บทที่ 6 บทที่ 113 สิ่งที่อยู่ข้างหลัง

สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด

“คุณ…ไม่สิ ท่านผู้เฒ่า อยากให้ผมพิสูจน์ยังไง” เฉิงอี้หรานคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนถามออกไป 

 

ตาเฒ่าหัวระเบิดสบถ “ตลกจริงๆ นายบอกว่ามันสำคัญกับนายมาก สำคัญจริงๆ ฉันต้องการให้นายพิสูจน์แต่นายกลับยังถามฉันอีก นี่เป็นเหตุผลอะไรกัน” 

 

 “ผม…” เฉิงอี้หรานคอแหบพร่าไม่รู้จะพูดอย่างไร 

 

เขารู้สึกร้อนใจขึ้นมา มองดูเวลาผ่านไปทีละน้อย ความรู้สึกอยากจากไปรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เขามีลางสังหรณ์บางอย่าง ลางสังหรณ์บอกเขาว่า การแสดงครั้งนี้ของหงก้วนจะทำให้เขาสามารถปลุกความสามารถในการดีดกีตาร์นั้นได้อีกครั้ง 

 

นี่เป็นความคาดหวังที่บีบคั้นมาก ทำให้เขารู้สึกว่าหากผ่านครั้งนี้ไปแล้ว หากจะหาโอกาสอีกคงยากมาก 

 

เขาไม่อยากจะเสียเวลากลับตาเฒ่าแปลกประหลาดคนนี้ต่อ…ถ้าหากสามารถใช้เงินจำนวนมากซื้อเบสกลับไปได้ คงจะดีมาก 

 

แต่ตาเฒ่าแปลกประหลาดคนนี้กลับจงใจสร้างความลำบาก…บางทีอาจคิดที่จะโก่งราคา 

 

เฉิงอี้หรานสูดหายใจเข้าลึกๆ “เอาอย่างนี้ไหม ท่านผู้เฒ่าทิ้งช่องทางการติดต่อไว้ให้ผม ตอนนี้ผมรีบมาก สำหรับเรื่องเบส ต่อไปพวกเราค่อยค่อยคุยกันอีกครั้ง คุณเชื่อผมได้เลย ผมอยากจะซื้อจริงๆ เรื่องราคาจะเรียกเท่าไหร่ก็ได้” 

 

คิดไม่ถึงว่าตาเฒ่าหัวระเบิดจะไม่ยอม แต่หันมองอวี๋ต้านเฉียงและพูดว่า “เถ้าแก่ คิดเงิน” 

 

ตาเฒ่าหัวระเบิดตบโต๊ะทิ้งธนบัตรใบหนึ่งเอาไว้แล้วยืนขึ้น ดูเหมือนกำลังจะไปโดยไม่มองเฉิงอี้หรานแม้แต่แวบเดียว 

 

 “ท่านผู้เฒ่า ท่านผู้เฒ่า ช่องทางการติดต่อของคุณล่ะ” เฉิงอี้หรานรีบถามไป 

 

ตาเฒ่าหัวระเบิดตอบโดยไม่หันกลับมาว่า “ไม่ให้ ให้นายไปจะมีประโยชน์อะไร นายพูดว่ามันสำคัญกับนายมาก แต่ครั้งนี้กลับรีบจากไป ฉันมองไม่เห็นความจริงใจอะไรเลย” 

 

เฉิงอี้หรานพูดอย่างหมดทางเลือกว่า “ท่านผู้เฒ่า คุณอายุเยอะแล้ว มีประสบการณ์มามากกว่าผม คุณเองน่าจะเข้าใจว่ามีบางครั้งที่คนเรามักจะเจอกับทางเลือกที่เลือกยากพร้อมกันสองทาง ถ้าหากเปลี่ยนคุณเป็นผม ตรงหน้าของคุณมีเรื่องที่สำคัญมากเกิดขึ้นพร้อมกัน แล้วคุณจะเลือกยังไง” 

 

