หวงฝู่อี้เซวียนยืนนิ่ง หันหลังมองกลับมาที่เขา

 

เมื่อเห็นเศษกระเบื้องที่ตกแตกอยู่เต็มพื้น หวงฝู่ซวิ่นชะงักไป แล้วจึงพูดว่า “เพราะเจ้ายั่วโมโหข้า ข้าบอกให้เจ้าหยุด”

 

หวงฝู่อี้เซวียนสีหน้าเคร่งขรึม แล้วเดินมุ่งหน้าไปที่เขา

 

หวงฝู่ซวิ่นตกใจถึงขั้นลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ ถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า “เจ้าจะทำอะไร”

 

เดินมาได้ครึ่งทาง หวงฝู่อี้เซวียนก็เลี้ยวไปนั่งที่เก้าอี้ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงนิ่ง “น้องของข้าทั้งสองคนอยากจะเข้าเรียนที่กั๋วจื่อเจี้ยน เจ้าช่วยให้เข้าไปได้ที”

 

เมื่อเห็นท่าทางของเขาแล้ว หวงฝู่ซวิ่นจึงถอนหายใจหนึ่งเฮือก แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ตนตามเดิม คอตั้งแล้วถามว่า “ทำไมข้าต้องช่วยเจ้า”

 

หวงฝู่อี้เซวียนมองไปที่เขาด้วยสีหน้าเฉยๆ

 

หวงฝู่ซวิ่นก็ไม่ยอม จึงจ้องกลับไป “เจ้ามองข้าด้วยเหตุใด ข้าจะบอกให้ ข้าไม่ช่วย ไม่ช่วย ก็คือไม่ช่วย”

 

“เจ้าแน่ใจแล้วงั้นรึ” หวงฝู่อี้เซวียนถามกลับด้วยน้ำเสียงนิ่ง

 

“ข้าจะแน่ใจหรือไม่แน่ใจแล้วเจ้าจะทำไม ข้าไม่ช่วย” หวงฝู่ซวิ่นก็ยังจะปากแข็งอยู่

 

“ข้อแลกเปลี่ยน!” หวงฝู่อี้เซวียนพูดสั้นๆ

 

หวงฝู่ซวิ่นรู้สึกดีใจ แต่ไม่ได้แสดงออกด้วยท่าทางใดๆ บอกว่า “อย่างนี้สิถึงจะถูก ข้าเป็นถึงไท่จื่อ เจ้าให้ข้าช่วยอยู่บ่อยๆ โดยไม่มีสิ่งใดมาแลกเปลี่ยนไม่ได้หรอกนะ”

 

“ข้อแลกเปลี่ยน!” หวงฝู่อี้เซวียนพูดอีกครั้ง ในน้ำเสียงมีความเบื่อหน่าย

 

“ดูเจ้าสิ เจ้าทำอย่างนี้กับข้าได้อย่างไร ข้าเป็นพี่ใหญ่ของเจ้า เป็นไท่จื่อแห่งตงกง เจ้าเดินเข้าประตูมาไม่เพียงแต่ไม่ทำความเคารพข้า ตอนพูดจาก็ไม่สุภาพ ไว้หน้าข้าเสียหน่อยก็ไม่ได้” หวงฝู่ซวิ่นพูดอย่างไม่พอใจ

 

หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว แล้วมองจ้องไปที่เขา “เจ้าอยากให้ข้าเรียกเจ้าว่า ไท่จื่อ งั้นรึ”

 

หวงฝู่ซวิ่นชะงักไป หลังจากนั้นก็รู้สึกตัวได้ว่าตนเองพูดอะไรออกไป จึงรีบโบกมือ “ข้าไม่ได้หมายความว่าเช่นนั้น ข้าหมายความว่า…”

 

“ข้อแลกเปลี่ยน!” หวงฝู่อี้เซวียนพูดเป็นครั้งที่สาม

 

เมื่อรู้ว่าถึงขีดจำกัดความอดทนของเขาแล้ว ถ้าหากยังพูดต่อไปเขาไม่ทนอย่างแน่นอน จึงกลืนน้ำลาย หลังจากนั้นหวงฝู่ซวิ่นจึงพูดว่า “ไม่ได้มีข้อแลกเปลี่ยนอะไร เพียงแต่ว่าตอนนี้เรื่องที่เสด็จพ่อให้ข้าจัดการมันมากเสียเหลือเกิน อยากให้เจ้าช่วยข้าเสียสักหน่อย”

