Ch.2 – ยุบองค์กรมืด
Translator : Reheikichi / Author
หลังจากทำลายหัวใจของจอมมาร
ฉันได้รับคำสั่งกลับไป จึงใช้เวลาเจ็ดวันเพื่อกลับไปสำนักงานใหญ่ขององค์กร
ประเทศเทราเลีย
นั่นคือประเทศที่ฉันอยู่
ที่เมืองหลวงไมคูร่า เมื่อฉันใกล้ปราสาทก็เห็นทหารสองคนถือหอกคอยป้องกันประตู ทันทีที่พวกเรายืนยันใบหน้าของฉันแล้วก็ยกหอกลงทันที
ขณะที่พยายามผ่านประตูไปอย่างเงียบๆ ยามคนหนึ่งก็กระซิบมาด้วยเสียงอันเบาบาง
[ ไปประชุมชั่วคราวที่ชั้นสามของกองอัศวิน ท่านคริสกำลังรอเจ้าอยู่ ]
ฉันตอบกลับไปด้วยเสียงที่ซ่อนเร้น [ เข้าใจแล้ว ]
ฉันไม่สนใจหรอก นี่คงเพราะองค์กรเปลี่ยนสถานที่อยู่ตลอด แต่ส่วนใหญ่แล้วก็จะอยูในปราสาท แม้จะมีบางครั้งบางครั้วที่เปลี่ยนจากในปราสาทบ้าง
ฉันเปิดประตูห้องประชุมชั่วคราวชั้นสามของปราสาท
ในห้องนั้นมีหญิงสาวที่มีผมยาวสีชมพูอ่อนนั่งอยู่บนเก้าอี้คนเดียว
[ ขอบคุณมากที่มา ]
เธอมองมาที่ฉันด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยน
[ ไม่ได้เจอกันนานนะคริส ]
[ ค่ะ พักนี้ได้คุยกันแค่จากเครื่องสื่อสารเท่านั้นเอง ฉันจะได้ออกมาจากสำนักงานใหญ่นี่มันก็เป็นครั้งแรกในรอบเดือนด้วยล่ะนะ ]
คริสดูค่อนข้างเหนื่อย
เธอเป็นเจ้านายของฉัน จึงนานมากแล้วที่ไม่ได้คุยกันสองต่อสองแบบนี้ เราสนิทกันมาเกือบสิบปีแล้ว
ดูเธอจะผ่อนคลายมากกว่าปกติ จากนั้นฉันก็นั่งลงเก้าอี้ตรงข้ามกับคริส
[ แล้วจอมมารเป็นยังไงบ้าง? ]
[ ทุกอย่างเป็นไปตามแผน อีกไม่นานข้อมูลก็น่าจะมีข้อมูลเผยจนดังไปทั่วโลกแล้วว่า [ ผู้กล้าสามารถปราบจอมมารลงได้ ] …. และเขาคือคนที่จริงๆ แล้วปราบจอมมารลงได้ ]
[ ใครจะเป็นคนปราบนั้นไม่สำคัญขอเพียงแค่ปราบลงได้ ในคราวนี้องค์กรไม่ใช่คนที่ปราบจอมมาร เพราะเราเพียงแค่ทำตามคำแนะนำที่ให้ไว้เมื่อ 10 ปีก่อนเท่านั้น ]
[ ….ก็ตามนั้นล่ะนะ องค์กรถึงต้องศึกษาคำแนะนำที่ให้ไว้นั้นซะระเอียด ]
คริสพูดพลางถอนหายใจ
[ ในที่สุดกว่า 10 ปีจากการพยายามอย่างหนักมันก็สิ้นสุดลงสักที …. ทั้งความจริงที่องค์กรคอยช่วยเหลือผู้กล้า จนฉันอยากจะไปอยู่ฝั่งด้านหน้าแทนเองเลยล่ะ ]
[ เรื่องนั้นเห็นด้วย ]
ท้ายที่สุดก็ไม่ได้ไปอยู่แนวหน้าล่ะนะ
ฉันแบมือขวา ยังจำความรู้สึกอุ่นที่บดขยี้หัวใจของจอมมารได้อยู่นิดหน่อย จากนั้นคริสก็มองมาทางนี้ด้วยสีหน้าจริงจัง
[ ปีนี้นายก็อายุสิบห้าแล้วสินะ ]
[ อา ]
เปิดยืนยันออกไป คริสก็ค่อยๆ เปิดปากพูดอย่างช้าๆ
[ อย่างที่รู้กัน องค์กรของเรามีหน้าที่คือหน่วยทหารพิเศษที่คอยสนับสนุนผู้กล้าจากเงามืดในสงครามครั้งที่สี่ ]
มันเป็นคำพูดสั้นๆ
ฉันตระหนักดีถึงบทบาทขององค์กร
ไม่เห็นจำเป็นต้องมาอธิบายเอาตอนนี้ไม่ใช่เหรอ หรือจะมีความตั้งใจอื่นอยู่?