ทันใดนั้นตาเฒ่าหัวระเบิดก็หันกลับมา “เรื่องสำคัญมากงั้นเหรอ งั้นฉันถามนายว่ามันเกี่ยวกับความเป็นความตายไหม” 

 

เฉิงอี้หรานส่ายหน้าโดยไม่รู้ตัว 

 

ตาเฒ่าหัวระเบิดพูดว่า “งั้นก็เมียใกล้คลอด ญาติป่วยใกล้ตาย หรือว่าต้องรีบไปช่วยคน หรือว่านายกำลังคุยธุระใหญ่ถ้าไม่ไปก็จะสิ้นเนื้อประดาตัว ทางบริษัทกำลังรอนายคนเดียวถึงจะเริ่มธุรกิจได้ เรื่องเกี่ยวข้องกับชีวิตของคนหลายสิบหลายร้อยคน” 

 

เฉิงอี้หรานส่ายหน้าไปทีละอย่าง…เขาไม่อาจพูดเหตุผลที่แท้จริงของตนเองออกไปได้ แต่เขาก็อดคิดไม่ได้ว่า สิ่งที่ตาเฒ่าพูดเหล่านี้นั้นเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ 

 

สุดท้ายตาเฒ่าหัวระเบิดก็พูดว่า “งั้นนายบอกฉันมาว่าเรื่องอะไรสำคัญไปกว่าเบสตัวนี้ ถ้าพูดออกมาได้ ฉันคืนให้นายจะมีปัญหาอะไร แต่ถ้าพูดออกมาไม่ได้ ก็ต้องขอโทษด้วย ฉันจะไม่ขายเบสตัวนี้และต่อไปก็ไม่ต้องมาหาฉันอีก…และก็อย่าคิดกวนฉัน” 

 

 “ผมเข้าใจแล้ว” เฉิงอี้หรานสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “ท่านผู้เฒ่า ผมไม่ไปแล้ว ผมจะจ้องคุณอยู่อย่างนี้จนกว่าคุณจะยอมขายให้ผม” 

 

ตาเฒ่าหัวระเบิดร้องโอ้ขึ้นคำหนึ่งและพูดว่า “งั้นนายก็ตามฉันมาเถอะ” 

 

พูดแล้วตาเฒ่าหัวระเบิดก็หันกลับเดินไป เฉิงอี้หรานขมวดคิ้ว…แข็งใจตามไป 

 

เขาไม่รู้ว่าตาเฒ่าหัวระเบิดคนนี้จะไปที่ไหน เพียงแต่ตามหลังเขาไปเงียบๆ เท่านั้น 

 

ส่วนความรู้สึกของเขากลับยิ่งร้อนใจขึ้นเรื่อยๆ…เขาคำนวณเวลา คำนวณว่าสุดท้ายแล้วตนเองจะไปทันการแสดงของหงก้วนหรือไม่ 

 

เท้าก้าวยากขึ้นเรื่อยๆ…แต่ละก้าวหนักขึ้นและไม่สมดุล 

 

… 

 

ตาเฒ่าหัวระเบิดคนนี้เดินไปตามทางสายหนึ่ง ทันใดนั้นก็หยุดลงเดินและเข้าไปในอาคารเก่าหลังหนึ่งแต่ไม่ให้เฉิงอี้หรานตามขึ้นไป 

 

ไม่นานตาเฒ่าหัวระเบิดก็เดินลงมา ในมือถือถุง…เฉิงอี้หรานจำได้ในทันทีว่าเป็นถุงที่หงก้วนใส่เบส เขาดีใจมาก “ท่านผู้เฒ่า นี่คุณต้องการ…” 

 

คิดไม่ถึงว่าตาเฒ่าหัวระเบิดจะไม่พูดไม่จา แบกของและเดินไปทั้งอย่างนั้น ดูท่าทางเหมือนคิดเดินไปยังสถานที่อื่น 

 

เฉิงอี้หรานหมดทางเลือกได้แต่ก้มหน้าถอนหายใจ ทำได้เพียงตามไปต่อ…เบสอยู่บนหลังของตาเฒ่าคนนี้ อยู่ใกล้แค่เอื้อม…ออกแรงหน่อยก็ดูเหมือนจะสามารถเอาลงมาจากหลังของตาเฒ่าผอมแห้งคนนี้ได้แล้ว 

