ตอนที่ 802 ความคิดถึงคือบ่อเกิดของโรคร้ายแรง(3) โดย Ink Stone_Romance
ไป๋ซู่เย่เรียนคาบสุดท้ายของวันนี้เสร็จก็เพิ่งบ่ายสามโมงกว่า แบกกล่องสีเตรียมกลับห้องตัวเองแต่ยังไม่ทันก้าวออกจากประตูสถาบันชิงอิ๋งก็ใช้ศอกกระทุ้งเธอสองที
“นี่!ดูเร็วดูเร็ว!เย่เซียว!”
ไป๋ซู่เย่เงยหน้าเห็นเพียงรถกันกระสุนของเย่เซียวจอดอยู่หน้าประตูสถาบัน เขายืนอยู่ตรงนั้นสองมือล้วงกระเป๋าเสื้อโค้ท ร่างสูงตระหง่านที่ปล่อยออร่าเย็นยะเยือกจากหัวจรดปลายเท้า
แม้ใบหน้าจะเขียนชัดว่า ‘ห้ามคนแปลกหน้าเข้าใกล้’ แต่ยังคงดึงดูดสายตาได้มากพอ
แค่ยืนมองจากที่ไกลๆ แบบนี้ นัยน์ตาของเธอยังเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม
“ฉันไปก่อนนะ” ไป๋ซู่เย่โบกมือให้ชิงอิ๋ง “เจอกันพรุ่งนี้”
ไม่สนว่าอีกฝ่ายจะค่อนแคะเช่นไร เธอได้เดินเท้าปลิวไปหาเย่เซียวแล้ว
เย่เซียวเห็นเธอมาแต่ไกลแววตาก็อ่อนลงอย่างมาก
ไป๋ซู่เย่เดินมาตรงหน้าเขาแล้วยืนนิ่งถาม “คุณมาได้ยังไง?”
“พาคุณไปตรวจร่างกาย”
“ไปไหน?”
“เมื่อวานคุณพ่อบอกว่าให้ข่ายปินตรวจร่างกายให้คุณไง ลืมแล้วเหรอ?” เย่เซียวว่าพลางยกกล่องสีของเธอไปวางไว้ช่องเก็บรถด้านหลัง
“กล่องสีนั่นสกปรกนิดหน่อยอย่าทำให้เลอะรถของคุณนะ” เธอพูดเตือนแล้วนั่งลงเบาะข้างคนขับ หันไปคุยกับเขาที่ยังอยู่หลังรถ “คุณไฟอาจจะแค่พูดไปเท่านั้นหรือเปล่า? ไหนว่าไม่ให้คุณหมอข่ายปินรักษาใครง่ายๆ ไงล่ะ?”
เย่เซียวเดินกลับมาจากข้างหลังก้าวขึ้นรถ คาดเข็มขัดไปตอบกลับไปด้วย “วันนี้คุณพ่อโทรบอกข่ายปินแต่เช้า หมายความว่าท่านพูดจริง”
ขณะที่พูดประโยคสุดท้ายเย่เซียวหันข้างเหลือบมองเธอด้วยสายตาล้ำลึกหน่อยๆ “ตอนนี้พ่อบุญธรรมของผมเหมือนจะชอบคุณมาก”
“งั้นเหรอ?” ไป๋ซู่เย่หัวเราะที ความจริงเธอเองก็สัมผัสได้
แต่จะให้คนอาวุโสที่แสนดื้อรั้นคนนั้นเปลี่ยนแปลงความคิดไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ นะ นอกจากห้ามบ่นห้ามคร่ำครวญ ยังต้องเอาใจพร้อมจะทำตามข้อเรียกร้องทุกอย่างแล้วห้ามโต้เถียงใดๆ ไม่อย่างนั้นไม่มีทางเข้าตาท่านได้แน่นอน
“ซู่ซู่” เย่เซียวเรียกเธอเสียงหนึ่งขณะที่กำลังตกอยู่ในห้วงความคิด
“หืม?” เธอเปิดสมุดวาดรูปในมือพลางตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ
“พรุ่งนี้ผมไปสัมมนา อาจจะต้องไปหลายวัน”
ไป๋ซู่เย่ชะงักมือที่เปิดสมุดวาดรูปครู่หนึ่ง ทั้งอาลัยอาวรณ์ทั้งเป็นห่วงอยู่เล็กน้อย “ผ่าตัดเอากระสุนออกมาก่อนไม่ได้เหรอ?”
