บทที่ 6 บทที่ 114 มีไม่มีเกิดมาคู่กัน ยากง่ายประกอบกัน

สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด

PM 05:32 

 

ภายในห้องๆ หนึ่งของโรงพยาบาลสัตว์เลี้ยง กุยเชียนอีมองถ้วยขนาดใหญ่ตรงหน้าของเขาอย่างเคร่งเครียด 

 

เปลวไฟจากแอลกอฮอล์ถูกเขาปรับให้สูงขึ้นอีกเพื่อให้แน่ใจว่าอุณหภูมิจะสูงพอที่จะได้ผลลัพธ์ตามที่คาดไว้ ทุกการเคลื่อนไหวของเขาละเอียดอ่อนและมั่นคงเหมือนกำลังทำผลงานอันศักดิ์สิทธิ์ 

 

ทันใดนั้นกุยเชียนอีก็เบิกตาขึ้น นัยน์ตาฉายแวววาววับ เห็นเขาเอามือออกมาจากแขนเสื้ออย่างรวดเร็ว ยากที่จะคาดคิดว่าตาเฒ่าที่เชื่องช้าแบบเขาจะมีความเร็วแบบนี้ด้วย 

 

กุยเชียนอีดื่มน้ำเสียงดัง มือหยิบตะเกียบคู่หนึ่งจากบนโต๊ะ ลงมือคนบะหมี่ในถ้วยขนาดใหญ่ 

 

บะหมี่สีทองม้วนเป็นก้อน จากนั้นก็ถูกคีบขึ้นมา สลัดน้ำที่เหลือออกกลางอากาศ จากนั้นก็ตกลงไปในถ้วยอีกใบ 

 

 “ฟังให้ดีนะ กุ่ยอิง หากจะทำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปให้ดีต้องตั้งใจ เวลาต้องกะให้พอดี หากมากเกิน บะหมี่ก็จะอ่อน หากน้อยเกิน บะหมี่ก็จะแข็งเกินไป” กุยเชียนอีเป่าบะหมี่ที่ปรุงสุกแล้วสูดเข้าไปในปากและสอนกุ่ยอิงที่เพิ่งเข้ามา 

 

 “…” 

 

กุ่ยอิงถอนหายใจ พยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจ “ท่านกุย ท่านพอใจก็ดีแล้ว” 

 

กุยเชียนอีกินบะหมี่พร้อมถามว่า “ใต้เท้าหลงล่ะ” 

 

 “ใต้เท้าบอกว่าอยากออกไปเดินเล่นข้างนอก” กุ่ยอิงเอ่ยว่า “ไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว” 

 

 “คงจะรู้สึกหงุดหงิด” กุยเชียนอีส่ายหน้าและก็ไม่พูดอะไรมาก “ใช่แล้ว นายอยากกินผักกาดดองสักถุงไหม ฉันจะต้มให้นาย”  

 

 “ท่านกุย ผมไม่มีอารมณ์ ได้โปรดอย่ารบกวน” กุ่ยอิงนั่งลงและมองกุยเชียนอีด้วยดวงตาไร้อารมณ์ 

 

ตอนนี้เอง ปีศาจผู้ชายสวมชุดสูทสีดำก็พังประตูเข้ามา ท่าทางค่อนข้างรีบร้อน “ใต้เท้ากุย พวกเราเก็บจดหมายฉบับหนึ่งได้ที่นอกประตู” 

 

 “จดหมายเหรอ จดหมายอะไร” กุยเชียนอีชะงัก 

 

 “ไม่รู้ ผมยังไม่ได้เปิดดู” 

 

ปีศาจชายพูดขึ้นอีกว่า “ไม่ได้เขียนระบุว่าจะส่งให้ใคร เป็นจดหมายฉบับนี้” 

 

จดหมายสีขาวเปล่าๆ ไม่เขียนอะไรไว้ด้านบน กุยเชียนอีขมวดคิ้ว รีบเข้าไปเปิด เขากวาดตามองแวบหนึ่ง จากนั้นสีหน้าก็ดูเคร่งขรึมขึ้น 

 

 “ท่านกุย ในจดหมายเขียนอะไร” กุ่ยอิงก็ถามอย่างแปลกใจ 

 

 “อืม…” สีหน้าของกุยเชียนอีเคร่งขรึมขึ้นไปอีก พูดอย่างจริงจังว่า “เกรงว่านี่อาจเป็นจดหมายที่จุยเฟิงส่งมา…บนจดหมายเขียนไว้ว่า คืนวันนี้ก่อนสองทุ่ม ให้พวกเรารีบไปที่หมู่บ้านหนานอวิ๋น หากไม่มาก็รอเก็บศพ” 

 

