บทที่ 6 บทที่ 115 วิธีที่สืบทอดต่อกันมา

สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด

PM 7:37 

 

น่าจะอีกประมาณหนึ่งกิโลเมตรกว่าๆ จึงจะถึงสนามกีฬา…และหมายความว่าบ้านก็อยู่ละแวกนี้ 

 

ชีสขมวดคิ้ว พลิกเปิดฝาท่อระบายน้ำอย่างระมัดระวังและคลานออกมา…จะกลับบ้านไปดูสักหน่อยไหม บางทีนกหวีดอาจจะรอเขาอยู่ในพื้นที่ว่างก็ได้ 

 

 “ฉันกำลังทำอะไรนะ…” 

 

เขาส่ายหน้ายิ้มอย่างขมขื่น การแอบหนีออกมาจากโรงพยาบาลสัตว์เลี้ยงก็ไม่ถูกต้องแล้ว หากยังไปใกล้ชิดกับนกหวีดอีกก็ยิ่งจะไม่ถูกต้องเข้าไปใหญ่ 

 

นกหวีดไม่เพียงแต่ฆ่าลูกน้องคนหนึ่งของกุยเชียนอีไป แต่ยังเป็นฆาตกรที่ต้องการจะฆ่าเสี่ยวเจียงอีก…ถ้าหากตอนนั้นไม่มีจุยเฟิง เกรงว่าตอนนี้เสี่ยวเจียงคง… 

 

ชีสคิดไปถึงว่าหากให้เสี่ยวเจียงรู้ว่าตนเองมาหานกหวีดแล้ว จะแค้นเขาไหม 

 

ชีสสูดหายใจเข้าลึก กำบัตรเข้างานในมือแน่น สุดท้ายก็ยังเดินมุ่งหน้าไปยังสนามกีฬา…“ว่าไปแล้วฉันเองก็โง่จริงๆ ทำไมไม่โทรไปที่บ้านของนีนี่เพื่อถามก่อนว่าเธอออกมาหรือยัง” 

 

ความจริงแล้วเพียงแค่กลัว 

 

กลัวว่านีนี่จะพูดว่ามีธุระกระทันหันไม่ออกมาแล้ว 

 

กลัวว่าเธอจะขอยกเลิก 

 

กลัวว่าเธอจะพูดว่าครั้งหน้าเถอะ 

 

ไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องกลัว 

 

เขาไม่เข้าใจความรู้สึกแบบนี้เลยจริงๆ เขาเพียงแค่หวังว่าเรื่องเลวร้ายที่สุดจะเป็นเขารอเธอนานเกินไปเท่านั้น 

 

เขาทั้งตื่นเต้น ทั้งคาดหวัง ทั้งรู้สึกขัดแย้งและไม่เข้าใจ…หัวใจเต้นแรง 

 

แสงไฟบนถนนเริ่มส่องแผ่นหลังของปีศาจน้อย…ภายในเมืองแห่งนี้มีเงาร่างของมนุษย์มากเท่าไหร่กัน มีเงาร่างบรรดาวัยหนุ่มที่ไม่รู้จักความรักและเต็มไปด้วยความสับสนแบบที่เขียนไว้บนหนังสือจำนวนเท่าไหร่กัน 

 

ส่วนเวลานี้มีอะไรบางอย่างกำลังจ้องมองเงาร่างของชีสอยู่ 

 

เป็นดวงตาที่โผล่ออกมากลางอากาศ ม่านตากะพริบเกิดเสียงดังปริบๆ…ส่วนเจ้าของดวงตาเหมือนกับวาบผ่านแสงไฟหายไปในพริบตา 

 

เป็นเหมือนกิ้งก่าที่สามารถซ่อนตัวอยู่ระหว่างความมืดและแสงไฟบนถนนได้เป็นอย่างดี…เข้าใกล้ทีละน้อย ใกล้แล้ว ใกล้แล้ว 

 

คืนวันนี้แหละที่ฉันจะกินนาย… 

 