 

“ไม่ว่าง” พูดปฏิเสธอย่างเด็ดขาด

 

“เจ้าจะไม่ว่างได้อย่างไร น้องชายน้องสาวก็หาจนเจอแล้ว งานก็แต่งแล้ว หรือว่าไม่สามารถมาช่วยข้าได้แล้วงั้นรึ”

 

“ภรรยาของข้าตั้งครรภ์ ข้าจะต้องดูแลนาง” หวงฝู่อี้เซวียนหน้าไม่ได้แดง ใจไม่ได้เต้นแรง พูดด้วยท่าทางนิ่งสงบ

 

หวงฝู่ซวิ่นอ้าปากค้างมองไปที่เขา ไม่ได้ตอบเขาไปสองนาน

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ได้พูดอะไร มองไปที่เขาด้วยสายตานิ่ง

 

ผ่านไปสักพัก หวงฝู่ซวิ่นเดินลงมาจากเก้าอี้ เดินมาที่ตรงหน้าเขาด้วยความสงสัย จ้องไปที่ดวงตาของเขา “เมื่อกี้เจ้าพูดว่าเยี่ยงไรนะ”

 

หวงฝู่อี้เซวียนซ้ำอีกรอบด้วยความอดทน “ภรรยาของข้าตั้งครรภ์แล้ว ข้าจะต้องดูแลนาง”

 

เห็นว่าตนเองฟังไม่ผิด ว่าเขาพูดเช่นนี้จริงๆ หวงฝู่ซวิ่นยื่นมือออกมาชี้หน้าเขา “เจ้าๆ …”

 

หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว แล้วปัดมือของเขาออกไปเบาๆ “หลังจากนี้สามวัน ข้าจะพาพวกเขาไปกั๋วจื่อเจี้ยน เจ้าช่วยจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยด้วย”

 

หวงฝู่ซวิ่นถึงได้รู้สึกตัวพูดขึ้นมาว่า “เหตุใดเจ้าถึงได้ไม่เอาไหนเช่นนี้ ผู้หญิงคนไหนตั้งครรภ์ไม่เป็นกัน มีอะไรให้ต้องดูแลอีก อีกอย่าง คนในจวนก็มีตั้งมากมาย เจ้ายังต้องไปดูแลอีกงั้นรึ”

 

“โยวเอ๋อร์กินแต่ข้าวต้มที่ข้าต้มให้ คนอื่นทำนางไม่กิน ดังนั้น ข้าจะต้องดูแลนางอย่างใกล้ชิดที่สุด”

 

น้ำเสียงของหวงฝู่ซวิ่นยิ่งทวีความไม่พอใจเข้าไปใหญ่ “ก็แค่ผู้หญิงคนเดียว โลกนี้มีตั้งมากมาย เจ้าจะเอาเท่าไร เอาแบบไหน พี่ใหญ่จะหาให้เจ้าเอง เหตุใดเจ้าจะต้องทรมานตนเองแบบนี้ด้วย อีกอย่างเจ้าเป็นถึงซื่อจื่อแห่งจวนอ๋อง เป็นผู้สูงส่ง เหตุใดจะต้องทำเพื่อนางถึงขนาดนี้ เจ้านี่ใช้ไม่ได้จริงๆ ถ้าหากว่าเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ผู้คนจะต้องหัวเราะเยาะเจ้าอย่างแน่นอน”

 

“พี่ใหญ่” หวงฝู่อี้เซวียนมีความโกรธแฝงอยู่ในน้ำเสียบงที่นิ่งสงบ “โยวเอ๋อร์เป็นผู้หญิงคนเดียวที่ข้ารัก เป็นแม่ของลูกข้า เป็นทั้งหมดของข้า และเป็นคนเดียวของข้า”

 

หวงฝู่ซวิ่นโกรธเป็นอย่างมาก “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ สิ่งนี้เป็นผลเสียต่อหน้าที่การงานในอนาคตของเจ้า เป็นชายชาติชาตรี จะต้องทำหน้าที่เพื่อราชสำนักเป็นหลัก ไม่ใช่ดูแลลูกเมียเป็นหลักเสียสักหน่อย”

