !
ซัดพลังคราเดียวแต่รวมวิชา ทั้งพลังต้นกำเนิด แก่นโลหิต พลังจิต และความมั่นใจทั้งหมดเอาไว้
กระทั่งขุนเขายังต้องหลีก ทั่วทั้งสนามรบถูกดาบเดียวซัดจนสว่างจ้า
เลือดกระเซ็นทั่วฟ้า
อินทรีมงกุฎเงินราว 20 ตัวถูกปราณดาบคลั่งสังหารในพริบตา ตัวที่เหลือก็บาดเจ็บสาหัสจนหนีไป
การสังหารอสูรกายกว่า 20 ตัวด้วยดาบเดียวทำเอาเหยียนไคและคนอื่นอึ้งไป
เพราะมันเทียบเท่ากับการสังหารด่านสู่พิสดาร 20 คนด้วยดาบเดียวนั่นเอง !
หลังปล่อยการโจมตี ร่างของซูเฉินก็ซวนเซ เห็นได้ชัดว่าเขาใช้พลังไปมาก
เขารีบหยิบยาขวดหนึ่งมากระดกลงคอแล้วดูดซับพลังต้นกำเนิดจากหินพลังในทันที ในเวลาเดียวกันก็ตะโกนลั่น “พวกเจ้าจะยืนมองอะไรกันอยู่อีก ? ออกไปสิ !”
“อ๊ะ !” เหยียนไคผู้รับหน้าที่ควบคุมเรือเหาะเหมือนสะดุ้งตื่นจากฝัน รีบบังคับเรือเหาะตะวันกรุ่นออกไปโดยเร็ว
ช่วยเรือเหาะตะวันกรุ่นไว้ได้แล้ว ซูเฉินก็หมายจะจากไป แต่กลับได้ยินน้ำเสียงชั่วร้ายดังขึ้นที่ด้านหลัง “เจ้าอยู่ที่นี่เองหรือซูเฉิน !”
ใจสีเลือด !
แย่แล้ว !
ได้ยินคำของอีกฝ่ายซูเฉินก็หน้าเคร่ง รีบพุ่งออกมาไกลในทันที
ริ้วแสงเส้นหนึ่งพุ่งเข้าใส่เขาจากเส้นขอบฟ้า
ซูเฉินเหลือบมองด้านหลัง รู้ทันทีว่าความเร็วด้อยกว่าอีกฝ่าย ทั้งยังไม่มีเรือเหาะจันทราเงินติดตัว คิดครู่หนึ่งแล้วเขาก็พุ่งกลับสนามรบ
ใจสีเลือดไม่คิดว่าเขาจะใจเด็ด แต่เมื่อหายตกตะลึงก็ตามมาในทันที
ตัวนิ่มเฒ่าแจ้งเขาแล้วว่าเป็นฝีมือมนุษย์ และมนุษย์ผู้นี้ก็มีไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดและโทเทมแห่งพลังชีวิตเช่นกัน หากใจสีเลือดสังหารเขาทิ้งเสีย ก็จะชิงเอาสิ่งที่เสียไปคืนมาได้มากกว่าเดิม ดังนั้นเขาจึงกระหายอยากจะสังหารซูเฉินไม่ว่าจะต้องทำอย่างไรก็ตาม
ซูเฉินกลิ้งม้วนตัวกับพื้นแล้วเปลี่ยนร่างเป็นคนเถื่อนในทันที
ใจสีเลือดไม่มีความสามารถเช่นผู้มีตาทิพย์ แต่ในเมื่อหาตัวซูเฉินเจอแล้ว ก็ไม่ละสายตาไปอีก จะแปลงกายอย่างไรก็หนีไม่พ้น การแปลงกายของเขาจึงใช้ไม่ได้ผล แต่ก็โชคดีที่เขาไม่ได้คิดจะลวงใจสีเลือดอยู่แล้ว
ใช้วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายไม่กี่ครั้ง ซูเฉินก็แทรกซึมเข้ามาในกลุ่มทหารคนเถื่อนได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้ไม่อาจรู้ได้ว่าเขาเป็นใคร
ในเวลาเดียวกันนั้น ใจสีเลือดก็ตามมาทัน
เขาหยุดลอยอยู่บนท้องฟ้าครู่หนึ่งแล้วจ้องลงมาด้านล่าง
เป็นตอนนั้นเองที่ซูเฉินเห็นว่าร่างของจักรพรรดิอสูรกายเต็มไปด้วยบาดแผลเล็กน้อยมากมาย ไม้เท้าสามสีได้หายไปแล้ว ปกติแล้วกำลังของจักรพรรดิอสูรกายจะทำให้บาดแผลเล็กน้อยหายได้ในทันที แต่ที่ยังเห็นแผลอยู่เช่นนี้หมายความว่าบาดแผลนั้นสาหัสกว่าที่เห็น หรือไม่ความสามารถในการฟื้นตัวของใจสีเลือดก็หมดแล้ว