เขาไปสัมมนางาน เธอไม่อาจไว้วางใจได้
“ครั้งนี้ไปสัมมนาที่ประเทศ S พอดี ฉะนั้นรอทำงานเสร็จผมจะไปหาถังซ่งโดยตรง แล้วก็ผ่าตัดที่นั่นให้เสร็จเลย”
ที่แท้ก็อย่างนี้นี่เอง
ไป๋ซู่เย่ไม่เว้นช่วงคิดด้วยซ้ำ “งั้นฉันไปกับคุณด้วย”
ได้ยินคำของเธอแล้วเย่เซียวก็อารมณ์ดีขึ้นมาก อืม ความจริงเขากะไว้อย่างนั้นพอดีแต่ปากกลับบอกไปว่า “คุณมีเรียนไม่ใช่เหรอ?”
“ไม่เป็นไร ฉันขอลาก็ได้แล้ว ยังไงที่ฉันเรียนก็เพราะงานอดิเรก”
“แล้วร้านขายรูปวาดของคุณล่ะ?”
“ร้านปล่อยเป็นหน้าที่ของเจ้าของร้าน ฉันรับผิดชอบเลือกรูปเฉยๆ เดิมทีก็ไม่ค่อยไปอยู่แล้ว”
เย่เซียวพยักหน้ารับอย่างพอใจ จากนั้นมองเธออีกแวบหนึ่ง “คุณต้องเตรียมใจไว้ให้ดี ไปครั้งนี้ผมตั้งใจจะจัดการทุกอย่าง”
พูดถึงนี่เขาหยุดเว้นช่วงก่อนจะเสริมอีกประโยค “ผมอยากพบพ่อแม่คุณเร็วๆ อยากขอโทษพวกท่านต่อหน้า”
ไป๋ซู่เย่เงียบไปอึดใจหนึ่ง พยักหน้ารับ วันนี้ต้องมาถึงไม่ช้าก็เร็ว
“คนที่ต้องเตรียมใจเห็นทีจะเป็นคุณแล้วล่ะ” ไป๋ซู่เย่คิด ถึงตอนนั้นต้องเรียกเย่ฉิงมาเป็นตัวช่วย ช่วยห้ามท่านผู้เฒ่าผู้อารมณ์ร้อนคนนั้น
——————
หลังเย่เซียวมาถึงประเทศ S สองวันแรกก็มัววุ่นอยู่กับงาน
ไป๋ซู่เย่พักที่จงซัน ทั้งคู่ไม่มีเวลาได้มาเจอกันมากนักแค่โทรหากันเป็นบางครั้งบางคราว
ท่านผู้เฒ่าและฮูหยินไป๋เห็นเธอกลับจากเมืองเยียวกะทันหัน เดิมทีคิดว่าเย่เซียวทำอะไรเธออีกแล้ว ท่านผู้เฒ่าถึงได้โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เธออธิบายอยู่พักใหญ่บวกกับเห็นว่าเธอไม่ได้มีส่วนผิดปกติตรงไหนผู้อาวุโสทั้งสองคนถึงได้ผ่อนคลายอารมณ์ลง
คืนที่สามหลังกลับมาประเทศ S เธอเตรียมตัวขึ้นไปพักผ่อน ฮูหยินไป๋ที่เดิมทีกำลังจัดกระถางต้นไม้แสนรักของตัวเองเหล่านั้นอยู่กลับเอ่ยขึ้น “ซู่ซู่ ลูกนั่งลง แม่มีเรื่องจะคุยกับลูก”
ไป๋ซู่เย่เห็นฮูหยินไปมีสีหน้าเคร่งขรึมเลยย้อนกลับมานั่งลงบนโซฟา
ฮูหยินไป๋จัดกระถางดอกไม้ วางบัวรดน้ำลงแล้วนั่งลงตรงข้ามเธอพลางถาม “ตอนนี้พวกลูกยังไงกันแน่?”
“หืม? อะไรหรือคะ?” คำถามไม่มีที่มาที่ไปของฮูหยินไป๋เรียกให้ไป๋ซู่เย่งุนงงเล็กน้อย
“หืมอะไร แม่หมายถึงลูกกับเย่เซียว ก่อนหน้านี้จะเป็นจะตายก็จะอยู่กับเขา ตอนนี้พวกลูกอยู่ในเมืองกันทั้งคู่แท้ๆ แต่ก็ไม่ออกไปเดต ทำไม พวกลูกคบกันจริงๆ ใช่มั้ยเนี่ย? มีอย่างที่ไหนที่คบกันเหมือนพวกลูก?”
