บทที่ 6 บทที่ 117 ภายใต้โชคชะตา

สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด

ติ๋ง

 

 

เลือดไหลตามแขนหยดลงไปบนพื้น ชีสมองนีนี่ มองมีดเปื้อนเลือดในมือของเธอ ทันใดนั้นก็สูดลมหายใจเข้า “จุยเฟิง! นายออกมา ฉันรู้ว่านายอยู่ที่นี่ ใช่ไหม นายอยู่ที่นี่!”

 

 

ชีสคำรามขึ้นในห้องเก็บของที่มืดสลัว

 

 

พรึบ! แสงไฟในห้องถูกเปิดขึ้น ชีสหันไปมองก็เห็นใบหน้าที่เขาคุ้นเคย…แต่ก็กลายเป็นแปลกหน้า

 

 

สิ่งนี้ทำให้ในหัวของชีสปรากฏภาพวันแรกที่รู้จักจุยเฟิงขึ้นมา

 

 

จุยเฟิงที่ดูเหนื่อยล้านอนลงบนโคลน ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล…บาดแผลที่แตกต่างกัน มาจากการโจมตีที่แตกต่างกัน ดูเหมือนเขาจะถูกใครทำร้ายมาและก็ไม่ได้มีเพียงคนเดียวที่ทำร้ายเขา

 

 

สายตาสิ้นหวังยากจะอธิบายออกมาเป็นคำพูด

 

 

มาตอนนี้จะอธิบายสายตาที่บ้าคลั่งนี้ได้อย่างไร

 

 

ชีสไม่รู้ รู้เพียงเลือดที่อยู่บนแขนกำลังกระจายออก หยดเลือดที่หยดลงบนพื้นก็กระจายอีก เขาก็ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของเขากับจุยเฟิงยังเรียกได้ว่ามิตรภาพหรือเปล่า…แต่มันก็กำลังแตกกระจาย

 

 

ชีสได้สัมผัสกับความขมขื่นอีกชนิดตั้งแต่ได้รับข่าวการเสียชีวิตของซูโย่ว เขาเจ็บปวดมาก “จุยเฟิง นายเกลียดฉันถึงขั้นไหนกันแน่”

 

 

จุยเฟิงยิ้มเยาะ กระโดดลงมาจากกล่องไม้ เขาโบกมือ เวลานี้นีนี่เดินก้มหน้าไปอยู่ข้างกายของจุยเฟิงอย่างเชื่อฟัง…เหมือนกับเป็นคนรับใช้

 

 

 “ฉันเกลียดนาย” จุยเฟิงส่ายหน้า “ความจริงแล้วฉันไม่ได้เกลียดนายสักเท่าไหร่ ฉันเพียงแค่มองดูนายแล้วขัดตา…คิดอยากให้นายลองรับรู้ถึงความรู้สึกที่ถูกคนที่ตนเองไว้ใจที่สุดหักหลังก็เท่านั้น…โธ่ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ตอนนี้ฉันอารมณ์ดีจริงๆ”

 

 

ชีสกลับส่ายหน้า “มีประโยชน์อะไรงั้นเหรอ นายรู้อยู่แล้วว่าถ้านีนี่ไม่ถูกควบคุมแล้วคงไม่ทำเรื่องแบบนี้…นายดูเธอในตอนนี้สิ เธอยังเป็นนีนี่งั้นเหรอ”

 

 

จุยเฟิงสีหน้าหนักอึ้ง จากนั้นก็ยิ้มเยาะอีกครั้ง “อ๋อ ฟังจากความหมายของนาย ดูเหมือนถ้านีนี่ยังเป็นปกติจะไม่ทำร้ายนายงั้นใช่ไหม ชีส นายลืมไปแล้วหรือว่านายเป็นหนูส่วนเธอเป็นแมว พวกนายเป็นศัตรูกันมาตั้งแต่เกิด นายแน่ใจได้จริงๆ เหรอ…คำพูดที่นีนี่พูดเมื่อกี้ ไม่ใช่ความคิดในใจของเธองั้นเหรอ”