 

เฉิงอี้หรานครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้นี้ ขณะเดียวกันก็พบว่าทิศทางที่ตาเฒ่าหัวระเบิดคนนี้เดินไปจะห่างสนามกีฬาออกไปเรื่อยๆ เหมือนกับหันหลังให้กับมัน 

 

 “ท่านผู้เฒ่า คุณ…คุณจะไปที่ไหนกันแน่” เฉิงอี้หรานรีบเดินเข้าไปเคียงบ่าเคียงไหล่กับตาเฒ่าคนนั้น “เดินมาตั้งนานแล้ว คุณบอกผมได้หรือยังว่าจะไปที่ไหน” 

 

 “อย่างไรกัน ยังทิ้งเรื่องสำคัญของนายไม่ลงอีกงั้นเหรอ” ตาเฒ่าหัวระเบิดพูดขึ้น “ฉันไม่ได้บังคับนายให้ตามฉันมานะ ถ้านายคิดว่าอีกเรื่องหนึ่งสำคัญกว่าก็ไปเถอะ อย่าฝืนตัวเองแล้วมาสร้างความลำบากให้ฉันเลย” 

 

 “ผม…ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น” เฉิงอี้หรานถอนหายใจ แล้วก็ตามต่อไป 

 

เขาเดินตามไปผ่านหัวถนนอันคึกคัก เดินผ่านเมืองอันรื่นเริง เดินผ่านซอยที่ห่างไกล…การเดินอย่างไร้จุดหมายและมองไม่เห็นเป้าหมายนี้ทำให้เฉิงอี้หรานร้อนรนจนถึงระดับที่คาดไม่ถึง 

 

ทำแบบนี้มีประโยชน์อะไร การเดินไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมายแบบนี้มีความหมายอะไร เขามองไม่ออกเลยว่าตาเฒ่าคนนี้มีความคิดอยากจะขาย กลับกันดูเหมือนเขากำลังทำให้ตนเองพบเจอกับความลำบากจนต้องถอยมากกว่า 

 

สรุปแล้ว เฉิงอี้หรานก็ไม่รู้ว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ 

 

ความรู้สึกนี้ทำให้เขารำลึกถึงเมื่อก่อน…ครั้งก่อนตอนออกมาจากคุก เขาก็ออกจากตรอกเก่าในเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและเดินทางลงมาทางใต้อย่างไร้จุดหมาย 

 

เขาเคยมีความคิดที่จะละทิ้งร็อค…บางทีเขาอาจจะมีความคิดก่อนสมาชิกในวงคนแรกเอ่ยปากพูดเสียอีก แต่เขาก็ไม่เคยบอกใครมาก่อน…แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าตนเองฝืนทนมาได้อย่างไร 

 

ทุกครั้งที่สมาชิกในวงหมดใจ เขามักจะเป็นคนที่กระตุ้นสติของทุกคนขึ้นมา…เขามักจะพูดว่าเพื่อทำให้ความฝันของเสี่ยวเมิ่งเป็นจริงจะต้องทนเดินเส้นทางนี้ต่อไป เดินจนกระทั่งมาถึงตอนนี้ หากจะละทิ้งในตอนนี้จะไม่รู้สึกเสียดายงั้นหรือ 

 

ใครก็ไม่อยากละทิ้งกลางคัน…ยิ่งไม่อยากละทิ้งความพยายามที่ตนเองทำมาทั้งหมด 

 

เสียดายหยาดเหงื่อของตนเอง เสียดายเวลาของตนเอง 

 

เสียดายความเจ็บปวดที่ตนเองอดทนมา เสียดายน้ำตาที่เคยหลั่งไหล 

 

ก็เพราะเป็นแบบนี้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่มีอนาคต แต่ก็ยังฝืนทนต่อไป 

 

ไม่มีความหมาย ไม่มีความรู้สึก เสียเวลา… 

 