อ่านนิยาย

พูดจบ ก็ไม่ยอมลดละ พูดต่อ “ที่เจ้าบอกว่ามีน้องชายสองคนนั่นก็เป็นของนางสินะ เรื่องนี้ข้าจะไม่ช่วย เจ้าไปหาวิธีเอาเองเถอะ”

 

“ได้” หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้น ท่าทางยังคงนิ่งตามเดิม ไม่เสียใจหรือดีใจแต่อย่างใด “วันนี้รบกวนพี่ใหญ่แล้ว”

 

พูดจบ ก็หันหลังเดินออกไป

 

เห็นว่าเขาเดินกลับออกไปจริงๆ ความโกรธของหวงฝู่ซวิ่นทนไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ร่างกายขยับอย่างรวดเร็ว แล้วตะโกนบอกเขาทางด้านหลังว่า “ถ้าวันนี้คิดไม่ได้ล่ะก็ ก็ไม่ต้องออกจากตำหนัก”

 

รู้สึกได้ถึงเสียงลมทางด้านหลัง ท่าทางของหวงฝู่อี้เซวียนก็รวดเร็วเช่นกัน หลบฝ่ามือของเขาได้ หลังจากนั้นก็หันหลัง แล้วสวนเขากลับไปหนึ่งที

 

ทั้งสองคนใช่ว่าจะไม่เคยประลองฝีมือกันมาก่อน คนในตงกงก็ชินกันเสียหมดแล้ว ตอนแรกไม่ได้มีใครสนใจ ต่างคนต่างสนใจแต่ชีวิตตนเอง ไม่นานก็รู้สึกแปลกๆ ทั้งสองคนไม่ได้ประลองกันเหมือนปกติทุกครั้ง สู้กันไปมา รู้สึกได้ว่าอยากจะฆ่ากันจริง

 

ทหารลับในตงกงต่างตกใจเป็นอย่างมาก พวกเขาอยู่ข้างกายของหวงฝู่ซวิ่นมาก็นาน รู้ว่าฝีมือของหวงฝู่อี้เซวียนสูงกว่าไท่จื่อหนึ่งขั้น ถ้าหากว่าไท่จื่อได้รับบาดเจ็บล่ะก็ พวกเขาได้โดนตัดหัวแน่ จึงค่อยๆ กระโดดออกมาจากที่ลับ เตรียมพร้อมที่จะสนับสนุนหวงฝู่ซวิ่น

 

รู้สึกได้ถึงพวกเขาที่กำลังจะเข้ามา หวงฝู่ซวิ่นจึงออกคำสั่งว่า “ออกไปให้หมด วันนี้ข้าจะสั่งสอนไอเจ้าคนไร้อนาคตคนนี้ด้วยตนเอง”

 

เหล่าทหารลับทั้งหลายต่างมองหน้ากัน กำลังจะถอยกลับ หวงฝู่อี้เซวียนก็อาศัยจังหวะที่หวงฝู่ซวิ่นกำลังพูดอยู่ไม่ทันได้ตั้งตัว ถีบเขากระเด็นออกไป

 

คนในตำหนักต่างก็กรีดร้องออกมา

 

หวงฝู่ซวิ่นจัดระเบียบร่างกายตนเองในอากาศ แล้วจึงร่วงลงพื้น หลังจากนั้นก็ถอยไปเองอย่างไม่รู้ตัว แล้วตะโกนออกมาเสียงดังว่า “หุบปากให้หมด ถ้ายังร้องเรียกอะไรอีก จะประหารให้หมด”

 

ในตำหนักก็เงียบลงทันที

 

สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้เปลี่ยนไป หวงฝู่ซวิ่นถอนหายใจหนึ่งเฮือก แล้วพูดออกมาด้วยความไม่ยอม “ไอเจ้าชั้นต่ำ กล้าลอบโจมตีข้า ครั้งนี้ไม่นับ เอาใหม่” พูดจบ ก็พุ่งออกไปอีก

 