 

 

แสงสีแดงในดวงตาของจุยเฟิงวาบขึ้น ยิ้มเยาะและพูดว่า “นายสามารถรับประกันได้จริงๆ น่ะเหรอ นายเชื่ออย่างไม่มีเงื่อนไขได้จริงหรือ ฉันคิดว่าไม่จริงหรอก”

 

 

ชีส…ชีสมองไปทางนีนี่แวบหนึ่งโดยไม่รู้ตัว ริมฝีปากสั่นเล็กน้อย บางคำพูดที่กำลังจะพูดออกมาถูกหยุดเอาไว้

 

 

ฉันเชื่อ…ฉันเชื่อ…ฉันเชื่อ…ฉันควรเชื่อ…ฉันควรที่จะเชื่อ…ฉัน…

 

 

ทำไมถึงพูดไม่ออก

 

 

 “ฮ่าๆๆๆ” จุยเฟิงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งและพูดว่า “ดูสิ ดูท่าทางจอมปลอมของนายในตอนนี้สิ นายดูซะสิ นายลังเลแล้ว ลังเล…นาย ไม่เชื่อ”

 

 

 “ไม่ใช่แบบนั้น…” ชีสหลบตาจุยเฟิง ก้มหน้าลง “เพราะนาย…นายมีอิทธิพลต่อฉัน เพราะนาย”

 

 

 “แบบนี้ถึงถูกต้อง” จุยเฟิงพูด “แบบนี้ถูกแล้ว…นายเอาความผิดทั้งหมดมาลงไว้ที่ฉันน่ะถูกแล้ว ใช่ไหม เป็นเพราะฉัน ถ้าไม่ใช่เพราะฉันทุกอย่างนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น ใช่ไหม ถ้าไม่เป็นเพราะฉัน นีนี่คงไม่ทำร้ายนายใช่ไหม ไม่ต้องอับอายเพราะความลังเลของตนเอง…เพราะทุกอย่างนี้เป็นความผิดของฉัน ชีส ถูกแล้ว ถูกแล้ว มันถูกแล้ว หลังจากโทษฉันแล้ว นายยังเป็นนาย…นายที่เป็นคนดีและกล้าหาญ…แบบนี้ถูกแล้ว”

 

 

 “นาย…นายคิดจะทำอะไร” ชีสเงยหน้าขึ้นมาและกำกำปั้น

 

 

ทันใดนั้นจุยเฟิงก็พูดว่า “ยังจำการแข่งขันในครั้งนั้นของพวกเราได้ไหม ชีส พวกเรามาแข่งกันอีกครั้งไหม”

 

 

 “อะไร”

 

 

 “ตามฉันมา ที่นี่ไม่เหมาะที่จะแข่ง” จุยเฟิงยิ้ม “ฉันมีที่ที่ดีกว่านี้”

 

 

 

 

 

 

สนามกีฬาดอกบัวบานเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของเมือง หนึ่งเพราะเป็นการก่อสร้างของรัฐบาล ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นเพราะมันสูงมาก

 

 

สูงมาก สูงมาก แน่นอนว่าความสูงแบบนี้แทบไม่มีประโยชน์ใดๆ เลย เป็นเพียงโครงสร้างทางศิลปะเท่านั้น หลังคารูปวงกลมล้อมรอบตัวสนามกีฬาทั้งหมด

 

 

แต่ไม่อาจไม่ยอมรับว่ามุมมองของสถานที่แห่งนี้นั้นกว้างใหญ่สุดประมาณ ถ้าพูดว่าที่นั่งคนดูหลังสุดเรียกว่า ‘ยอดดอย’ แล้ว เช่นนั้นเหนือหลังคาขึ้นไปคงสามารถใช้เพียงคำว่า ‘จุดสูงสุด’ มาอธิบาย

