ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
เสียงคำรามพร้อมควันไฟพวยพุ่งจากปากกระบอกปืนของรถถังที่เรียงรายอยู่แนวหน้า เหล่าคิเมร่าต่างโผบินขึ้นสู่ฟ้าพร้อมปรับรูปขบวนเป็นร่างแหคลี่คลุมทั่วกองทัพฝ่ายตน
เหล่านักรบทัวเรนที่ระดับล้วนเกินสิบต่างพุ่งเข้าหาพวกปีศาจอย่างอาจหาญ
ด้วยกองหน้าที่แข็งแกร่ง การโจมตีอย่างบ้าคลั่งของพวกปีศาจในช่วงเริ่มต้นจึงถูกยันเอาไว้ได้ อย่างไรก็ตาม พวกปีศาจมีมากเกินไป เป็นการยากที่จะต้านทานพวกปีศาจอย่างสมบูรณ์โดยพึ่งพาเพียงกองทัพพันธมิตรมนุษย์
ในตอนนั้นเอง เสียงกีบเท้าอาชาก็ดังขึ้นแทกรเสียงการสู้รบ และที่ด้านหลังของกองทัพปีศาจก็ปรากฏกลุ่มอาชาที่มีเปลวเพลิงลุกท่วมตัวโถมเข้าหากองทัพปีศาจ
อาร์ทัส!
ในช่วงเวลาสำคัญ อาร์ทัสนำกองทัพอันเดดเข้าสู่สนามรบ ที่ด้านหลังของอาร์ทัส กองทัพอันเดดที่แน่นขนัดกำลังเคลื่อนพลติดตามหลังมา มังกรน้ำแข็งนับร้อยตัวกางปีกสยายพลางกู่คำรามกึกก้องท้องฟ้า
นักรบของทั้งสองฝ่ายต่างตะลึงงัน ไม่ว่าฝ่ายใดก้คาดไม่ถึงว่ากองทัพอันเดดจะปรากฏตัวออกมาในเวลานี้ แต่เห็นได้ชัดว่าเป้าหมายของพวกมันไม่ใช่ฝ่ายมนุษย์หากแต่เป็นฝ่ายทหารทมิฬและปีศาจ
โฮก……….
อาร์ทัสกู่ร้องพลางควบอาชากวัดแกว่งดาบฟรอสต์มัวร์ผ่าร่างของปีศาจเป็นสองส่วน
กลิ่นอายทรงพลังพลันปะทุขึ้นจากร่างของอาร์ทัส อาร์ทัสในเวลานี้ประดุจมัจจุราชคร่าวิญญาณ ทุกที่ที่เขามุ่งไปล้วนเต็มไปด้วยความตาย
หลังจากบรรลุถึงขั้นที่เจ็ด อาร์ทัสก็เปลี่ยนแปลงไปมาก กระทั่งบรรลุระดับที่สูงที่สุดที่เขาเคยบรรลุ ราชันย์อมตะ
ต้องทราบว่า เมื่ออาร์ทัสบรรลุถึงขั้นราชันย์อมตะ เขาก็แทบจะไร้เทียมทาน และไม่ทราบต้องใช้ยอดนักรบมากมายเพียงใดเพื่อต้านทานเขาเอาไว้
หนึ่งดาบฟรอสต์มัวร์กวัดแกว่งออก โลหิตของปีศาจสาดกระเซ็น ตลอดทางมีซากศพนอนทอดยาว พร้อมกับเสียงร่ายมนต์ที่ดังขึ้น ศพของเหล่าปีศาจที่สิ้นชีพไปแล้วก็ลุกขึ้นยืนหยัดต่อสู้อีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้ศัตรูของพวกมันคืออดีตสหายร่วมรบของพวกมันเอง
หลังจากบรรลุขั้นที่เจ็ด พลังในการควบคุมเหล่าอันเดดของอาร์ทัสก็เพิ่มขึ้นมหาศาล มากเพียงพอจะเปลี่ยนศพปีศาจทุกศพมาเป็นนักรบอันเดดใต้บัญชา
ปีศาจที่เข้าร่วมสงครามในครั้งนี้ตอนเป็นก็แข็งแกร่งอยู่ก่อนแล้ว และหลังจากถูกเปลี่ยนเป็นอันเดดก้ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นไปอีกขีดขั้น อีกทั้งอาร์ทัสยังได้เรียกแน็กแรมมาเพิ่มพลังให้เหล่าอันเดดด้วยแล้ว กองทัพปีศาจต้องต้องเผชิญหน้ากับศัตรูสุดแกร่งจึงกลายเป็นปั่นป่วนขึ้นมา
กองทัพพันธมิตรรีบใช้โอกาสจากความวุ่นวายนี้เพื่อสร้างที่มั่น และในขณะเดียวกันก็ปลดปล่อยอาวุธทั้งหมดโจมตีโต้กลับกองทัพปีศาจ
นี่คือศึกครั้งสุดท้าย ไม่จำเป็นต้องอดออมสิ่งใดไว้อีกต่อไป ดังนั้นจ้าวมนตราทั้งสามจึงนำม้วนคัมภีร์เวทที่ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยหวงแหนยิ่งกว่าบุตรในไส้มาใช้ถล่มทำลายกองทัพปีศาจจนเกิดความสูญเสียอย่างหนัก
น้ำยาฟื้นฟูมานาของเซียวอวี๋ได้ถูกขนออกมาแจกจ่ายแล้วตั้งแต่แรกเริ่ม การเก็บเอาไว้ไม่ยอมนำมาใช้ในเวลาเช่นนี้ถือเป้นความโง่เขลา คุณค่าของน้ำยาเหล่านี้จะเปล่งประกายได้มากที่สุดก็ในสนามรบ
ครืน…….