ผ่านไปสิบห้านาที หวงฝู่ซวิ่นก็มุ่งตรงออกไปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ได้โชคดีเหมือนครั้งก่อน เลยทำให้กระแทกตกลงพื้นดินอย่างแรง จึงมีเสียงดังก้องขึ้นมา

คลิก

คนในตำหนักต่างก็เอามือปิดปากเอาไว้ ไม่กล้าที่จะเปล่งเสียงใดๆ ออกมา

 

“ยังจะมาอีกไหม” หวงฝู่อี้เซวียนถามด้วยเสียงที่นิ่งขรึม

 

ครั้งนี้กระแทกลงไปอย่างแรง จะบอกได้ว่า เป็นครั้งที่ตั้งแต่หวงฝู่ซวิ่นเกิดมาไม่เคยมีครั้งไหนแรงเท่าครั้งนี้มาก่อน เจ็บเสียจนพูดไม่ออก

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร ยืนนิ่งตรงอยู่กับที่ รอคำตอบจากเขา

 

มีบ่าวเดินออกมาดู อยากที่จะพยุงเขาขึ้นมา แต่ก็โดนหวงฝู่ซวิ่นจ้องตาจนถอยกลับไป

 

ไม่นาน หวงฝู่ซวิ่นพูดกับหวงฝู่อี้เซวียนด้วยท่าทางไม่พอใจ “ข้าเป็นถึงพี่ใหญ่ของเจ้า เจ้าไม่เพียงแต่ลงมือหนักขนาดนี้ ยังจะไม่มาพยุงข้าขึ้นไปอีก”

 

“พี่ใหญ่มีประสบการณ์มาก่อนข้า น้องเสียเปรียบ ดังนั้นจึงไม่กล้าไปพยุงเจ้าขึ้น” หวงฝู่อี้เซวียนตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย

 

หวงฝู่ซวิ่นพูดอะไรไม่ออก นึกถึงเมื่อหลายปีก่อน ก็เคยเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ตอนนั้นตนก็โดนเขาอัดจนล้มลงกับพื้น ตอนนั้นไอเจ้านี่ยังไม่ได้ฉลาดขนาดนี้ จึงใจดีมาพยุงตนขึ้น ตนจึงอาศัยจังหวะนี้เตะเขาลงไปในบ่อน้ำ คิดเช่นนนี้ จึงหัวเราะออกมาว่า “เจ้านี่นะ นิสัยไม่ดีของเจ้าไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ไม่รู้จักอ่อนข้อให้ข้าเสียเลย ข้าเป็นถึงไท่จื่อ เจ้าควร…”

 

เอามือออกมา แคะไปที่หูของตนเอง หวงฝู่อี้เซวียนจึงพูดว่า “พูดใหม่สิ เหมือนหูของข้าจะมีแมลงเข้าไปอย่างไรก็ไม่รู้”

 

หวงฝู่ซวิ่นหัวเราะออกมา ยื่นมือออกมา แล้วด่าทั้งหัวเราะว่า “ยังไม่รีบมาพยุงข้าขึ้นอีก ข้าเจ็บจะตายอยู่แล้ว”

 

หวงฝู่อี้เซวียนยืนมองเขาอยู่กับที่อยู่สักครู่ เหมือนกับว่ากำลังวิเคราะห์ว่าคำพูดของเขานั้นจริงหรือหลอก

 

หวงฝู่ซวิ่นด่าทั้งหัวเราะออกมาอีกครั้ง “เร็วเข้า ถ้ายังไม่มา ข้าก็จะไม่ตอบรับที่จะช่วยเจ้าแล้วนะ”

 

หวงฝู่อี้เซวียนถึงจะกล้าเข้ามา โค้งตัวลงพยุงเขาขึ้น

 

ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ็บจริง หรือเจ็บหลอก หวงฝู่ซวิ่นกัดฟัน ลุกขึ้นมาด้วยสีหน้าเจ็บปวด ยังไม่ทันได้พูด คำพูดของหวงฝู่อี้เซวียนก็ดังขึ้นที่ข้างหูของเขา “การสำออยเช่นนี้ไม่เป็นผลกับข้าหรอก พี่ใหญ่อย่าทำอีกเลย”

 