 “หมู่บ้านหนานอวิ๋น?” กุ่ยอิงขมวดคิ้ว “ประมาณสองร้อยกิโลเมตร…ทำไมจุยเฟิงถึงไปที่นั่นได้” 

 

“ไม่รู้…” กุยเชียนอีขมวดคิ้ว ครุ่นคิดว่าควรจะจัดการอย่างไร ระยะทางสองร้อยกิโลเมตรสำหรับปีศาจที่อยู่ที่นี่แล้วไม่ใช่เรื่องยาก ไปถึงก่อนสองทุ่มคืนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำไม่ได้ 

 

ปัญหาก็คือเขาไม่เข้าใจว่าจุยเฟิงคิดจะทำอะไรกันแน่ 

 

 “ท่านกุย พวกเราต้องไปหรือไม่” ตอนนี้กุ่ยอิงหมดหนทางและพูดว่า “ใต้เท้าหลงยังไม่กลับมา พวกเราลองไปหาดูไหม หมู่บ้านหนานอวิ๋น…เลือกสถานที่ไกลขนาดนั้น ผมกลัวว่าจะมีกลลวง” 

 

กุยเชียนอีกลับส่ายหน้า “ไม่ว่าจะมีกลลวงหรือไม่ พวกเราก็ต้องไปดู แม้จะเป็นเพียงหนึ่งในหมื่นก็ตาม…จุยเฟิงคนนี้สามารถควบคุมคนอื่นได้ ตอนนี้มีปีศาจอยู่ในมือจำนวนเท่าไหร่ก็ไม่รู้ เขากลายเป็นมารแล้ว เรื่องอะไรก็สามารถทำออกมาได้…พวกเราไม่รอแล้ว กุ่ยอิง นายรีบไปเรียกพวกลูกน้อง ฉันจะไปดูด้วยตัวเอง” 

 

พูดแล้วกุยเชียนอีก็หันไปมองปีศาจชายตนนั้นและพูดว่า “นายอยู่ที่นี่กับพี่น้องสองสามคน หากใต้เท้าหลงกลับมาแล้วก็บอกเรื่องนี้กับเธอ…อีกอย่าง ดูแลปีศาจที่อยู่ที่นี่ให้ดี หากพวกเขามีความผิดปกติอะไร ก็ใช้วิธีพิเศษจัดการกับสถานการณ์พิเศษได้เลย รุนแรงหน่อยก็ไม่เป็นไร” 

 

 “รับทราบแล้ว ใต้เท้ากุย” 

 

กุยเชียนอีสูดหายใจเข้าลึกๆ กวาดบะหมี่ในถ้วยเข้าไปในปากจากนั้นถึงสั่งเสียงเข้มว่า “เตรียมรถ” 

 

กุยเชียนอีรีบเปิดประตูและเดินไปทางประตูโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว 

 

ตอนนี้เองซูเสี่ยวซูที่กำลังท้องโตกลับถือหม้อขนาดใหญ่เดินเข้ามา “ไอ้หยา ใต้เท้ากุย ท่านจะออกไปข้างนอกเหรอ” 

 

เมื่อมองเห็นท่าทางของซูเสี่ยวซูดูซื่อๆ กำลังจะทำความเคารพ กุยเชียนอีก็โบกมือ ใช้อากาศพยุงตัวซูเสี่ยวซูไว้ “เธอกำลังท้อง ไม่ต้องมากพิธี…นี่เธอกำลังจะทำอะไร” 

 

ซูเสี่ยวซูถอนหายใจและพูดว่า “ฉันกำลังจะส่งของกินไปให้ชีส เขาขังตัวเองมาหนึ่งวันแล้ว ไม่ได้กินอะไรเลยและก็ไม่พูดอะไรด้วย…ฉันเป็นห่วง” 

 

 “เขายังหนุ่ม มีบางเรื่องที่ยังคิดไม่ตก” 

 

กุยเชียนอีก็ไม่คิดจะพูดอะไรมาก เพียงพูดปลอบใจไปว่า “เมื่อคิดตกก็จะออกมาเอง ไม่แน่นี่อาจเป็นเรื่องดีสำหรับเขาก็ได้ พวกเราชาวปีศาจไม่เหมือนกันกับมนุษย์ ต้องเผชิญกับเคราะห์ทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นจากสวรรค์จากดินหรือจากจิตใจ ทั้งยังต้องเผชิญกับความสับสนต่างๆ นานา มนุษย์มีอายุขัยสั้น เพียงไม่กี่สิบปีจึงผ่านช่วงเวลาสับสนไปได้อย่างรวดเร็ว แต่พวกเรานั้นไม่ใช่ จิตใจของปีศาจเจริญเติบโตช้า…บางทีนี่อาจเป็นการขัดขวางจากฟ้าดินต่อพวกที่กลายพันธ์เป็นปีศาจก็ได้ แต่เมื่อพวกเราข้ามผ่านแล้วพวกเราก็จะได้รับประโยชน์มาก ชีสเป็นเด็กฉลาด มีปัญญา ทั้งยังมีความมุ่งมั่น ฉันคิดว่าอีกไม่นานเขาคงคิดตก ดังนั้นเธอก็อย่ากังวลใจเกินไป ดูแลลูกในท้องของเธอให้ดีเถอะ” 