เห็นได้ชัดว่าเพียงแค่หยุดลงตอนนี้ เพียงแค่รีบไปที่นั่น ไปดูหงก้วนสักหน่อย…พริบตาเดียวที่หงก้วนใช้กีตาร์ตัวนั้นบางทีอาจจะเอาความสามารถที่หายไปกลับคืนมาได้ จากนั้นก็จะสามารถใช้กีตาร์ตัวนั้นเดินทางต่อไป… 

 

สิ่งที่ยึดมั่น สิ่งที่เวลานั้นตามหา ล้วนสามารถใช้กีตาร์ตัวนั้นนำมาได้ 

 

เห็นได้ชัด…ว่าละทิ้งก็จะดีแล้ว 

 

ยังมีเวลา…ยังไปได้ทัน หากหยุดลงตรงนี้ หงก้วนก็ยังไม่รู้ว่าตนเองหามันพบแล้ว เขาไม่รู้…บางทีเขาอาจจะไม่โทษฉันก็ได้ 

 

ทันใดนั้นเขาก็หยุดลง 

 

แต่ตาเฒ่าหัวระเบิดที่อยู่ด้านหน้าก็หยุดลงค่อยๆ หันมาและหาว มองดูเฉิงอี้หรานอย่างไร้ความรู้สึก 

 

 “ท่านผู้เฒ่า…” เฉิงอี้หรานขมวดคิ้ว ขณะเดียวกันก็ถอนหายใจกำลังคิดจะพูดอะไร ถึงตรงนี้เถอะ ฉันไม่เอาแล้ว 

 

 “อืม ที่นี่แหละ” ตาเฒ่าหัวระเบิดมองไปรอบๆ 

 

เฉิงอี้หรานค่อยพบว่าที่แท้ตนเองเดินตามตาเฒ่าคนนี้มาที่สะพานใหญ่ เป็นสะพานใหญ่ที่เชื่อมระหว่างสองฝั่งของเมืองนี้ 

 

ตอนนี้ตาเฒ่าหัวระเบิดแกะถุงด้านหลังออกมาและโยนมันออกไปนอกสะพานใหญ่โดยไม่คิดอะไรภายใต้ดวงตาอันตกตะลึงของเฉิงอี้หราน ด้านล่างคือแม่น้ำที่กำลังไหล 

 

เมื่อเฉิงอี้หรานมองเห็นเบสถูกทิ้งลงไปก็โมโหมากพุ่งเข้าไปจับคอเสื้อของตาเฒ่าหัวระเบิดและคำรามว่า “ไอ้สารเลว นายกำลังทำอะไรกันแน่ นายต้องการอะไร!” 

 

 “นายพูดว่ามันสำคัญกับนายมากไม่ใช่เหรอ ยังไม่ไปหาอีก” ตาเฒ่าหัวระเบิดพูดว่า “ถ้านายหาเจอก็ถือว่าเป็นของนายแล้ว” 

 

 “ล้อเล่นอะไร!” เฉิงอี้หรานกำกำปั้นขึ้นมา “แม่น้ำสายนี้ใหญ่ขนาดไหน ฉันจะไปหาเจอได้ยังไง!” 

 

 “อยากจะตีก็ตีเถอะ” ตาเฒ่าพูด “เวลาที่นายตีฉัน ของอาจจะไปไกลกว่าเดิมแล้วก็ได้” 

 

“อ๊าก!” 

 

เฉิงอี้หรานคำรามด้วยความโมโห กำกำปั้นแน่นเหมือนถึงขีดสุด เขายกมันขึ้นมาแต่ในขณะที่กำลังจะตีกลับคลายออก เปลี่ยนเป็นผลักตาเฒ่าหัวระเบิดลงกับพื้น 

 

เฉิงอี้หรานหมุนตัวพุ่งไปที่ราวสะพานใหญ่และข้ามราว 

 

กระโดดลงไปด้านล่าง 

 

ฉันกำลังทำอะไรกันแน่ 

 

แต่ช่างมัน ในเมื่อได้กระโดดลงมาแล้ว…ก็หามันให้พบเถอะ 

 