หวงฝู่ซวิ่นชะงักไปสักพัก แล้วกัดฟันถามเขาว่า “รู้หรือไม่ว่าตอนนี้ข้าจะทำอะไร”

 

“รู้ พี่ใหญ่อยากจะกดให้ข้าตาย” หวงฝู่อี้เซวียนตอบกลับ หลังจากนั้นก็พูดเสริมเข้าไปจนทำให้หวงฝู่ซวิ่นโกรธแทบตายว่า “พี่ใหญ่อย่าคิดที่จะทำเลย ท่านทำไม่สำเร็จหรอก”

 

หวงฝู่ซวิ่นโกรธจนกัดฟันไปมา จึงยกขาขึ้นด้วยอารมณ์เด็กๆ แล้วกระแทกลงบนเท้าของหวงฝู่อี้เซวียนอย่างรุนแรง “ข้ากดเจ้าไม่ตาย ข้าเหยียบเจ้าให้ตายก็ได้แล้วล่ะ”

 

หวงฝู่อี้เซวียนแค่ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วพูดตอบกลับด้วยน้ำเสียงสั่งสอนเด็กดื้อว่า “พี่ใหญ่ ท่านเป็นไท่จื่อ ทำเรื่องไร้สาระแบบนี้ ใครได้ยินเข้าเขาจะพากันหัวเราะเยาะเอา”

 

หวงฝู่ซวิ่นโกรธจนแทบเลือดกระอัก

 

บ่าวไพร่ในตำหนักก็แทบกลั้นขำกันไม่อยู่ หวงฝู่ซวิ่นใช้สายตาอัมหิตกวาดมองไป คนทั้งหมดก็ตกใจจนก้มหน้าลง เอาชีวิตรอดกันไป

 

และหวงฝู่ซวิ่นก็พูดด้วยน้ำเสียงน่ากลัวว่า “ถ้าหากว่าเรื่องในวันนี้แพร่ออกไปล่ะก็ ทั้งหมด ประหาร!”

 

บ่าวไพร่ทั้งหมดก็ตกใจจนขนลุกกันไปหมด ก้มหน้าแล้วก้มหน้าอีก อดคิดเรื่องที่ขันทีผู้ดูแลเขาเคยพูดไว้เรื่องหนึ่งว่า ตอนที่ไท่จื่อย้ายมาที่ตงกงใหม่ๆ ตอนนั้น ก็พูดกับบ่าวและขันทีในตำหนักว่า “ไม่ว่าพวกเจ้าจะเป็นคนของใคร เมื่อเข้ามาที่ตงกงแล้วก็ต้องเจียมเนื้อเจียมตัว ซื่อสัตย์ต่อที่นี่ เรื่องในตำหนักที่เกิดขึ้นไม่ว่าเรื่องใดก็ตามห้ามแพร่ออกไปเป็นอันขาด ถ้าหากว่ามีคนปากสว่าง แพร่ข่าวออกไปล่ะก็ ต่อไปพวกเจ้าก็จะไม่มีโอกาสได้พูดแล้ว”

 

ตอนนั้นไท่จื่อยังไม่ได้แต่งงาน ในวันปกติก็จะร่าเริงมีความสุข ก่อนหน้านี้ก็น้อยมากที่จะลงโทษบ่าวไพร่ในตำหนัก หลังจากที่ฟังคำพูดของเขาจบ ถึงแม้ว่าบ่าวไพร่ทั้งหลายจะกลัว แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ พระสนมเอกเฮ่อคนหนึ่งให้ขันทีคนหนึ่งมาดื่มเหล้ากับไท่จื่อเป็นเวลาสองวัน แล้วเอาเรื่องที่เขาเมาเหล้าหนักไปรายงานนาง คืนนั้นพระสนมเอกเฮ่อก็ไปเป่าหูฮ่องเต้ จนฮ่องเต้โกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก เลยส่งคนไปดู ตอนนั้นไท่จื่อยังไม่ตื่น เพราะความโกรธจึงจะปลดเขาลงจากตำแหน่งไท่จื่อ สุดท้ายได้ไทเฮากับฮองเฮาช่วยพูด จึงหายโกรธ แต่ก็ออกคำสั่งให้เขาสำนึกผิดอยู่ในตำหนักเป็นเวลาหนึ่งเดือน

