แม้ว่าชิงสุ่ยจะสามารถเอาชนะลุงของเฉิงหยวนได้ภายใน 1 กระบวนท่า แต่การสู้รบครั้งนี้ไม่ได้หมายเอาชีวิตกัน เขาก็ไม่จำเป็นต้องลงมือต่อ ถึงเขาจะโดนดูถูกทางวาจา สุดท้ายชิงสุ่ยก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร เขาใจกว้างพอจะทนกับคำดูถูกต่างๆนานาได้
ทั้งชิงสุ่ยและลุงของเฉิงหยวนป้างก็โกรธเคืองกันเพราะวาจา ในเมื่อยอดยุทธได้ตัดสินกันด้วยกำลังแล้ว ในเมื่อชิงสุ่ยแข็งแกร่งกว่า เขาคงจะผิดมหันต์หากไม่เคารพคนที่แข็งแกร่งกว่า
ลุงของเฉิงหยวนอาจจะไม่ได้แข็งแกร่งที่สุด แต่ก็ถือเป็น 1 ใน 5 อันดับแรกที่มีพลังสูงสุดในตระกูล มิฉะนั้นเขาเองก็คงไม่กล้าลุกขึ้นยืนท้าทายศัตรูเพื่อตระกูลของเขา และที่สำคัญคือผู้นำตระกูลเฉิงคนปัจจุบันก็คือลูกของเฉิงหยวน เฉิงสือชาง ในตอนนี้ กลุ่มคนของตระกูลเฉิงได้แต่ยืนนิ่งเหมือนคนใบ้ ทุกคนต่างมองด้วยสายตาตกตะลึงโดยเฉพาะเฉิงหยวน เฉิงป่าไป๋และย่าประจำตระกูลเฉิง เธอเหมือนคนกำลังสำลักน้ำ ไม่กล้าพูดแม้แต่คำเดียว ยืนดูทุกอย่างโดยไม่อยากเชื่อสิ่งที่เห็น
โดยปกติแล้วตระกูลขุนนางจะมีเกียรติอย่างมาก ภูเขาบอกว่าตัวเองเป็นกลุ่มคนทรงพลังและสง่างาม จนบางครั้งอาจจะเผลอคิดไปว่าตัวเองนั้นแข็งแรงที่สุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อย้ายมาอยู่ในมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำ
แต่พวกเขาก็ไม่ได้ผิดอะไร มหาทวีปแห่งนี้กว้างใหญ่ไพศาล…..ตระกูลเฉิงก็ถือเป็นตระกูลที่ทรงพลังที่สุดในละแวกอาณาเขตแห่งนี้ ในเมื่อพวกเขาได้รับการเคารพจากผู้คนรอบข้างมาโดยตลอด พวกเขาจึงกลายเป็นคนเย่อหยิ่งทะนงตนโดยไม่รู้ตัว
แต่ตอนนี้ ผู้นำตระกูลได้พ่ายแพ้ให้กับเด็กหนุ่มเยาว์วัยอย่างสมบูรณ์ภายในกระบวนท่าเดียว นอกจากจะบาดเจ็บแล้วยังถูกบีบบังคับให้ต้องนอนกับพื้น เหมือนราชาที่เสียมงกุฎ
เฉิงสือชางคือผู้นำตระกูล เฉิงหยวนแม้จะไม่ได้เป็นลูกชายของเขา แต่ก็ถือเป็นความหวัง……การที่เขามีหญิงสาวบริวารจำนวนมากแต่กลับไม่สามารถให้กำเนิดบุตรชายได้เลยแม้แต่คนเดียว สิ่งนี้สร้างความประหลาดใจให้กับชิงสุ่ยไม่น้อยเลย
นั่นก็มีความหมายอย่างชัดเจนว่าในอนาคตเฉิงหยวนจะขึ้นมาเป็นผู้นำตระกูล เฉิงสือชางจึงทำทุกอย่างและดูแลเฉิงหยวนเหมือนลูก
อย่างไงซะ เฉิงสือชางก็คนข้างยึดถือในความคิดของตน เขาต้องการจะให้เฉิงหยวนแต่งงานกับตระกูลสูงส่งเท่านั้น หรือไม่ก็ตระกูลที่มียศฐาบรรดาศักดิ์เท่าเทียม เพราะอย่างน้อยทั้งสองตระกูลจะได้ช่วยเหลือเกื้อกูลกันผลักดันทั้งสองให้แข็งแกร่งขึ้น
ในวันนี้ เขาต้องมาพ่ายแพ้ให้กับเด็กหนุ่ม เขาไม่รู้เลยว่ามันเป็นความประหลาดใจเลยเป็นความล้มเหลวในชีวิต ชายคนนี้คือพี่ชายของคนรักเฉิงหยวน…… ตัวของเขาเป็นเหมือนเทียนที่คิดว่าตนเองใหญ่กว่าพระอาทิตย์ ถ้าหากเด็กคนนี้แสดงความแข็งแกร่งให้เห็นตั้งแต่แรกเดิม เขาก็คงไม่พูดจาเลวร้ายแบบนั้นออกไป