 

 

สำหรับคนธรรมดาแล้วถึงมุมมองของสถานที่แห่งนี้จะกว้างขวางสักเท่าไหร่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร…แต่สำหรับเจ้าของสมาคมผู้มีอำนาจลึบลับต่างๆ นานาแล้วนี่ถึงเป็นที่นั่งวีไอพี

 

 

ภายใต้สายลมยามค่ำคืน ลั่วชิวที่มีคุณหนูสาวใช้อยู่เป็นเพื่อนกำลังพิจารณาดูด้านล่าง สิ่งก่อสร้างอันงดงามด้านล่าง รอบด้านของสนามกีฬา คนด้านล่าง ปีศาจด้านล่าง

 

 

มองดูเงาร่างที่กำลังคลานขึ้นผนัง มองดูคนดูบนอัฒจรรย์ที่เริ่มเชียร์ มองดูนักร้องคนแรกออกมา

 

 

หน้าเวทีและหลังเวที

 

 

ใช่แล้ว ยังมีมังกรแท้จริงแห่งแผ่นดินเทพที่กำลังวิ่งจนหายใจหอบอีกด้วย

 

 

 “โยวเย่ เธอว่าทำไมผู้คนต้องมารวมตัวอยู่ด้วยกันด้วย” ลั่วชิวถอนสายตากลับมาหันมองโยวเย่และถามเบาๆ

 

 

คำถามนี้ลั่วชิวเคยถามแล้วครั้งหนึ่ง…เพียงแต่ในครั้งนั้นถามอยู่ในใจ ส่วนในตอนนี้ถามออกมา

 

 

 “เป็นเพราะโชคชะตา” โยวเย่ตอบเบาๆ

 

 

ลั่วชิวยิ้ม “นี่เป็นคำตอบของเธอเหรอ ทำไมถึงตอบอย่างไม่มั่นใจเลยล่ะ”

 

 

คุณหนูสาวใช้ขมวดคิ้วพูดว่า “โยวเย่ไม่รู้ นายท่านชี้แนะด้วย”

 

 

ลั่วชิวส่ายหน้าและพูดว่า “ที่จริงแล้วคำตอบของเธอก็ดี เพราะว่านั่นเป็นความเข้าใจของเธอ…สำหรับฉันฉันคิดจะตามหาคำตอบเอง”

 

 

โยวเย่พยักหน้า ลมยามค่ำคืนพัดผมเธอจนปลิวยุ่ง เธอปัดผม จากนั้นสายตาของเธอก็มองไปยังทิศทางหนึ่งของสนามกีฬาและพูดขึ้นอย่างฉับพลันว่า “ดูแล้วไท่อินจื่อคงไม่ได้ทำความสะอาด”

 

 

 “ไม่ใช่รู้อยู่ก่อนแล้วเหรอ” ลั่วชิวยิ้ม “ดังนั้นถึงให้เขาทำความสะอาด…อืม นักร้องคนนั้นฉันเคยซื้ออัลบั้มของเขามาก่อน ครั้งนี้ดี วางตัวหงก้วนไว้สุดท้าย…ถ้าไม่สนใจรอบข้างแล้วล่ะก็ พวกเรามาตั้งใจฟังกันเถอะ”

 

 

ลั่วชิวเริ่มสนใจฟังขึ้นมา

 

 

หลังจากนักร้องคนแรกลงไปคนที่สองก็ขึ้นมา

 

 

 

 

แปลก แปลกจริงๆ…

 

 

ตาเฒ่าหัวระเบิดคนนี้หามอเตอร์ไซค์ฮาร์ลีย์มาจากไหนกัน

 

 