แต่อย่างไรเขาก็เป็นจักรพรรดิอสูรกาย ทรงพลังและไม่อาจหาใครเทียบได้
เมื่อปรากฏตัวขึ้นก็จ้องซูเฉินเขม็ง
“ตาย !” ร่างขนาดยักษ์พุ่งออกมาจากท้องฟ้า
ครั้งนี้ไม่มีวงเขตสีน้ำเงิน เพลิงมังกรฟ้า หรืออสรพิษปลิดชีวาอีก ไม้เท้าที่แตกสลายและบาดแผลบนร่างทำให้ใจสีเลือดไม่สามารถใช้วิชาธาตุทั้งสามที่เขามักใช้ได้อีก แต่กระนั้นการโจมตีที่ดูธรรมดาก็เต็มไปด้วยพลังมหาศาล
พริบตานั้น ซูเฉินรู้สึกราวกับตนกลับไปเมืองธารน้ำใส ตอนที่ต้องปะทะกับบรรพชนตระกูลหวัง หรือเมื่อครั้งที่เมืองกลืนธารา ตอนต้องรับมือการโจมตีของราชันอสูรกายอสรพิษสายฟ้า
เป็นสถานการณ์ที่รู้สึกไร้ทางลงเช่นแต่ก่อน ทำให้ยากจะดึงกำลังมาต้านทาน
แต่ความต่างในครั้งนี้คือซูเฉินก็แข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน
ฟึ่บ !
ร่างเขาหายไป วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายที่ยกระดับมาแล้วทำให้เขาสามารถเคลื่อนกายได้ระยะไกลขึ้น ดังนั้นจึงมีระยะไกลกว่าเมื่อเทียบกับวงเขตสีน้ำเงินของใจสีเลือด สามารถหลบระยะโจมตีของท่าฝ่ามือได้ง่ายดาย
แต่แม้จะหลบการโจมตีจากระดับพลังอย่างใจสีเลือดได้ แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาไปได้
เป็นสาเหตุที่กงกู๋เอ่อร์ถูสามารถออกท่าโจมตีทันทีที่ใจสีเลือดเคลื่อนกาย
ทันทีที่ซูเฉินปรากฏตัวขึ้นอีกครา ใจสีเลือดก็กระแทกฝ่ามือออกมาทันที
“บัดซบ !”
ซูเฉินถูกบีบให้ใช้วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายแทบจะทันทีที่ปรากฏตัว
เจอสถานการณ์เช่นนี้เขามีแต่ต้องหนี สู้สุดตัวหรือ ? ไม่มีทาง !
เสียงระเบิดดังติดต่อกันให้ได้ยินก้องไปทั้งสนามรบ
ฝ่ามือแล้วฝ่ามือเล่ากระแทกลงจากฟ้า โดนทหารคนเถื่อน สังหารคนไปมากมาย ร่างของซูเฉินกะพริบหลีกหนีไปมาระหว่างกลุ่มทหาร พริบตาเดียวก็เคลื่อนย้ายไปกว่าครึ่งของสนามรบ พร้อมกับมีการโจมตีของใจสีเลือดตามมาติด ๆ เกิดเป็นรอยสีเลือดผ่ากองทัพคนเถื่อน
แต่ผลจากการกระทำโดดเด่นเช่นนั้นคือขวานนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าใส่ใจสีเลือด แม่ทัพหลายคนหันมาพุ่งเข้าหาใจสีเลือดอีกครั้งจนอีกฝ่ายต้องยับยั้งการโจมตี
ซูเฉินปรากฏตัวขึ้นอีก
โอ๊กก ! ซูเฉินอาเจียนออกมาจากอาการเวียนหัว
แม้จะมีพลังจิตกล้าแข็ง แต่การใช้วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายติดต่อกันเช่นนี้ก็ทำเอารู้สึกเหมือนสมองจะแตก หากไม่ได้คนเถื่อนคนอื่นช่วยไว้ เขาก็คงรั้งได้อีกไม่นาน
ซูเฉินรีบหยิบโอสถปลุกวิญญาณขึ้นมากรอกลงคอ สลายความอ่อนล้าอ่อนเพลียในจิตใจลงอย่างรวดเร็ว และยังช่วยบรรเทาความรู้สึกไม่สู้ดีในตอนนี้ด้วย
