บทที่ 1959 – ผู้อาวุโสตระกูลเฉิง ตระกูลชิงพยายามจะปีนป่ายขึ้นมาทัดเทียมกับตระกูลเฉิง

Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล

“เฉิงหยวน ดูเหมือนว่าตระกูลของเจ้าเองก็เป็นตระกูลที่ทรงเกียรติเหมือนกัน”ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าวทักทาย
  เมื่อเห็นว่าเฉิงหยวนกำลังรอคอยเขาอยู่ที่ประตู ชิงสุ่ยก็รู้สึกว่าเด็กคนนี้เป็นคนที่ค่อนข้างดี ตรงข้ามกับพลังแห่งสายเลือดราชาปีศาจที่อยู่ในตัวของเขา
  อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเหตุผลใด มันคือการพูดคุยระหว่างชายกับชาย หากยังไม่มีความรู้สึกรักใคร่หรือความเกลียดชังหรือผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง ทุกคนก็จะมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือความจริงใจ ดังนั้นชิงสุ่ยมึงไม่เคยมีความคิดดูหมิ่นเฉิงหยวน
  ตระกูลเฉิงเป็นตระกูลที่มีความเจียมเนื้อเจียมตัวสูง ภายในบ้านของพวกเขามีคนใช้อยู่น้อยมาก และชิงสุ่ยก็รับรู้ถึงกลิ่นอายที่น่าเกรงขามได้จากส่วนต่างๆเพียงไม่กี่ส่วนของบ้าน
  พื้นที่ของตระกูลเฉิงค่อนข้างกว้างขวาง หากมองด้วยสายตาเบื้องต้นก็คงจะประมาณพื้นที่ได้ไม่ต่ำกว่า 10 สนาม โดยมีภูเขาจำลองตั้งตระหง่านอยู่ที่สนามลานหน้าบ้าน ด้านบนของภูเขายักษ์สลักตัวอักษรคำว่า “เฉิง”
  ภายในลานกว้างเต็มไปด้วยต้นไม้จำนวนมาก แต่ละคนใหญ่พอจะปกคลุมปิดทั้งตระกูลเฉิง ต้นไม้ที่พวกเขาปลูกล้วนแตกต่างเต็มไปด้วยนานาพันธ์ุ ด้านบนต้นไม้เต็มไปด้วยฝูงนกร้องส่งเสียงก้องกังวาล
  ชิงสุ่ยเดินชมทัศนียภาพบรรยากาศโดยรอบ เขามองเห็นเด็กตัวเล็กๆกำลังวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน นอกจากนี้ด้านข้างของเหล่าเด็กน้อยก็มีบรรดาหญิงสาวที่เหมาะสมจะเป็นแม่ของเด็กๆ พวกเธอทักทายชิงสุ่ยและเฉิงหยวนอย่างมีความสุข
  “อรุณสวัสดิ์ พี่หญิง และน้าๆทั้งหลาย”
  เฉิงหยวนยิ้มทักทายบรรดาหญิงสาวหลังจากนั้นเขาก็เดินนำชิงสุ่ยไปที่สวนหลังตระกูล
  ในขณะเดียวกัน ชายคนหนึ่งก็เดินตรงเข้ามาเขาก็คือปู่ของเฉิงหยวน แต่อย่างไรก็ตามตอนนี้เขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับการตัดสินใจของตระกูลแล้ว แต่ก็คงไม่อาจเถียงได้ว่าชายคนนี้คือขุมพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูล
  “หยวนเอ๋อ ชายผู้นี้เป็นใครกัน?”
  เมื่อเขาเดินมาที่ลานกว้างลำดับที่ 3 ชายหนุ่มอีกคนนึงก็เดินตรงออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม
  ชิงสุ่ยพินิจพิจารณาชายหนุ่มรูปร่างรองเท้า เสื้อผ้าสีขาวที่เขาสวมใส่ทำให้เขาดูมีสง่าและดูเป็นคนเรียบง่าย ดวงตาของเขาสดใสและมีเสน่ห์เป็นเอกลักษณ์ ภาพรวมทั้งหมดเพียงพอจะทำให้บรรดาหญิงสาวทุกคนหลงใหลในชายคนนี้
  “สวัสดีท่านลุง ชายผู้นี้คือชิงสุ่ย ชิงสุ่ยแห่งตระกูลชิง”   ในขณะที่เฉิงหยวนกล่าว เขาก็หันไปยิ้มกลับชิงสุ่ย “ส่วนชายผู้นี้ก็คือลุงของข้าเองเฉิงป่าไป๋ เขาก็เป็นหนึ่งในยอดยุทธของตระกูลเฉิง”
  “หยวนเอ่อ เจ้าจะต้องไม่เสียมารยาทกับแขก ยินดีที่ได้พบคุณชายชิงสุ่ย แม้ว่าเราจะพบกันครั้งแรก แต่ข้าได้ยินเรื่องเกี่ยวกับตัวของคุณชายมามากมาย ยินดีต้อนรับสู่ตระกูลเฉิง”ชายผู้นั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
  “ยินดีที่ได้พบเช่นกันท่านผู้อาวุโส โปรดให้อภัยกับการถือวิสาสะเข้ามาเยี่ยมชมบรรยากาศภายในตระกูลของท่าน โดยไม่ได้ทำการนัดหมายอย่างเหมาะสม”
  “อย่าใส่ใจเลย!!”