เฉิงอี้หรานเกิดความรู้สึกเช่นนี้ขึ้นมาตอนที่เครื่องยนต์ของมอเตอร์ไซค์ชนิดนี้ส่งเสียงคำราม…ตาเฒ่าหัวระเบิดคนนี้คงจะไม่ซ่อนมอเตอร์ไซค์ฮาร์ลีย์เอาไว้ที่ใต้สะพานก่อนแล้วหรอกใช่ไหม

 

 

ไม่อย่างนั้นแค่ฉีกผ้าสีแดงขาวฟ้าแล้วจะพูดว่า ‘ขึ้นรถ ไม่มีเวลาอธิบาย’ ได้ยังไง…

 

 

ตอนนี้

 

 

มอเตอร์ไซค์ฮาร์ลีย์เอียงตัวไปด้านข้าง จากนั้นก็เหวี่ยงตัวเป็นครึ่งวงกลม ไถลตัวไปไกลสิบกว่าเมตรอย่างเท่จึงจอดลง เพียงคิดก็รู้แล้วว่ามันเร็วมากแค่ไหน

 

 

เฉิงอี้หรานกระโดดลงจากรถมาด้วยหัวใจที่เต้นแรง เดิมทีเขาเปียกชื้นไปทั้งตัว แต่ตอนนี้ลมแรงที่พัดระหว่างทางทำให้เสื้อผ้าหมาดหมดแล้ว

 

 

ร่างกายเริ่มหนาวสั่น สีหน้าของเฉิงอี้หรานขาวซีด…แต่ตาเฒ่าหัวระเบิดกลับดูเหมือนไม่เป็นอะไรเลย

 

 

 “เจ็ดนาที ชิๆ ทักษะของฉันไม่เลวเลยจริงๆ ฮ่าๆ” ตาเฒ่าหัวระเบิดชมตัวเองและหัวเราะขึ้นมา จากนั้นก็มองที่เฉิงอี้หรานและพูดว่า “เจ้าหนุ่ม ถึงแล้ว นายยังไม่เข้าไปอีกเหรอ”

 

 

เฉิงอี้หรานชะงักและเอ่ยว่า “ท่านผู้เฒ่า รู้ได้ยังไงว่าผมจะเข้าไป”

 

 

 “ไม่งั้นนายจะมาที่นี่ทำไม ตากลมเหนือเล่นงั้นเหรอ” ตาเฒ่าหัวระเบิดกลอกตาใส่เขา “อย่าลังเล คิดจะทำอะไรก็ทำเถอะ ตอนนี้นายดูไม่เลว อย่างน้อยก็ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นเยอะ”

 

 

เฉิงอี้หรานส่ายหน้ายิ้มอย่างขมขื่น หายใจเข้าลึกๆ และพูดว่า “ท่านผู้เฒ่า ผมยังไม่รู้จักชื่อคุณเลย”

 

 

 “ฉันเหรอ” ตาเฒ่าหัวระเบิดครุ่นคิดครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็พูดว่า “ฉันชื่อว่าจอห์น เลนนอน ไท่อิน”

 

 

 “หา”

 

 

 “จอห์น เลนนอน ไท่อิน!” ตาเฒ่าหัวระเบิดสบถ “ได้ยินชัดไหม”

 

 

จอห์น เลนนอนนั้นเฉิงอี้หรานเคยได้ยิน…แต่ไท่อินตอนสุดท้ายนี่คืออะไร…ตาเฒ่าคนนี้เหมือนกับรูปลักษณ์ของเขาไม่ผิด ดูเป็นตัวของตัวเองและแปลกประหลาดมาก

 

 

เฉิงอี้หรานหัวเราะและพูดว่า “ผมเรียกคุณว่าท่านผู้เฒ่าเหมือนเดิมดีกว่า…ท่านผู้เฒ่า ขอบคุณมาก ผมพูดจริงๆ นะ”

 

 

 “เอาล่ะ อย่าพูดจาไร้สาระอีกเลย” ตาเฒ่าหัวระเบิดสตาร์ทเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ฮาร์ลีย์อีกครั้ง

 

 