ภายในน้ำ เฉิงอี้หรานที่มึนไปชั่วครู่เพราะกระโดดลงมาจากที่สูงพ่นลมออกมา ขยับแขนอย่างบ้าคลั่ง ลอยขึ้นไปสู่ผิวน้ำ 

 

เฉิงอี้หรานว่ายน้ำไม่เก่ง อีกทั้งร่างกายก็ยังไร้เรี่ยวแรง การจะค้นหาของในน้ำเหมือนบนบกนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย ของหนักขนาดนั้นเกรงว่าคงจมลงไปในน้ำนานแล้ว 

 

น่าจะสามารถคิดถึงจุดนี้…ของคงจมลึกลงไปแล้ว น่าจะคิดถึงจุดนี้ก่อน แต่…ทำไมถึงยังกระโดดลงมาอีก 

 

กระโดดอย่างไม่ลังเล 

 

แต่สุดท้ายก็…จมลึกลงไปในแม่น้ำสีดำ ครั้งนี้ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะว่ายน้ำต่อแล้ว 

 

พอแค่นี้เถอะ…พอแค่นี้ 

 

 “เฮ้ย! ตื่นๆ ตื่นๆ เจ้าโง่ ตื่นๆ” 

 

… 

 

แค่ก 

 

เจ็บคอเหมือนถูกอะไรเหยียบ จมูกก็ยิ่งทรมาน รวมทั้งสั่นสะท้าน…ทั้งร่างกายเปียกปอน 

 

เฉิงอี้หรานลองลืมตา ออกแรงลืมตาขึ้นเป็นช่องเล็กๆ มองเห็นก้อนผมอันยุ่งเหยิง ผมของตาเฒ่าคนนี้เปียกจนรวมเป็นก้อนเดียวกัน 

 

 “ท่านผู้เฒ่า…แค่กๆ…” หลังเฉิงอี้หรานพักครู่หนึ่งแล้วก็นั่งขึ้นมา 

 

เขามองสถานที่ที่ตนเองอยู่ ด้านหน้าเป็นแม่น้ำ ด้านบนเป็นสะพานใหญ่ ส่วนที่นี่ก็เป็นท่าเรือแห่งหนึ่งใต้สะพาน 

 

ตาเฒ่าหัวระเบิดกำลังบิดน้ำบนเสื้อลายของตนเอง “คิดไม่ถึงว่านายจะโดดลงมาจริงๆ” 

 

 “ขอบคุณท่านผู้เฒ่าที่ช่วยผม” เฉิงอี้หรานถอนหายใจ จากนั้นก็เงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน ยิ้มอย่างขมขื่นพูดว่า “ผมมีเพื่อนรักอยู่คนหนึ่ง เขาชอบพูดว่าผมมักจะทำเรื่องโง่ๆ ความจริงแล้วพูดไม่ผิดเลยสักนิด” 

 

ตาเฒ่าหัวระเบิดพูดโดยไม่หันกลับมามองว่า “ทำไม ไม่โกรธที่ฉันโยนของทิ้งแล้วเหรอ” 

 

เฉิงอี้หรานชะงัก จากนั้นก็หัวเราะ ก้มหน้าพูดเบาๆ ว่า “ทิ้งแล้วก็ทิ้งไปเถอะ เมื่อ…เมื่อกี้นี้ตอนที่ตนเองกำลังจะตายผมถึงพบว่าบางทีควรจะโยนมันทิ้งไปนานแล้ว…ความเป็นจริงคนที่ไม่เคยโยนทิ้งก็คือตัวของผมเอง” 

 

 “งั้นเหรอ” ตาเฒ่าหัวระเบิดพยักหน้า ใส่เสื้อลายที่บิดน้ำหมาดแล้ว 

 

ตอนนี้เฉิงอี้หรานเอนตัวลง ดูเหมือนแบบนี้จะสบายกว่า เขามองท้องฟ้ายามค่ำคืน ภายในใจกลับมีแต่ความสงบ 

 