ซูเฉินรู้ว่าใจสีเลือดหมายตาเขาไว้แล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็กัดไม่ปล่อย
“บัดซบ เท่านี้ยังฆ่าไม่ได้อีกหรือ ? เจ้านี่มันจริง ๆ เลย !” ซูเฉินสบถ
แม้จะไม่หวังให้สู้ได้สูสีกัน แต่การที่ใจสีเลือดสามารถรอดพ้นการโจมตีเมื่อครู่ไปได้และยังเหลือพลังมาไล่ตามเขาก็ทำให้ซูเฉินผิดหวังไม่น้อย
แต่นี่คือความเป็นจริง ใจสีเลือดมีชีวิตอยู่มานาน พื้นฐานพลังไม่ต่ำต้อย การต่อสู้จนไม้เท้าสามสีถึงขีดจำกัดเช่นนี้ เขาเอาชีวิตมาเสี่ยงได้อย่างไร ? โดยเฉพาะตอนที่รู้ว่ากงกู๋เอ่อร์ถูอาจถูกหลอกใช้เท่านั้น
ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นท่าดาบของซูเฉิน ใจสีเลือดก็คงถอยไปนานแล้ว
การมีอยู่ของซูเฉินทำให้ใจสีเลือดยังมีเหตุผลในการต่อสู้ต่อไป
ครั้งนี้เขาไม่ได้ถูกใช้เพื่อปะทะกับศัตรูอีกแล้ว แต่เขาหาเป้าหมายที่แท้จริงพบและกำลังไล่ล่าอีกฝ่ายอยู่
ด้วยเหตุนี้ ใจสีเลือดจึงเรียกสัตว์อสูรรอบข้างเข้ามา และดูจะไม่ห่วงชีวิตตนเองเลย !
“กรรร !”
เสียงร้องบ้าคลั่งดังก้องฟ้า
ใจสีเลือดลอยขึ้นไปบนอากาศ ปล่อยก้อนพลังเพลิงออกมา
เปลวเพลิงปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่มีพลังจากไม้เท้าสามสีจึงไม่รุนแรงเท่าแต่ก่อน
เมื่อไม่มีกงกู๋เอ่อร์ถูกับราอูแห่งรอยสักแล้ว เพลิงมังกรฟ้าจึงสร้างความหายนะได้ ไม่นานก็ขยายร่างใหญ่โต เกิดเป็นสะเก็ดเพลิงร่วงลงมาจากฟ้าทั่วทุกแห่ง
นี่คือการโจมตีที่ส่งผลทั่วพื้นที่อย่างแท้จริง
คือพลังที่แท้จริงของจักรพรรดิอสูรกาย !
หากคิดสังหารซูเฉิน จะเป็นคนเถื่อนหรือมนุษย์คนใดที่ขวางทางก็ต้องตายทั้งหมด
“มันบ้าไปแล้วจริง ๆ” กงกู๋เอ่อร์ถูเอ่ย มองภาพตรงหน้าด้วยความตกตะลึง
ผู้นำบรรพชนแห่งอารามศักดิ์สิทธิ์คูผู้นี้ถูกเผาไหม้ตั้งแต่หัวจรดเท้า กระทั่งหนวดเครายังไหม้ไปด้วยเล็กน้อย บรรพชนคนเถื่อนที่เหลือล้วนตายไปแล้ว ไม่มีใครเหลือรอด
แต่เขายังหยัดยืนอยู่ได้ ยังต่อสู้ได้อยู่
แต่เขาไม่อาจเข้าใจที่จู่ ๆ ใจสีเลือดก็บ้าคลั่งขึ้นมาได้เช่นนี้เลย
ฝนเพลิงคลั่งโปรยลงจากฟ้า ปกคลุมทั่วทั้งยอดเขาไปด้วยเปลวเพลิง เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดและโกรธแค้นดังไปทั่ว
“เอาสมบัติของข้าคืนมา !”
ซูเฉินแหงนหน้ามองฟ้า “เจ้านี่บ้าไปแล้วจริง ๆ แต่อย่างไรเล่า ?”
เขาจ้องใจสีเลือดนิ่งแล้วถอยไปทีละก้าว
การต่อสู้ได้ถึงจุดเดือดสุดท้ายแล้ว
แม้บนฟ้าจะโปรยฝนเพลิงลงมาจนเผาสัตว์นับไม่ถ้วนตายทั้งเป็น แต่ทหารคนเถื่อนก็ยังกรีดเสียงร้องอย่างบ้าคลั่ง เมื่อการต่อสู้ดำเนินมาถึงจุดหนึ่ง ความกล้าหาญชาญชัยของทหารคนเถื่อนก็เหมือนจะกลับมาอีกครั้ง
“ย่าห์ !”
“สู้จนตัวตายไปเลย !”
“พวกเราสู้จนตัวตาย !”
“เพื่อเกียรติยศแห่งคนเถื่อน !”
“เพื่อเกียรติยศแห่งคนเถื่อน !”