เฉิงสือชางทั้งรู้สึกอายและหงุดหงิด ขณะเดียวกันเขาเองก็รู้สึกมีความสุขเล็กน้อย เขารู้ว่าชิงสุ่ยหยุดลงมือต่อ นั่นก็หมายความว่าเขายังมีโอกาสแก้ไขสิ่งที่เลวร้าย
“เอาล่ะ ทำไมพวกเจ้ายังอยู่ที่นี่อีก? ไป ไปทำงานของพวกเจ้า”เฉิงสือชาง ไล่ทุกคนโดยรอบ เหลือเพียงแค่เฉิงป่าไป๋ เฉิงสือเสิน เฉิงหยวนและหญิงสาวอีกคนนึงข้างหลัง
หญิงสาวคนนี้มีร่างกายที่งดงาม ใบหน้าเป็นผู้ใหญ่และดูใจดี รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าไม่สามารถบอกอายุที่แท้จริงของเธอได้ แต่เมื่อตัดสินใจจากการมองดู สามารถบอกได้เลยว่าวุฒิภาวะที่แสดงออกมานั้นอยู่เหนืออายุจริงของเธอ ชิงสุ่ยรู้ดีว่าเธอคือแม่ของเฉิงหยวน เธอดูเป็นสุภาพชนและเหมาะการฝึกฝน เธอคือสามีของเฉิงสือเสิน แล้วด้วยการฝึกฝนของทั้งคู่ จึงทำให้ทั้งคู่มีพลังอยู่ในระดับนักบุญและระดับปราณจักรพรรดิ
ไม่ใช่ว่าทุกคนในตระกูลราชวงศ์จะสามารถบรรลุอาณาจักรพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาศได้
ชายชราเฉิงก็ยังคงไม่ออกมา ชิงสุ่ยรู้ดีว่าชายแก่คนนี้เป็นคนยึดถือแต่ตน เขาคงไม่ต้องการมีส่วนร่วมกับทุกสิ่งอย่างจริงๆ และเขาก็ไม่จำเป็นต้องยื่นมือเข้ามาแทรก
“เออ ถ้าข้าจำไม่ผิด เจ้าคือชิงสุ่ย เดี๋ยวข้าจะขอแนะนำตัวอีกครั้ง ข้าเฉิงสือชาง หัวหน้าตระกูลเฉิง ยินดีต้อนรับสู่ตระกูลของพวกเรา”เฉิงสือชางยิ้มอย่างขมขื่นขณะกล่าว
ชิงสุ่ยกลั้นหัวเราะต่อไปอีกไม่ไหว ดูเหมือนเฉิงสือชางจะกลายเป็นคนที่สืบทอดทัศนคติของชายชราได้อย่างถ่องแท้ ชายผู้นี้กลายเป็นคนหน้าหนา ยอมทำทุกอย่างเอาตัวรอด แม้ตนจะเพิ่งเสียหน้าไปก็ตาม
“ยินดีที่ได้พบเช่นกัน ท่านหัวหน้าตระกูลเฉิง”ชิงสุ่ยพยายามเอาชนะความหงุดหงิดในใจได้เป็นผลสำเร็จ
“ทำไมทุกคนไม่เข้าไปนั่งในบ้านของข้าล่ะ? พี่ใหญ่ มันคงไม่ใช่เรื่องดีเลยที่เราจะปล่อยให้แขกยืนอยู่ข้างนอก”เฉิงป่าไป๋กล่าวเพิ่มด้วยน้ำเสียงที่เป็นไปด้วยความอบอุ่น
กลุ่มคนทั้งหมดเดินตรงเข้าไปในห้องที่อยู่มุมของสนามลานกว้าง ห้องแห่งนี้เป็นเพียงห้องว่างเปล่า ลมพัดผ่านอย่างสะดวกสบาย ในบ้านมีเพียงแค่โต๊ะและเก้าอี้อันแสนเรียบง่ายไร้การตกแต่ง มันไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อแสดงความฟุ่มเฟือย มันทำมาเพื่อให้ทุกคนรู้สึกสบายใจเท่านั้น
ในตอนนี้ เฉิงหยวนพอเริ่มแนะนำพ่อและแม่ของเขาให้กลับชิงสุ่ย ชิงสุ่ยเองก็ทักทายทั้ง 2 ท่านในฐานะผู้น้อย การแสดงออกของผู้ทรงอำนาจอย่างชิงสุ่ย ยิ่งทำให้เฉิงสือชางประหลาดใจ เด็กหนุ่มผู้มีพลังแข็งแกร่ง กลับยังคงแสดงท่าทางอ่อนน้อมถ่อมตนโดยไม่ได้สนใจผู้คนรอบข้าง…..