ไม่อยากทรมานอีกต่อไปแล้ว ไม่อยากทนหิวต่อแล้ว…ชีส ให้ฉันกินนายเถอะ 

 

มันเพียงแต่ทำตามสัญชาตญาณ หวังจะให้ตนเอง…มีชีวิตที่ดีขึ้น  

 

… 

 

… 

 

 “ทางนี้ ทางนี้” 

 

ไกลออกไปสามารถมองเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังโบกมืออย่างเป็นมิตร…เริ่นจื่อหลิง 

 

หลีจื่อมองไปก็เห็นคนสองคนกำลังเดินเข้ามาท่ามกลางความมืด เป็นลั่วชิวและโยวเย่ 

 

ทันใดนั้นหลีจื่อก็พูดว่า “คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าลั่วชิวจะพาแฟนสาวมาด้วย…พี่เริ่น พี่ทำได้ยังไง ฉันรู้สึกว่าต้องยากมากแน่” 

 

เริ่นจื่อหลิงยิ้มเยาะพูดว่า “ไม่มีเรื่องอะไรที่ฉันทำไม่ได้ คืนเมื่อวานฉันทำกับข้าวและทำจนห้องครัวกลายเป็นเหมือนกับสนามรบ ทั้งยังทำท่าว่าจะทำไปอีกหนึ่งอาทิตย์ จากนั้นเจ้าเด็กนี่เลยยอมอยู่ในกรอบเชื่อฟัง” 

 

 “อยู่ในกรอบอะไร” เสียงของลั่วชิวดังเข้ามา…เขาเดินเข้ามาใกล้จนได้ยินสิ่งที่ทั้งสองคนพูดคุยกันแล้ว 

 

 “อา…ฮ่าๆๆ ไม่มีอะไร มีอะไรไหม เธอฟังผิดไปแล้วล่ะ” เริ่นจื่อหลิงเหลือบมองไปทางแสงไฟสปอร์ตไลท์ที่ถูกยิงออกมาจากสนามกีฬา ผิวปากและพูดว่า “วันนี้โยวเย่สวยจังเลย” 

 

 “สวัสดีค่ะคุณเริ่น” โยวเย่ทาบสองมือไว้ที่ด้านหน้าพยักหน้าให้เริ่นจื่อหลิง ท่าทางเหมือนผู้หญิงชั้นสูงที่ถูกฝึกอบรมออกมาจากพระราชวัง 

 

 “มาๆ นี่เป็นตั๋วของพวกเธอ” เริ่นจื่อหลิงสอดบัตรเข้างานสองใบใส่มือโยวเย่ จากนั้นก็รีบเร่งทั้งสองคน “ใกล้จะเริ่มแล้ว พวกเธอรีบเข้าไปเถอะ ที่นั่งอยู่ในเขตวีไอพีแถวที่ห้า อย่านั่งผิดล่ะ” 

 

ท่ามกลางสายตาของเริ่นจื่อหลิง โยวเย่เพิ่งเดินห่างออกมาได้สิบกว่าเมตรก็หัวเราะเบาๆ และพูดว่า “ไม่ว่าเวลาไหนๆ คุณเริ่นก็ยังคงร่าเริงได้อยู่เสมอ” 

 

 “จริงเหรอ” ลั่วชิวส่ายหน้าและพูดว่า “เพราะในสมองของเธอมักบรรจุเรื่องราวที่ไม่จำเป็นเอาไว้มาก…แต่บางครั้งก็ต้องทำให้เธอพอใจบ้าง ไม่อย่างนั้นจะยุ่งยากเอาได้” 

 

เห็นห้องครัวที่เหมือนสนามรบแล้วรู้สึกไม่ดีเลย… 

 

ถ้าหากเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกหนึ่งสัปดาห์แล้วก็ยิ่งจะรู้สึกไม่ดีขึ้นไปอีก… 

 

… 

 