“เพื่อชนเผ่าเพลิง !”
เสียงร้องเสียงประกาศดังขึ้นทั่วทั้งสนามรบ
ทหารชั้นยอดที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีเริ่มสดปล่อยพลังทั้งหมดที่มี
“เฮ่อลู่ลาอู ! เหมิงทัว !”
ฟ้าสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นเมื่อกี้เสียงร้องดังไกลขึ้นไปถึงชั้นฟ้า เหมือนกับเพลงสวดหรือบทกวี เหมือนกับเปลวเพลิงและทะเล
นักรบคนเถื่อนคำรามอย่างบ้าคลั่งแล้วพุ่งเข้าใส่ ซัดการโจมตีเต็มกำลังออกมา เมื่อเปลวเพลิงโปรยลงจากฟากฟ้า ขวานเหล็กอันเยือกเย็นขนาดยักษ์ที่ส่องแสงแวววับก็เห็นได้จากทั่วทุกทิศ
ขวานเหล่านี้ที่ส่องประกายสว่างสะท้อนแสงของเปลวเพลิงหมุนคว้างขึ้นมาบนฟ้า กรีดตัดอากาศ เปลวเพลิง สายลม และสิ่งอื่นที่อยู่ในอากาศ เมื่อถูกขวานเปลวเพลิงก็สลายไป ทะเลเพลิงที่เหมือนจะขยายไปสุดขอบฟ้ากลับถูกขวานบินนับไม่ถ้วนเฉือนทำลาย
พละกำลังของจักรพรรดิอสูรกายอาจมากพอจะทำลายขุนเขาให้ราบ สร้างลำธารขึ้นมาได้ แต่เห็นได้ชัดว่าพละกำลังของทหารชั้นยอดพวกนี้ก็ทำได้เช่นกัน
นี่เป็นการต่อสู้ที่ใช้จำนวนเอาชนะคุณภาพ หากใจสีเลือดไม่บาดเจ็บก็อาจเอาชนะได้ แต่ตอนนี้ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูมากหลายที่นำโดยแม่ทัพมากความสามารถ ใจสีเลือดจึงไร้ทางชนะ
ทะเลเพลิงหายไปในที่สุด ใจสีเลือดพ่นเลือดออกมา
แท้จริงแล้วมันไม่ใช่เลือด แต่ออกมาจากจิตวิญญาณ เป็นเหตุผลที่ทำให้เขาแข็งแกร่งมากจนไม่มีใครต้านทานการโจมตีได้
ความเจ็บปวดใหญ่หลวงเตือนให้ใจสีเลือดรู้ว่าตนเองได้แผลที่ไม่อาจฟื้นคืนได้อย่างสมบูรณ์ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปก็อาจอันตรายถึงชีวิต
แต่เมื่อเห็นซูเฉินที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม ใจสีเลือดจึงไม่อยากปล่อยมือไปเช่นนี้
เขาไม่อยากพ่ายแพ้ไปเช่นนี้ ไม่เต็มใจให้คนที่ชิงสมบัติเขาหนีไปได้
แม้จะต้องเอาชีวิตเข้าแลกก็ต้องลองดู !
คนเราตายเพื่อความมั่งคั่งก็เหมือนนกที่ตายเพื่ออาหาร
เขาจึงโจมตีอีก
พลังงานลึกล้ำทรงพลังแผ่กระจายทั่วสนามรบ เต็มไปด้วยกลิ่นอายความมืดที่ชอนไชไปทั่วทุกมุม
วิชาต้องห้าม !
วิชาต้องห้ามอีกวิชาหนึ่ง !
ใจสีเลือดสู้สุดตัวแล้วจริง ๆ
คลื่นพลังความมืดขนาดใหญ่ถูกปล่อยออกมาจากแก่นพลังชีวิตภายในร่าง มีพลังทำลายล้างสูง ไม่สามารถใช้พลังปะทะให้สลายไปได้
“ข้าจะเอาสมบัติของข้าคืนมา ใครกล้าขวางต้องตาย !” ใจสีเลือดกรีดเสียงลั่น
เมื่อซัดการโจมตีออกไปแล้ว ก็รู้สึกได้ถึงพลังชีวิตที่เริ่มเหือดหายไปจากร่าง
หากเมื่อตอนที่สู้กับกงกู๋เอ่อร์ถูในตอนแรก กำลังของเขาถูกลดเป็นขั้นราชันอสูรกายไปชั่วคราว ตอนนี้เขาก็เหลือกำลังเพียงขั้นเจ้าอสูรกายเท่านั้น
แต่เขาก็เชื่อว่ามันมากพอจะสั่งหารซูเฉินได้
แต่ชั่วครู่ต่อมา สถานการณ์กลับพลิกผันจนเขาพูดไม่ออก !!!