พ่อแม่ของเฉิงหยวนเปรียบเสมือนครูบาอาจารย์ในโลกใบก่อน พวกเขาให้ความรู้สึกสบายใจเมื่อได้อยู่ใกล้ คำพูดของทั้งสองคนเต็มไปด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนเช่นกัน มันให้ความประทับใจแก่ผู้ฟัง แม้จะเกิดจากภูมิหลังที่แตกต่าง
อารมณ์ก็เป็นรูปแบบหนึ่งที่สร้างอัตลักษณ์ที่แตกต่างกัน
“ข้าอยากจะให้หยวนเอ่อและน้องเป่ยพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีเพิ่มขึ้น ท่านคิดว่าถ้าหาก…..”เฉิงสือชางดื่มน้ำชาอย่างมีความสุขและกล่าวด้วยน้ำเสียงเชื่องช้า
“ท่านผู้นำตระกูลเฉิง ข้ามาที่นี่วันนี้ไม่ได้จะมาพูดถึงเรื่องนั้น น้องเป่ยไม่ได้กังวลว่าจะไม่ได้แต่งงาน แต่ถึงจะจัดงานแต่งงาน พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องให้ข้ามาหาท่านเพื่อสู่ขอด้วยตนเอง ซึ่งตระกูลชิงก็ยังไม่ได้จำเป็นต้องเร่งรีบ และไม่ใช่ตอนนี้รวมถึงในอนาคต”ชิงสุ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ยังคงผ่อนคลาย
“ท่านกล่าวถูกต้องแล้ว ข้าคงจะมีความคิดที่เร่งรีบเกินไป เราควรปล่อยให้เด็กๆตกลงแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง ในอนาคต ข้าเองก็หวังว่าจะได้ไปเยี่ยมชมตระกูลของท่านบ้าง”เฉิงสือชางเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ตอนนี้เขากลับกลายเป็นคนที่ดูต่ำต้อยมาก
คนอื่นของตระกูลเฉิงได้แต่ยิ้ม นี่คงเป็นครั้งแรกที่หัวหน้าตระกูลเฉิงได้รับความพ่ายแพ้ราบคาบ
เฉิงหยวนมองชิงสุ่ยก่อนจะหันไปมองบรรดาสมาชิกตระกูลและเพื่อนๆพี่น้องของเขา ดูเหมือนว่าเขากำลังต้องการจะพูดอะไรบางอย่างแต่ขณะที่เขากำลังอ้าปาก ชิงสุ่ยก็กล่าวขัดจังหวะ “เฉิงหยวน เจ้ามาหาข้าพรุ่งนี้ ข้ามีบางอย่างจะพูดด้วย”
“ได้เลย พี่ชายชิงสุ่ย”
เมื่อเป้าหมายที่เขาต้องการสำเร็จ ชิงสุ่ยก็ลุกขึ้นยืนกล่าวอำลา เฉิงสือชางและคนอื่นๆจึงรีบเดินไปส่งชิงสุ่ยเป็นการส่วนตัว