 “เอาล่ะ คนเข้าสนามไปหมดแล้ว พี่เริ่น พวกเราควรทำงานหรือยัง” หลีจื่อเตือนเริ่นจื่อหลิง ในฐานะที่เป็นนักข่าว คืนนี้พวกเธอยังมีงานสำคัญที่ต้องทำอีก 

 

 “ป่ะ ดูดบุหรี่ซักมวนแล้วไปทำงาน ใครใช้ให้ฉันจนล่ะ” เริ่นจื่อหลิงหยักไหล่ 

 

หลีจื่อสังเกตการกระทำของเริ่นจื่อหลิงอย่างสนใจ ทันทีที่กวาดตามองไป เธอหรี่ตาลงและพูดว่า “พี่เริ่น พี่สังเกตเห็นอะไรไหม ลั่วชิวกับโยวเย่สองคน ไม่ว่าจะดูตอนไหนก็รู้สึกว่า…” 

 

 “รู้สึกว่าอะไร” 

 

หลีจื่อถอนหายใจ “รู้สึกเหมือนกับเมฆขาวปะทะกับสายลมอันสดชื่น พี่คิดไหมว่าลูกชายสุดที่รักของพี่กลับสะใภ้ในอนาคตอาจจะเป็นพวกที่มีนิสัยจืดชืดและเย็นชาแบบเดียวกัน” 

 

 “ไปๆๆ ฉันยังรอกอดหลานอยู่เลย” เริ่นจื่อหลิงกลอกตาใส่หลีจื่อ แต่ก็พึมพำเบาๆ ว่า “แต่…ไม่ใช่มั้ง จะว่าไปแล้ว เจ้าเด็กนี่ก็กลับบ้านทุกวัน ไม่เคยอยู่ค้างคืนข้างนอกเลย…คงจะไม่หรอก” 

 

หลีจื่อหยักไหล่ จากนั้นก็เปิดซองลูกอมและเลียไปพร้อมกับส่งเสียงแจ๊บๆ 

 

หลีจื่อที่เกิดมาพร้อมกับความคิดที่ค่อนข้างซุกซนพูดขึ้นมาอย่างฉับพลันว่า “พี่เริ่น ก่อนหน้านี้ตอนที่ฉันอยู่ที่ชนบทมีวิธีสืบทอดต่อกันมาสามารถรักษาความจืดชืดเย็นชาได้ อีกทั้งยังรับประกันโอกาสในการคลอดลูกสำเร็จถึงเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์เลย” 

 

 “จริงหรือเปล่า” ดวงตาของเริ่นจื่อหลิงสว่างวาบ 

 

หลีจื่อพยักหน้า “แต่ผลของมันค่อนข้างรุนแรง ต้องแน่ใจว่าลั่วชิวกับโยวเย่อยู่ด้วยกันตามลำพังถึงลงมือได้ ไม่อย่างนั้นฉันไม่รับผิดชอบความเสียหายที่จะเกิดขึ้น” 

 

พูดแล้วหลีจื่อก็ยิ้มหรี่ตามองเริ่นจื่อหลิง 

 

 “สกปรกจริงๆ หลีจื่อ” เริ่นจื่อหลิงเคาะหัวหลีจื่อ แต่ก็พูดว่า “โอกาสน่ะมีเยอะแยะ เธอเตรียมวิธีที่สืบทอดกันมานั้นให้ฉันเถอะ” 

 

 “ได้เลย ไว้เป็นหน้าที่ฉันเอง” หลีจื่อยิ้มรับ “แต่ถ้าจะให้พี่หาวัตถุดิบกลัวว่าจะหาไม่ครบและไม่มีที่นี่…เอาอย่างนี้ไหม ฉันจะให้เพื่อนที่ชนบทเตรียมไว้สำเร็จเลย จากนั้นก็ค่อยเอามา” 

 

ทันใดนั้นแสงสปอร์ตไลท์สายหนึ่งก็ส่องเข้ามาทำให้เริ่นจื่อหลิงและหลีจื่อมองเห็นรถฟ็อลคส์วาเกินคันหนึ่งค่อยๆ ขับเข้ามาทางพวกเธอสองคน แสงไฟบนรถค่อนข้างแสบตา ทั้งสองคนมองเห็นเพียงเงาร่างสายหนึ่งลงมาจากรถ  