  “ชิงสุ่ยต้องการที่จะพบท่านปู่ ทำไมไม่ปล่อยให้พวกเขาอยู่ด้วยกันลำพังละ ท่านลุง?”เฉิงหยวนกล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม
  เฉิงป่าไป๋หันไปมองชิงสุ่ย ซึ่งชิงสุ่ยก็พยักหน้าและกล่าวว่า “ใช่แล้วล่ะท่านผู้อาวุโส ข้าขออยู่กับท่านปู่ตามลำพังได้หรือไม่?”   “ชิงสุ่ย โปรดเรียกข้าว่าป่าไป๋เถิด”
  ชิงสุ่ยยิ้ม “ตอนนี้เห็นจะไม่สมควร ข้าอยากจะนับถือท่านในฐานะท่านผู้อาวุโส ไว้ในอนาคตพวกเราค่อยเปลี่ยนชื่อเรียกสนทนากัน”
  ภายในลานกว้างหลังตะกูล โดยเฉพาะลานกว้างส่วนสุดท้าย มันมีขนาดเหมาะสมและเป็นสถานที่ที่เงียบที่สุดในตระกูลเฉิง ก่อนที่เขาจะเข้ามาภายใน เคารพรู้ถึงกลิ่นอายที่น่าเกรงขาม มันมีพลังมากกว่าเฉิงป่าไป๋ ซึ่งพลังที่ชิงสุ่ยรับรู้จากเฉิงป่าไป๋ มันน่าจะเกินกว่า 200 ล้านเต๋า
  ส่วนทางด้านของชายชราที่อยู่ในสวนส่วนสุดท้าย เขารับรู้ระดับของพลังที่เกือบจะถึง 300 ล้านเต๋า นี่คืออีกคนนึงที่มีพลังสูงสุดในมหาทวีปแห่งนี้ ดูเหมือนว่าตระกูลเฉิงพยายามซ่อนตัวและทำได้ดี มันจะทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าขุมกำลังใดที่สามารถบังคับให้ตระกูลเฉิงต้องกลายเป็นแบบนี้ได้
  ชิงสุ่ยจ้องมองปู่ของเฉิงหยวน แม้ว่าเขาจะดูแก่ชราแต่อย่างน้อยสิ่งที่เห็นก็เป็นเครื่องยืนยันได้ว่าชายชราคนนี้จะอยู่เฝ้าตระกูลได้อีกอย่างน้อย 200 ปี ชิงสุ่ยรับรู้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคยและแปลกประหลาด ซึ่งมันถูกซ่อนไว้เป็นอย่างดี แม้ว่าเขาจะรู้สึกถึงความแข็งแกร่งแต่ก็เหมือนบุคคลนั้นไม่มีอยู่จริง
  ชายชรานั่งตกปลาอยู่ริมสระน้ำ ตั้งแต่ครั้งแรกที่ชิงสุ่ยมองเห็นชายชรา เขาตกปลาขึ้นมา จากนั้นก็โยนมันกลับลงไปในน้ำ ตัวที่สองเข้าก็ยังทำเหมือนเดิม ตกขึ้นมาและโยนมันกลับไป
  ชายชราไม่ได้พยายามเสแสร้ง เขาตกปลาเหมือนกับคนธรรมดา และมีสีหน้าจริงจังมาก
  มันดูเหมือนชายชราจะไม่รู้ตัวว่ามีแขก
  ชิงสุ่ยพยายามเข้าใกล้ชายชรา แม้ว่าเขาจะอายุมากแล้วแต่ภายนอกก็ยังคงสภาพซึ่งลักษณะน่าเกรงขามได้ชื่นชม เมื่อพิจารณาใบหน้าอันแสนหล่อเหลา เฉิงหยวนและเฉิงป่าไป๋ก็พอจะอนุมานได้ว่ามันมาจากชายคนนี้
  หลังจากตกปลาไปได้สักพักชายชราก็อยากจะจิบน้ำชา ทันทีที่เขาหันมาเขาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นทั้ง 3 คนยืนรออยู่ “ป่าไป๋ หยวนเอ่อ เหตุใดเจ้าถึงไม่เรียกข้า ปล่อยให้แขกต้องรอนาน!! แค๊กก!! ข้าแก่แล้ว แก่แล้วจริงๆ”
  ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าวว่า “ยินดีที่ได้พบท่านผู้อาวุโส!!”