เฉิงอี้หรานเห็นแล้วก็รีบพยักหน้าให้ตาเฒ่าหัวระเบิด จากนั้นก็หายใจเข้าลึกๆ และหันหน้าวิ่งเข้าไปทางเข้าสนามกีฬา

 

 

 “รอเดี๋ยว”

 

 

คิดไม่ถึงว่าตาเฒ่าจะตะโกนเรียกอย่างกะทันหัน

 

 

เฉิงอี้หรานชะงัก เมื่อหันกลับมาก็พบว่าตาเฒ่าหัวระเบิดหันไปหยิบกล่องยาวกล่องหนึ่งขึ้นมาจากด้านข้างของมอเตอร์ไซค์ฮาร์ลีย์ กล่องใบนี้อยู่บนมอเตอร์ไซค์ตลอด เฉิงอี้หรานแปลกใจมาจนสุดทางว่ามอเตอร์ไซค์เท่ขนาดนี้ทำไมต้องเอาของน่าเกลียดขึ้นมาด้วย

 

 

เพียงแต่ตาเฒ่าคนนี้มีนิสัยแปลกประหลาดมากดังนั้นเขาจึงไม่ได้ถามออกไป

 

 

ตาเฒ่าเหวี่ยงมือโยนกล่องใบนั้นมาที่เฉิงอี้หราน…แรงจริงๆ

 

 

 “อันนี้ให้นายยืมใช้ ใช้เสร็จแล้วอย่าลืมเอามาคืนฉันนะ…ฉันจะไปหานาย”

 

 

บรืน

 

 

กล่องใบนั้นตกลงตรงหน้าของเฉิงอี้หราน ส่วนตาเฒ่าคนนั้นก็ขี่รถสุดเท่ไปทางทิศใต้แล้ว

 

 

เฉิงอี้หรานย่อตัวลงไปเปิดกล่องและก็พบว่าเป็นเบสที่สายหย่อนเล็กน้อย

 

 

 “ที่แท้…ท่านผู้เฒ่าก็ไม่ได้โยนทิ้ง” เฉิงอี้หรานหยิบเบสขึ้นมา ใบหน้าเผยรอยยิ้มซาบซึ้ง

 

 

แต่เขาก็มองไม่เห็นไฟท้ายของมอเตอร์ไซค์ฮาร์ลีย์คันนั้นแล้ว

 

 

 

 

หม่าโฮ่วเต๋อขมวดคิ้ว…รถดับเพลิงที่ออกจากศูนย์จะมีระบบระบุตำแหน่ง

 

 

เขาได้คำตอบจากสถานีดับเพลิงว่ารถดับเพลิงหยุดอยู่ห่างจากสนามกีฬาออกไปหนึ่งกิโลเมตรและก็ไม่ขยับอีก…อีกทั้งพนักงานดับเพลิงที่ออกมาก็ไร้การตอบกลับ

 

 

ดังนั้นเซอร์หม่าจึงขับรถออกมาดูและก็สามารถพบเห็นรถดับเพลิงที่จอดอยู่ข้างทางได้อย่างง่ายดาย

 

 

แต่หลังจากที่เขาเข้าใกล้แล้วก็พบว่า พนักงานดับเพลิงบนรถล้วนแต่นอนนิ่งไม่ไหวติงเหมือนสลบไปแล้ว

 

 

 “นี่มัน…”

 

 

ตอนนี้เองคำพูดของเริ่นจื่อหลิงก็ดังขึ้นมาข้างหูของเซอร์หม่าอีกครั้ง คนเยอะขนาดนี้ ถ้าเกิดระเบิดขึ้นล่ะจะทำยังไง เรียกดับเพลิงหรือยัง

 

 

 “คงจะไม่…” หม่าโฮ่วเต๋อมองไปยังสนามกีฬาที่ห่างออกไปหนึ่งกิโลเมตรและแตกตื่นขึ้นมา