 

 “ฉันรู้แล้ว ใต้เท้ากุย” ซูเสี่ยวซูทำความเคารพพอย่างอ่อนน้อม 

 

กุยเชียนอีถึงเปิดประตู นั่งรถจากไป 

 

ซูเสี่ยวซูมาถึงหน้าห้องที่ชีสใช้ขังตนเองอย่างรวดเร็ว เธอเคาะประตูเบาๆ มองดูอาหารที่นำมาวางหน้าประตูยังคงไม่มีร่องรอยของการแตะต้องแล้วก็ถอนหายใจ หลังเปลี่ยนอาหารใหม่แล้วจึงได้จากไปเงียบๆ 

 

… 

 

เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู ด้วยจมูกที่ไวต่อกลิ่นของปีศาจหนูทำให้สามารถดมกลิ่นของอาหารได้อย่างง่ายดาย…คงจะเป็นแม่ที่นำอาหารใหม่มาให้เขาอีกแล้ว 

 

นั่งอยู่ที่นี่หนึ่งวันหนึ่งคืนเหนื่อยไหม 

 

แน่นอนว่าเหนื่อย…โดยเฉพาะเมื่อเป็นพื้นที่ทั้งเย็นและแข็งแบบนี้ 

 

ถ้าหากสามารถกระโดดข้ามความทุกข์เช่นนี้ไปเลยคงจะดีมาก…มีจิตใจที่เข้มแข็งและเข้าใจโลกโดยตรงเลยได้ก็คงดี 

 

มีบางเวลาที่ชีสอ่านนวนิยายของมนุษย์ที่ตีพิมพ์ เป็นนิยายบนอินเตอร์เน็ต 

 

ภายในนั้นนิสัยของตัวเอกจะดีมาก…ดีมากตั้งแต่เริ่มแรก 

 

น่าอิจฉา…ที่สามารถข้ามผ่านความเจ็บปวด ความล้มเหลว การสูญเสีย ความโศกเศร้า ความผิดหวังไปได้หมดจนถึงสุดท้าย 

 

พวกเราล้วนแต่โยนตัวเองเข้าไปในอุดมคตินั้น ยืมมันเพื่อหลีกเลี่ยงความเป็นจริง 

 

ชีสเล่นกับนกหวีดที่ห้อยเอาไว้ที่คอตลอด นานมากแล้ว เขาคิดว่าหากพ่อของตนเองยังอยู่อาจจะสามารถให้คำแนะนำบางอย่างแก่ตนเองได้ 

 

มีหลายครั้งที่เขาเอานกหวีดเข้าปาก แต่กลับอดกลั้นไว้ไม่เป่าออกมา หนึ่งคือเขากลัวว่าเสียงจะดึงดูดนกหวีดมา กลัวกุ่ยอิงจะทำร้ายมัน กลัวปีศาจตนอื่นๆ จะฆ่ามัน สองคือเขากลัวเมื่อดึงดูดนกหวีดมาแล้ว นกหวีดจะบ้าคลั่งจริงๆ และทำร้ายปีศาจทุกตนที่อยู่ที่นี่ 

 

ชีสถอนหายใจยาว 

 

ทันใดนั้นเขาก็คิดว่าบางทีคำพูดของจุยเฟิงอาจจะไม่ผิดเลย…เขามักคิดที่จะทำอะไรให้ดีทั้งสองด้านอยู่เสมอ คาดหวังให้ทุกด้านดี 

 

บางทีคิดจะให้จุยเฟิงเป็นแบบนั้น ส่วนพวกเสี่ยวเจียงน่าจะเป็นแบบนี้…แบบนั้นแบบนี้ ทุกคนมีความสุขด้วยกันคงจะดีมาก 

 

ส่วนฉัน…ใช้ความคิดของตนเองไปกำหนดพวกเขาหรือไม่กันแน่ หรือพวกเขาก็กำลังบีบให้ตนเองร่วมมือแต่ตัวฉันเองกลับ… 

 

 “คิดไม่ออก” 

 

ชีสเอนนอนลงไปบนพื้น ความเย็นของพื้นทำให้เขาหนาว แต่หลังขังตัวเองมาหนึ่งวันแล้ว เขาก็เริ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา 