ผ่านไปพักใหญ่ เฉิงอี้หรานถึงถามขึ้นในทันใดว่า “ท่านผู้เฒ่า ตอนนี้กี่โมงแล้ว” 

 

 “ใกล้จะสามทุ่มแล้ว” 

 

 “สามทุ่มแล้วงั้นหรอ…ดูท่าแล้วคงไปไม่ทัน” เฉิงอี้หรานหัวเราะ ถอนหายใจแต่ไม่รู้ว่าทำไมกลับรู้สึกสบายใจกว่าแต่ก่อนเสียอีก ตอนนี้เขาไม่อยากคิดอะไรมาก เพียงแค่อยากเอนตัวนอนอยู่อย่างนี้เท่านั้น 

 

 “ทำไม ยังคิดจะไปที่ที่นายอยากไปเมื่อกี้นี้อีกงั้นเหรอ” 

 

 “ไม่แล้ว ไม่แล้ว” เฉิงอี้หรานส่ายหน้า “ไปไม่ทันแล้วล่ะ…อีกอย่างตอนนี้ก็ดีมาก” 

 

 “ตอนแรกนายคิดจะไปไหน”  

 

 “ไปสนามกีฬาน่ะ” เฉิงอี้หรานนั่งขึ้นมา ใบหน้าดูสบายใจ มองบรรยากาศยามค่ำคืนที่นี่แล้วพูดด้วยใบหน้าที่สงบว่า “พูดแล้ว พวกเราก็เดินกันมาไกลกันจริงๆ นะ ท่านผู้เฒ่า” 

 

 “ให้ฉันไปส่งนายเถอะ” ทันใดนั้นตาเฒ่าหัวระเบิดก็พูดขึ้น 

 

เฉิงอี้หรานชะงัก ส่ายหน้าและพูดว่า “ไม่ต้องแล้ว ผมนั่งอีกแป๊บหนึ่งก็จะไปแล้ว ผมไม่เป็นอะไร” 

 

 “นายอยากไปที่นั่นมากไม่ใช่เหรอ” 

 

 “เคยอยากไปมาก” ท่าทางของเฉิงอี้หรานดูซับซ้อน แต่ก็สงบลงอย่างรวดเร็ว เขายิ้มและพูดว่า “ไม่กลัวว่าคุณจะหัวเราะ ตอนแรกที่ผมตามคุณมา ผมยังคำนวณเวลา คำนวณว่าถ้าจะไปที่นั่นไม่ทันแล้วก็จะไม่ตามคุณต่อ แต่…” 

 

เขาส่ายหน้าไม่ได้พูดต่อ 

 

 “ไปเถอะ ฉันจะส่งนายไปที่นั่น” ตาเฒ่าหัวระเบิดดึงมือของเฉิงอี้หรานขึ้นมา 

 

 “ไม่ต้องจริงๆ ถึงยังไงก็ไปไม่ทันแล้ว ท่านผู้เฒ่า ตัวของคุณก็เปียก กลับบ้านเถอะเดี๋ยวจะเป็นไข้” 

 

 “พูดไร้สาระอะไร รำคาญไหม สนามกีฬาใช่ไหม ไม่ถึงสิบนาทีก็ส่งนายไปถึงแล้ว” 

 

 “สิบนาที ล้อเล่นใช่ไหม ที่นี่…ที่นี่ ที่นี่คือ” 

 

ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นเห็นบนฟ้ามีแสงสีวาบผ่าน จากนั้นถึงได้ยิน…เสียงดังกระหึ่ม…เสียงเชียร์ 

 

 “เสียแรงที่นายใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มานาน ไม่รู้จริงๆ เหรอว่าข้างสะพานตะวันออกก็คือสนามกีฬา” 

 

 “สนามกีฬา…” เฉิงอี้หรานหันกลับไปมองอย่างไม่อยากเชื่อ 

 

มัน…ที่แท้มันก็อยู่ด้านหลังของเขา 

 

เขามองแสงที่ส่องออกจากสนามกีฬาขึ้นไปบนฟ้าแล้วพึมพำว่า “ที่แท้ก็อยู่ด้านหลังของผมตลอด”