 

 “เหล่าหม่า…นายมาที่นี่ได้ยังไง นายพูดแล้วว่าจะไม่กลับมาย้ายอิฐอีกไม่ใช่เหรอ” เริ่นจื่อหลิงมองเห็นชัดแล้วว่าคนที่ลงจากรถมาคือเซอร์หม่า 

 

หม่าโฮ่วเต๋อกลอกตาใส่เริ่นจื่อหลิงแวบหนึ่งและไม่สนใจ เขาเดินไปอีกข้างหนึ่งของรถรับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งลงมา  

 

 “ว้าว เด็กน่ารักอะไรอย่างนี้” เริ่นจื่อหลิงมองเพียงแวบเดียวก็เอ่ยปากชื่นชมออกมา “เหล่าหม่า ยีนของตระกูลนายเปลี่ยนเป็นดีขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เป็นญาติมาจากที่ไหน” 

 

 “นี่คือหลงเอ๋อร์” หม่าโฮ่วเต๋อกลอกตาพูดว่า “เด็กหลงทางน่ะ บอกว่าย่ารออยู่ที่นี่ ผมเลิกงานกำลังคิดจะไปโรงพยาบาลแพทย์แผนจีนพอดีเลยพามาส่ง…ว่าไปแล้วที่คุณทำคอผมเคล็ด ผมยังไม่ได้คิดบัญชีเลยนะ” 

 

 “นายก็ยังอยู่ดีอยู่ไม่ใช่เหรอ” เริ่นจื่อหลิงเองก็กลอกตาใส่ จากนั้นก็ย่อตัวลงไปลูบหัวเด็กหญิง “หนูชื่อหลงเอ๋อร์งั้นเหรอ น่ารักจังเลย บอกพี่มาซิว่าอายุเท่าไหร่” 

 

 “หยุดๆ เด็กคนนี้ไม่ชอบให้ใครลูบหัว อาจจะทำร้ายคนได้” หม่าโฮ่วเต๋อรีบเตือน…เอ๋ ไม่ถูกสิ 

 

เขาเห็นหลงเอ๋อร์ปล่อยให้เริ่นจื่อหลิงลูบหัวอย่างเชื่อฟัง ไม่ขยับตัวเลยสักนิด นิ่งอยู่อย่างนั้น…ไม่ดุร้ายเลย 

 

 “เพราะนายขี้เหร่เลยไม่ยอมให้นายลูบต่างหาก” เริ่นจื่อหลิงยิ้มเยาะหม่าโฮ่วเต๋อ จากนั้นก็อุ้มหลงเอ๋อร์ขึ้นมา พูดอย่างภาคภูมิใจว่า “นายดูสิ เชื่อฟังขนาดไหน จะต้องเป็นเพราะนายดูเหมือนลุงโรคจิตแน่ๆ” 

 

เซอร์หม่า…เซอร์หม่ารู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหลทะลักออกมา 

 

เขาก็อยากอุ้มบ้าง 

 

… 

 

บ้าชิบ ทำไมถึงเจอกับผู้หญิงคนนี้ได้ 

 

สาเหตุที่มังกรแท้จริงแห่งแผ่นดินเทพร่างกายแข็งทื่อ…ก็เพราะตัวเธอเองรู้ดีกว่าใครว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ปกติ 

 

หลงซีรั่ว…หลงเอ๋อร์ลูบแก้มของตนเอง 

 

ดูเหมือนตรงนี้ยังเจ็บอยู่ 

 

แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงอยู่ที่นี่…หมายความว่าเจ้าของร้านคนนั้นก็อาจจะอยู่ที่นี่ด้วย มังกรแท้จริงแห่งตำหนักเทพหรือหลงเอ๋อร์กวาดตามองรอบด้านอย่างแตกตื่น สีหน้าดูเป็นกังวล