 

ชีสขยับร่างกายโดยไม่รู้ตัว…ร่างกายที่สัมผัสกับพื้นให้ความรู้สึกเหมือนกดทับของอะไรเอาไว้ ชีสล้วงเอาของออกมาจากกระเป๋ากางเกง 

 

 “นี่คือ…” 

 

บัตรเข้างาน…ที่นีนี่ให้เขา 

 

 “ไม่พบไม่เลิกลางั้นเหรอ…” 

 

… 

 

… 

 

PM 07:33 

 

ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง รายการก็จะเปิดอย่างเป็นทางการแล้ว…แม้จะอยู่ในห้องพักผ่อนแต่ก็ยังรู้สึกตะลึงที่มีคนหกเจ็ดหมื่นคนมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ 

 

หงก้วนปิดประตูนิ่งฟังอยู่ครู่หนึ่ง สูดลมหายใจลึกอย่างต่อเนื่อง หวังที่จะคลายอารมณ์ตื่นเต้นของตนเอง ก่อนหน้านี้ เขาเพิ่งสิ้นสุดการโทรแบบวิดีโอคอลกับภรรยามา 

 

คำพูดให้กำลังเหมือนยังอยู่ที่ข้างหู แต่จะให้สงบนั้นก็ไม่ง่ายเลย 

 

อี้หรานในเวลานั้นทำให้ตนเองสงบได้ยังไงกัน หงก้วนเริ่มใจลอย คิดเรื่องไร้สาระ 

 

ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูห้องพักผ่อน เฉิงอวิ๋นผลักประตูเดินเข้ามาและพูดในทันทีว่า “ทำไมถึงนิ่งไปแล้ว ลูซี่ เธอแต่งหน้าให้พวกเขาแล้วใช่ไหม” 

 

 “ผู้อำนวยการเฉิง เสร็จหมดแล้ว ไม่มีปัญหาแน่นอน…คุณดูพวกเขาสิ หล่อมากเลยใช่ไหม” 

 

เฉิงอวิ๋นโบกมือพูดว่า “ฉันไม่สนใจผู้ชาย…เอ่อ พวกนายออกไปหน่อย ฉันมีเรื่องคุยกับหงก้วน” 

 

… 

 

 “ผู้อำนวยการเฉิง ไม่ทราบว่าคุณจะคุยอะไรกับผม” เมื่อเหลือเพียงหงก้วนและเฉิงอวิ๋นแค่สองคนแล้ว หงก้วนก็เอ่ยปากขึ้นมาก่อน 

 

เฉิงอวิ๋นส่ายหน้า จากนั้นก็เปิดประตู หงก้วนมองเห็นคุณจง ‘คนพิเศษ’ ที่เขายังไม่เคยรู้จักสถานะที่แท้จริงสักที 

 

บนร่างของคุณชายผู้นี้มีกลิ่นอายความสูงส่งแผ่ออกมา ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นทันที 

 

เห็นจงลั่วเฉินเดินถือถุงเข้ามาและมอบให้หงก้วน ยิ้มและพูดว่า “อี้หรานให้ผมมอบให้คุณ” 

 

 “กีตาร์ตัวนี้…” หงก้วนเปิดออกดูและตะลึง เขามองจงลั่วเฉินอย่างไม่เข้าใจ “ทำไมถึงได้…ให้ผม” 

 

 “ผมคิดว่าเขาคงมีความคิดของเขา” จงลั่วเฉินยิ้มและพูดว่า “แต่ผมก็ไม่รู้ ผมเพียงทำตามความต้องการของเขาเท่านั้น…บางทีคุณอาจจะรู้” 

 

หงก้วนกำกีตาร์แน่นขึ้น เขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนพูดว่า “แต่…เขาไม่มางั้นเหรอ” 

 

 “อ๋อ เขาจะมา” จงลั่วเฉินพูดเบาๆ “คนขับรถไปรับเขาแล้ว น่าจะมาทัน เขาจะรอพบคุณด้านล่างเวที ทำให้ดีเถอะ ผมจะรอดูการแสดงของคุณ” 

 

หงก้วนกลับพูดว่า “คุณจง ถ้าอี้หรานมาแล้ว ช่วยให้ผมพูดกับเขา…ก่อนขึ้นเวทีได้ไหม” 

 

จงลั่วเฉินตอบว่า “ได้ ถ้าหากเขาเองก็ยินดี ทำไมผมต้องห้ามด้วย” 

 

 “ขอบคุณ…” 

 

 

 

[1] มีไม่มีเกิดมาคู่กัน ยากง่ายประกอบกัน มาจากคำสอนของเล่าจื่อ เหมือนหยินหยางคู่กัน