ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
ตูม………….
เซียวอวี๋รู้สึกราวกับถูกกระสุนปืนใหญ่ยิงใส่ ร่างกายราวกับแตกเป็นเสี่ยงๆ โชคยังดีที่สิ่งที่ปะทะกับลูกไฟนั้นคือดาบ ไม่ใช่ร่างกายของเขาโดยตรง มิเช่นนั้นเขาคงระเบิดเป็นชิ้นๆ
เซียวอวี๋ร่วงลงกระแทกพื้นดินอย่างรุนแรง ร่างกายมีบาดแผลอยู่หลายแห่ง แต่ด้วยเพราะสวมใส่เกราะเซ็ตทีห้าและกายที่มีความแข็งแกร่งระดับสุดยอดของขั้นที่หกช่วยเอาไว้ เขาจึงไม่หนักหนาสาหัสมากนัก
หลังจากดื่มน้ำยาฟื้นฟูไปสองขวด เซียวอวี๋ก็กลับไปคุ้มครองสามจ้าวมนตรา ซึ่งอันที่จริงที่เบื้องหน้าของสามจ้าวมนตราเวลานี้ก็คราค่ำไปด้วยเหล่ายอดฝีมือขั้นที่หกอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม เพียงยอดฝีมือเหล่านั้นยังไม่เพียงพอ เวียวอวี๋จำต้องไปคอยคุ้มครองอีกชั้นเพียงป้องกันเหตุสุดวิสัย
“ขั้นที่หกทุกให้ไปคุ้มครองจ้าวมนตราทั้งสาม” นิโคลัสเหลือบมองเซียวอวี๋ จากนั้นจึงพุ่งเข้าร่วมสกัดซาแกรลาส
ในใจของเขาทราบดีว่าหากต้องการจัดการซาแกรลาสแล้วล่ะก็ พวกเขาจำต้องอาศัยจ้าวมนตราทั้งสาม
ซาแกรลาสเวลานี้กำลังถูกมังกรน้อยและคนอื่นๆพัวพันเอาไว้ ดังนั้นจึงไม่อาจฝ่าวงล้อมไปจัดการกับสามจ้าวมนตราได้ มังกรน้อยยิ่งสู้ก็ยิ่งดุดันจนทอนฟาถูกควงเป็นระวิง ขณะที่กรอมและคนอื่นๆเองก็พยายามอย่างเต็มที่
ในเวลานั้นเอง สามจ้าวมนตราก็จัดเตรียมเวทต้องห้ามเสร็จสิ้น
จู่ๆบนท้องฟ้าก็ปรากฏเสาเพลิงขนาดใหญ่ขึ้น เสาเพลิงนั้นพุ่งตกลงมาราวกับเป็นการลงทัณฑ์จากสวรรค์
ตูม……………
เสาเพลิงนั้นได้พุ่งเข้าใส่ร่างของซาแกรลาสเข้าอย่างจังจนซาแกรลาสกรีดร้องโหยหวน ร่างของมันถูกเผาจนไหม้เกรียม และการเคลื่อนไหวของมันก็ดูเชื่องช้าลงอย่างมาก
และชั่วขณะที่เสาเพลิงปรากฏ นักรบฝั่งมนุษย์นั้นราวกับนกรู้และหลบฉากออกมาได้ทันการณ์ อย่างไรเสียพวกเขาก็พอจะมีประสบการณ์จากอัลีคราฟมาบ้าง
เสาเพลิงเพิ่งจะหายไป ที่ท้องฟ้าด้านหลังทางฝั่งซาแกรลาสก็ปรากฏรอยแตกของมิติขึ้นหลายสิบรอยก่อนที่รอยแตกเหล่านั้นจะขยายตัวจนกว้างนับร้อยเมตรรายล้อมที่ลอบกายของซาแกรลาส ก่อนที่สุดท้ายจะค่อยๆบีบเข้าหาซาแกรลาสพร้อมกัน
เสียงกรีดร้องของซาแกรลาสได้ดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อต้องรับการโจมตีที่ทรงอานุภาพติดต่อกัน กระทั่งมันเองก็ยากจะทานทน
แม้ว่าตัวมันจะเป็นไททัน กระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นอมตะ ยิ่งเมื่อต้องมาเผชิญกับพลังอันรุนแรงติดๆกันแบบนี้ก็ยากจะรักษาท่าทีไว้ได้อีก เวทต้องห้ามที่ใช้ออกโดยจ้าวมนตราทั้งสามย่อมมีอานุภาพราวกับการลงทัณฑ์ของพระเจ้า
ต่อหน้าขุมพลังระดับนี้ กระทั่งซาแกรลาสก็ไม่อาจเพิกเฉย