ในตอนนั้นเอง แสงสีทองอร่ามก็พลันปะทุขึ้นกลางท้องฟ้าก่อนจะตกลงมา และร่างที่อยู่ทางด้านข้างของเซียวอวี๋เองก็ปลดปล่อยกลิ่นอายพลังเวทมนตร์มหาศาลกวาดผ่านสนามรบสอดรับกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น
นี่เป็นการปะทุของพลังขั้นที่เจ็ด!
เซียวอวี๋กระพริบตาปริบๆขระหันไปมองดูผู้ที่บรรลุขั้นที่เจ้ด ซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็นภรรยาสุดที่รักของเขา หลินมู่เสวี่ย
ในช่วงเวลาอันสำคัญ ในที่สุดหลินมู่เสวี่ยก็ก้าวผ่านธรณีประตูบรรลุขอบเขตขั้นที่เจ็ด ซึ่งอันที่จริง เซียวอวี๋ก็พอจะคาดเดาออกได้ว่าเหตุใดหลินมู่เสวี่ยจึงบรรลุขั้นที่เจ็ดได้รวดเร็วเช่นนี้ นั่นก็เพราะพลังของเอกวินน์ในร่างของนางสมัผัสได้ถึงการคงอยู่ของซาแกรลาส ซึ่งเหตุการณ์นี้ได้ไปกระตุ้นกระบวนการพัฒนาของมู่เสวี่ยให้เร่งเร็วขึ้น
ความเกลียดชังที่เอกวินน์มีต่อซาแกรลาสนั้นลึกล้ำสุดประมาณ ดังนั้นเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังของซาแกรลาส พลังในร่างของหลินมู่เสวี่ยจึงมีปฏิกิริยาตอบสนองทันที
แม้ว่าในช่วงเริ่มต้น พวกปีศาจจะเป็นฝ่ายที่ถือไพ่เหนือกว่า แต่หลังจากการมาของอาร์ทัส สถานการณ์ก็เริ่มเปลี่ยนไป เป็นเรื่องยากที่มนุษย์จะเอาชนะสงครามในครั้งนี้ได้โดยลำพัง แม้ว่านักรบยอดฝีมือของทางฝั่งมนุษย์จะมีอยู่อย่างคับคั่ง ตัวตนผู้เข้มแข็งทั้งหมดบนผืนทวีปล้วนแต่เข้าร่วมศึกในครั้งนี้ กระนั้นฝ่ายศัตรูนั้นมีจำนวนมากมายมหาศาลจนยากที่จะลบช่องว่างความแตกต่างระหว่างสองฝ่าย
อย่างไรก็ตาม การปรากฏตัวของอาร์ทัสนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลง ในด้านจำนวนที่มากมายไม่หมดไม่สิ้นแล้ว กองทัพอันเดดไม่ได้หวาดกลัวต่อข้อได้เปรียบนี้ของกองทัพปีศาจเลย
โดยเฉาพอย่างยิ่ง อาร์ทัสสามารถเปลี่ยนเหล่าปีศาจที่ตกตายให้กลายมาเป็นนักรบใต้สังกัดตน อาจกล่าวได้ว่า กองทัพอันเดดนั้นสามารถเติบโตขึ้นได้อย่างไร้ขีดจำกัด ของที่ทางฝั่งกองทัพปีศาจนั้นไม่ใช่
ขณะที่การบาดเจ็บล้มตายมีอัตราเพิ่มขึ้น ซากศพที่อาร์ทัสควบคุมก็ยิ่งมายิ่งมาก กล่าวได้ว่าบทบาทของอาร์ทัสเพียงคนเดียวยังมีค่ามากกว่าทหารนับล้านเสียอีก
เซียวอวี๋อดยินดีที่ครั้งนั้นตนเลือกปล่อยให้อาร์ทัสพัฒนาต่อไปเสียไม่ได้ มิเช่นนั้นสถานการณ์ในวันนี้คงเลวร้ายสุดประมาณ
หลินมู่เสวี่ยบรรลุขั้นที่เจ็ด ซึ่งอาจกล่าวได้ว่ามีบทบาทสำคัญต่อผลของสงครามเป็นอย่างมาก เพราะถึงที่สุดแล้ว ครั้งนึงพลังของเอกวินน์ก้เคยกำราบซาแกรลาสจนพบความพ่ายแพ้ได้มาแล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงร่างจำแลงก็ตาม
อย่างไรก็ตาม พลังของหลินมู่เสวี่ยในเวลานี้กำลังเพิ่มขึ้นจนเข้าใกล้ระดับพลังที่เอกวินน์เคยครองครอง นี่นับเป็นสัญญาณที่อันดี…..