ได้ยินฮูหยินไป๋ว่าเช่นนั้น ความจริงเธอแอบผิดหวังในใจนิดๆ ก่อนหน้านี้เธอเองหลงคิดว่าพวกเขาต้องได้ออกไปเดตที่ประเทศ S กันบ้าง แต่นี่กลับมาสามวันแล้ว อย่าว่าแต่เดตเลย ไม่ได้เจอหน้ากันด้วยซ้ำ
ดูท่าทางเขาจะยุ่งมาก
ยุ่งเสียขนาดทุกครั้งที่โทรหาเขาเขาประชุมอยู่ สองวันหลังไป๋ซู่เย่เลยไม่โทรหาเขาก่อน แค่รอเขาโทรหาตนแทน
“เหม่ออะไรเนี่ย?”
“แม่คะ เด็กวัยรุ่นคบกันถึงจะอยู่ด้วยกันทุกวัน หนูกับเขาโตๆ กันแล้ว” ไป๋ซู่เย่ไม่กล้าบอกไปตามที่ใจคิด กลับย้อนมาปลอบใจฮูหยินไป๋แทน “เขามาที่นี่ก็เพราะงาน งานยุ่ง เดี๋ยวอีกสองวันก็ดีขึ้นค่ะ”
“งานยุ่งก็ทิ้งแฟนสาวไม่สนใจใยดีแบบนี้เหรอ? ถ้าอนาคตลูกอยู่กับเขา เกิดหลังแต่งงานมัวแต่ทำงานหัวหมุน ไม่สนใจลูกจะทำยังไง? แม่ว่าทางที่ดีลูกอยู่ในประเทศเรานี่แหละ ไม่ต้องไปเมืองเยียวอะไรนั่นแล้ว” หลังเธอรอดพ้นจากเรื่องเสี่ยงตายหลายครั้ง ตอนนี้ฮูหยินไป๋เลยเหมือนนกตื่นธนู กลัวลูกสาวตัวเองจะได้รับการปฏิบัติที่ไม่ดีเข้า
“แม่…เย่เซียวไม่ใช่คนแบบนั้น”
“ไม่ใช่คนแบบนั้น?” ฮูหยินไป๋แค่นเสียงที “มาที่นี่ตั้งหลายวันแล้วไม่เห็นเขาจะมาเยี่ยมหาผู้ใหญ่อย่างเราเลย แม่ว่า เขาไม่มีความจริงใจเลยต่างหาก”
“แม่อคติต่อเขา” ไป๋ซู่เย่ปวดใจที่เย่เซียวถูกเข้าใจผิดเช่นนี้จึงแก้ตัวแทน “เขาอยากมาตั้งนานแล้วแต่หนูไม่อนุญาตให้เขามา ช่วงนี้เขาจะทำการผ่าตัดครั้งใหญ่ รอผ่านการผ่าตัดไปก่อนมาแน่”
เดิมทีฮูหยินไป๋ค่อนข้างอคติต่อเขา พอได้ยินเธอว่าเช่นนั้นสีหน้าถึงได้ผ่อนคลายลงไม่น้อย ก่อนจะเปลี่ยนไปแสดงความเป็นห่วง “ผ่าตัดอะไร? สาหัสมั้ย? มีอันตรายต่อชีวิตหรือเปล่า?”
ไป๋ซู่เย่มักเตือนตัวเองเสมอว่าอย่าไปกังวลเรื่องผ่าตัดของเขาในเมื่อฝีมือของถังซ่งนั้นเชื่อถือได้ แต่พอได้ยินฮูหยินไป๋ถามขึ้นเช่นนี้ก็รู้สึกไม่มั่นใจปนกังวลอย่างมาก
ถังซ่งเองก็ใช่ว่าจะมีความมั่นใจเต็มร้อยกับการผ่าตัดในครั้งนี้ หากผิดพลาดเพียงนิดอาจจะ…
เธอไม่กล้าคิดต่อไป
“ซู่ซู่?”
ฮูหยินไป๋เห็นสีหน้าเธอดูไม่ดีเลยแตะตัวเธอทีหนึ่ง“เห็นสีหน้าลูกแย่ขนาดนี้ หรือว่าจะเป็นการผ่าตัดที่สาหัสมากงั้นเหรอ?”
…………………………