หลังจากถูกรอยแยกกรีดร่างจนเต็มไปด้วยรอยแตก บอลเพลิงขนาดใหญ่ก็ปรากฏทางด้านหลังของซาแกรลาสและพุ่งเข้าหาร่างของซาแกรลาสก่อนจะเกิดการระเบิดตามมา
ซาแกรลาสที่ถูกระเบิดจนร่างด้านชานั้นไม่ทราบแล้วว่ามีชิ้นเนื้อของเขากี่ชิ้นที่ร่วงหลุดไป
เวทต้องห้ามของจ้าวมนตราทั้งสามย่อมมีอานุภาพสุดประมาณ ซาแกรลาสเวลานี้เรียกได้ว่าช้ำเลือดช้ำหนอง ใบหน้าของมันแทบไม่หลงเลหือเค้าโครงเดิม
“ตามข้ามา!” เซียวอวี๋คำราม
ซาแกรลาสที่เพิ่งรับเวทต้องห้ามเข้าไปเต็มๆย่อมอยู่ในสภาพที่อ่อนแอถึงขีดสุด นี่นับเป็นเวลาที่จะจัดการมัน
มังกรน้อยคำรามก่อนจะกระชับทอนฟาพุ่งเข้าไปฟาดใส่ซาแกรลาสอย่างจัง จากนั้นกำปั้นของคาร์นก็ตามหลังมาติดๆ
ทางด้านจ้าวมนตราทั้งสามหลังจากปลดปล่อยเวทต้องห้ามออกไปก็ตกอยู่ในสภาวะอ่อนแอทันที พวกเขารีบหยิบขวดน้ำยาขึ้นดื่มติดต่อกันเพื่อรีบฟื้นฟูพลังกลับมา
ในการสังหารคฑูนเมื่อคราวก่อน เวทต้องห้ามที่พวกเขาทั้งสามปลดปล่อยออกมานั้นได้ปลิดชีพของคฑูนไปทันที พวกเขาจึงมีเวลาได้พักหลังจากนั้น ร่างกายของพวกเขาจึงไม่ต้องรับภาระมากนัก
หากแต่ในครั้งนี้นั้นต่างออกไป ซึ่งอันที่จริงจ้าวมนตราทั้งสามเองก็เพิ่งปลดปล่อยเวทต้องห้ามออกไปหลายครั้งหลายคราในศึกต้านทานการรุกรานของพวกทหารทมิฬ
มาตอนนี้ยังต้องใช้เวทต้องห้ามเป้าหมายเดี่ยวที่กินพลังยิ่งกว่าออกมา แม้ว่าสังขารของเขาพวกเขาจะแทบทนทานรับไม่ได้แล้ว แต่พวกเขาก็ไม่มีทางเลือก พวกเขาจำต้องรีบฟื้นฟูพลังมานากลับมาโดยเร็วเพื่อเตรียมที่จะใช้เวทต้องห้ามอีกครั้ง
ในฐานะผู้ใช้ศาสตร์มนตราที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของทวีป ในฐานะที่ตัวตนของพวกเขาใกล้เคียงพระเจ้ามากที่สุด นี่เป็นหน้าที่ของพวกเขา การดำรงอยู่ของพวกเขามีเพื่อการปกป้องทวีป
นี่เป็นชะตากรรม
ในตอนนั้นเอง บอลแสงอันทรงพลังก็พลันปรากฏขึ้นที่บนฟ้าก่อนจะพุ่งเข้าชนซาแกรลาสอย่างรุนแรง
เซียวอวี๋และคนอื่นๆต่างก็เบนสายตาไปยังตำแหน่งที่บอลแสงปรากฏขึ้นอย่างพร้อมเพรียง ที่ตรงนั้นมีชายชราที่อยู่ในชุดคลุมสีทองยืนอยู่ ร่างของชายชราสั่นสะท้านหลังจากร่ายต้องห้ามออกมา จากนั้นร่างของเขาจากไปด้วยทักษะเทเลพอต
พระสันตะปาปา
เซียวอวี๋จดจำชายชราผู้นี้ออก ในช่วงเวลาที่สำคัญ ชายชราได้อุทิศตัวเองเพื่อปลดปล่อยเวทต้องห้ามออกมาก่อนจะจากไป
แม้ว่าเวทต้องห้ามสายนี้จะไม่รุนแรงเท่ากับเวทต้องห้ามของจ้าวมนตราทั้งสาม กระนั้นมันก็ยังเพียงจะสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อซาแกรลาส
และตอนนี้ หลินมู่เสวี่ยที่ยืนดูอยู่ก็ล้วงเอาม้วนคัมภีร์เวทออกมา คล้ายตระเตรียมจะใช้เวทต้องห้าม
เซียวอวี๋ที่เห็นเช่นนั้นก็ตื่นตกใจและรีบวิ่งเข้าไปหยุดนางเอาไว้ “มู่เสวี่ย เจ้าจะทำอะไรน่ะ?”