 

หลังจากที่ไท่จื่อได้ยิน ก็ไม่ได้มีทีท่าอะไร ก็อยู่ในตำหนักเป็นเวลาหนึ่งเดือนตามคำสั่ง จนกระทั่งวันที่ปล่อยออกมาวันแรก ก็เรียกรวมบ่าวไพร่ในตำหนักทั้งหมด แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะเห็นคำพูดของข้าเป็นเรื่องเล่นๆ งั้นรึ” พูดจบ ก็โบกมือ ทหารลับก็ออกมา แล้วตัดลิ้นของขันทีคนนั้นต่อหน้าทุกคน หลังจากนั้น ก็เห็นเขาเจ็บจนตายไปกับตา

 

ในขณะที่ทุกคนกำลังตกใจกลัวอยู่นั้น ไท่จื่อก็พูดขึ้นมาว่า “วันละห้าคน”

 

ทุกคนชะงักไป ไม่รู้ว่าเขาหมายความว่าอะไร วันที่สองจึงเข้าใจ ที่แท้ก็คือตัดลิ้นบ่าวไพร่ในตำหนักวันละห้าคน ภาพนองเลือดนั้น จนกระทั่งทุกวันนี้ เวลาที่ขันทีผู้ดูแลพูดยังสั่นกลัวอยู่เลย

 

ดังนั้นนับแต่นั้นเป็นต้นมา ตงกงได้เปลี่ยนบ่าวไพร่ในตำหนักใหม่ ก็เลยไม่มีใครกล้าที่จะเอาความในไปพูดข้างนอกอีก นี่จึงเป็นเหตุที่ไม่ว่าหวงฝู่ซวิ่นกับหวงฝู่อี้เซวียนจะไม่ถูกกัน ในเรื่องส่วนตัว หรือว่าเรื่องการประลองต่างๆ ฮ่องเต้กับฮองเฮาไม่เคยรู้เรื่องเลย

 

พยุงหวงฝู่ซวิ่นเข้าไปที่ด้านในตำหนัก หวงฝู่อี้เซวียนพูดว่า “น้องชายสองคนนั้นของข้าฉลาดมาก คนหนึ่งสอบเข้าเป็นโฃถงเซิง ได้แล้ว อีกคนหนึ่งอีกนิดเดียวก็ผ่านแล้ว แต่ว่าเขาไม่ได้เก่งเรื่องหนังสือ อยากจะฝึกฝนวิทยายุทธ์ จะต้องเป็นเสาหลักของราชสำนักในภายหลังอย่างแน่นอน”

 

เมื่อเขาพูดจบ หวงฝู่ซวิ่นก็เข้าใจในความหมายของเขาทันที แล้วหัวเราะมองไปที่เขา “ข้าควรขอบใจเจ้าหรือไม่ที่คิดเผื่อข้าเสียขนาดนี้”

 

“ไม่ต้อง ที่ข้าเลี้ยงดูพวกเขาก็มีเจตนาของตนเองเหมือนกัน รอให้พวกเขาเป็นเสาหลักในราชสำนักก่อน ข้าก็จะสามารถพาโยวเอ๋อร์กลับไปที่บ้านนอก มีชีวิตที่เรียบง่ายแล้ว”

 

“ฝันไปเถอะ” หวงฝู่ซวิ่นด่าเขา “ไม่ได้รับอนุญาตจากข้า เจ้าก็ไม่สามารถไปไหนได้ อยู่ช่วยข้าเสียดีๆ”

 

หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว แล้วมองไปที่หวงฝู่ซวิ่นอย่างตั้งใจกว่าปกติ แล้วถามเขาด้วยสีหน้าจริงจังและดุดันว่า “พี่ใหญ่ ให้ข้าฆ่าท่านตอนนี้ยังทันไหม”

 

หวงฝู่ซวิ่นยื่นเท้าออกมา แล้วเตะไปที่เขาหนึ่งที “ไปให้พ้น อย่าให้ข้าเห็นหน้าเจ้าอีก”

 

หวงฝู่อี้เซวียนเดินออกไปอย่างรวดเร็ว “นี่เจ้าพูดเองนะ อย่าเรียกหาข้าเวลาเหงาล่ะ”