  ดูเหมือนชายชราเองก็ค่อนข้างจะหน้าหนาหน้าทน เขาพยายามหาข้อแก้ตัวโดยอาศัยอายุของตนและการไม่ทันสังเกตเห็น จากนั้นเขาก็ตำหนิป่าไป๋ ชิงสุ่ยจึงพอจะคาดเดาจากการกระทำได้ว่าชายชราคนนี้พยายามไม่ยุ่งเกี่ยวกับอะไร นั่นคงเป็นวิสัยทัศน์หลักของคนสำคัญตระกูลเฉิง
  “ท่านปู่ ชายคนนี้คือชิงสุ่ย”เฉิงหยวนกล่าวอย่างรวดเร็ว
  “โอ้ คนรักตัวน้อยของเจ้าเองก็เป็นคนตระกูลชิง ดูเหมือนว่ามันจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย”ชายชรายิ้มและกล่าวตอบ  “ท่านผู้อาวุโส ข้ามาที่นี่วันนี้มีจุดประสงค์เดียวคือการเยี่ยมชมเท่านั้น”ชิงสุ่ยกล่าว
  คำพูดของชายชรามาทำให้ชิงสุ่ยค่อนข้างผิดหวัง เขาพูดราวกับว่าตระกูลชิงเหมือนพยายามจะยืนทัดเทียมกับตระกูลเฉิง
  “ยอดเยี่ยม ข้าเองก็เริ่มสงสัยแล้วว่าเจ้าจะมีคำถามอะไรมาถามตระกูลเฉิง?”ชายชราวางเบ็ดตกปลาลง และยืนขึ้นอย่างช้าๆ
  เขาเป็นคนที่ค่อนข้างสูงโปร่ง และมีร่างตรงสง่าผ่าเผย
  เฉิงหยวนมองตรงมาที่ชิงสุ่ยด้วยใบหน้าอึดอัด ส่วนเฉิงป่าไป๋ก็เหมือนจะไม่แยแสมากนัก
  ชิงสุ่ยจ้องมองเฉิงหยวน แต่ก็ยังคงไม่พูดจาอะไร ตอนแรกเขาคิดว่าทุกคนในตระกูลเฉิงจะเห็นด้วยกับการแต่งงาน ซึ่งมันก็คงไม่ใช่ชายชราคนนี้แน่…เพราะชายชราคนนี้ลังเลที่จะยอมรับงานแต่งงาน
  “เห็นได้ชัดว่ามีตระกูลที่น่าเกรงขามได้ปรากฏตัวอยู่ในมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำ ข้ามาที่นี่ด้วยความตั้งใจอยากตรวจสอบและยืนยันว่าข่าวลือนั้นเป็นจริงหรือไม่?”ชิงสุ่ยตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
  ชิงสุ่ยไม่ปล่อยให้อารมณ์มาอยู่เหนือการตัดสินใจ เพราะแท้จริงแล้วชิงเป่ยก็ชอบเด็กน้อยคนนี้ และเด็กน้อยคนนี้เองก็รักชิงเป่ย นอกจากนั้นเขาเองก็รู้ดีว่าเฉิงหยวนเป็นคนดี เพียงแต่เขาไม่ต้องการให้ชิงเป่ยต้องผิดหวัง และอาจจะถูกรังแกเมื่อเข้ามาอยู่ในตระกูลที่ไม่รู้จัก ถ้าหากตระกูลชิงแข็งแกร่งกว่า ชิงเป่ยก็จะมีสิทธิ์มีเสียงพูดคุยเพื่อป้องกันตัวเองได้ในระดับนึง
  แน่นอนว่าทั้งหมดก็เป็นเพียงแค่ข้อสันนิษฐาน
  “เจ้ารู้สึกว่าตระกูลเฉิงเป็นอย่างไรบ้าง?”ในขณะเดียวกัน เมื่อเสียงพูดดังขึ้น คนกว่า 30 คนก็วิ่งกรูกันเข้ามา โดยมีผู้นำกลุ่มเป็นผู้หญิง และด้านหลังของเธอเต็มไปด้วยชายหญิงและเด็กๆอีกมากมาย ��