ต้องทราบว่าการใช้ออกด้วยเวทต้องห้ามนั้นจำต้องจ่ายค่าตอบแทนด้วยอายุขัยในแต่ละครั้งที่ใช้ การใช้ออกเพียงครั้งเดียวนั้นคือารสังเวยพลังชีวิตนับสิบปี
สามจ้าวมนตราที่ใช้ชีวิตมายาวนานย่อมเตรียมการเรื่องราวหนหลังเอาไว้แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ใส่ใจค่าตอบแทนนี้ แต่หลินมู่เสวี่ยเป็นภรรยาของเขา เซียวอวี๋จะหักใจทนดูได้อย่างไร?
หลินมู่เสวี่ยยิ้มออกมาขณะจ้องมองใบหน้าของเซียวอวี๋ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ “เซียวอวี๋ ข้าทราบว่าท่านรักข้ามาก แต่ตอนนี้ ในฐานะจ้าวมนตราของทวีป ข้าต้องลงมือ นี่เป็นภาระหน้าที่ของข้า นับตั้งแต่ที่รับสืบทอดเอาพลังจากท่านเอกวินน์ นี่เป็นโชคชะตาของข้า”
เซียวอวี๋รวบหลินมู่เสวี่ยเข้ามากอดก่อนจะกล่าวว่า “ข้าไม่สนใจชะตากงชะตากรรมอะไรทั้งนั้น แต่ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าใช้เวทต้องห้าม ที่นี่ยังมีข้าอยู่ ตราบเท่าที่ข้ายังไม่ล้มลง เจ้าไม่จำเป็นต้องตรากตรำลำบาก เพียงแค่คอยดูอยู่ตรงนี้ ดูข้าจัดการเจ้านั่นก็พอ”
เซียวอวี๋กล่าวด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน เขาจะไม่ยอมให้คนรักของตนต้องเป็นอันตรายใดๆ เซียวอวี๋กระชับดาบคามริมดอร์ไว้ในมือก่อนจะกระโดดเข้าใส่ซาแกรลาส
ขณะที่อยู่กลางอากาศ เซียวอวี๋ก็สัมผัสได้ถึงขุมพลังที่กำลังปะทุขึ้นจากภายในร่าง คล้ายกับกระแสน้ำอันเชี่ยวกรากที่โถมเข้าใส่ทุกส่วนของร่างกาย เซลล์ทุกอณุ เลือดทุกหยดหยาดภายในร่างค้ลายได้รับการผลัดเปลี่ยนใหม่
ครืน………
จิตใจของเซียวอวี๋คล้ายกับเกิดการระเบิดขนาดใหญ่ จากนั้นเขารู้สึกถึงพลังงานที่เปี่ยมล้นจากร่างกายตนเอง เขารู้สึกราวกับว่าการขยับเคลื่อนไหวร่างกายของเขาเวลานี้แต่ละท่าล้วนสามารถทำลายภูเขาแยกทะเล
ขั้นที่เจ็ด นี่เป็นพลังของขั้นที่เจ็ด!
ชั่ววินาทีนั้นเอง ในที่สุดเซียวอวี๋ก็บรรลุขอบเขตขั้นที่เจ็ด!