คงจะเป็นอย่างนั้น
เมื่อนึกถึงองค์กรที่ฉันสังกัดอยู่
――องค์กรทหารพิเศษ
ถ้าพูดถึงแล้วสมาชิกขององค์กรก็รู้เรื่องสงครามผู้กล้ากันหมด
ในวันหนึ่งจอมมารก็ปรากฏตัวขึ้น
ทันทีที่จอมมารปรากฏตัว เหล่าปีศาจก็จะเริ่มกระจายตัวไปเพื่อทำลายล้างมนุษยชาติ มอนสเตอร์ดุร้าย “ก่อกำเนิดมอนสเตอร์มากมาย เมื่อเวลาผ่านไป มอนสเตอร์บางตัวก็จะมีรูปร่างเหมือนมนุษย์และมีความคิด สัตว์ประหลาดพวกนั้นจะถูกเรียกว่า “ปีศาจชั้นสูง” และคอยทำหน้าที่เป็นหัวหน้า
จอมมารและกองทัพอันแข็งแกร่งทำให้เป็นการยากที่จะป้องกันการโจมตี
และในตอนนั้นเอง บุคคลที่เกิดมาเพื่อปราบจอมมารก็จะปรากฏตัวขึ้น
ทันใดที่ผู้กล้าเกิดในหมู่มนุษย์ เช่นเดียวกันจอมมารก็จะปรากฏตัวขึ้นเช่นกัน แต่ละฝ่ายต่างเกิดมาพร้อมๆ กัน กล่าวก็คือหากจอมมารปรากฏตัวขึ้น แปลว่าเร็วๆ นี้ผู้กล้าจะเกิดขึ้นมา
ผู้กล้าและจอมมาร สงครามระหว่างทั้งสองฝ่ายถูกเรียกว่าสงครามผู้กล้า ซึ่งเกิดขึ้นซ้ำสามครั้งแล้วในทศวรรษที่ผ่านมา
จนถึงตอนนี้ชัยชนะทั้งหมดตกเป็นของผู้กล้า –ซึ่งก็คือชัยชนะของมนุษยชาติ
[ จอมมารคือผู้ที่ตั้งใจจะก่อหายนะกลับกันผู้กล้าก็คือความหวัง ถ้อยคำนี้มันก่อเกิดมาเมื่อสามศตวรรษที่แล้ว…. สงครามครั้งนี้ ผู้กล้ารุ่นที่สี่ได้เกิดมาในประเทศเทราเลียซึ่งเป็นที่ตั้งขององค์กร ]
คริสพูดออกมา
[ ประเทศที่ผู้กล้ากำเนิดขึ้นมาจะกลายเป็นผู้นำประเทศอื่นๆ ในทุกด้าน หากผู้กล้าปราบจอมมารได้ประเทศบ้านเกิดก็จะถือเป็นประเทศที่เป็นเกียรติที่สร้างผู้กล้าขึ้นมา แม้สงครามจะจบลงแล้วเงินทองก็จะไหลมาเทมาไม่หยุด สิ่งนี้ถูกเรียกว่า “ปาฏิหาริย์แห่งผู้กล้า” ]
เพียงแค่มีผู้กล้าอยู่ เงินทองก็ไหลไปรวมกันที่นั่นแล้วหากเขาเปิดร้านค้าและหากเขาเป็นอัศวินก็จะถูกซื้อตัวไป ด้วยเหตุนั้นทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นไปด้วย
[ แต่ตรงกันข้าม ――ถ้าเกิดว่าผู้กล้าไม่สามารถปราบจอมมารลงได้ความรับผิดชอบก็จะตกกับประเทศที่ให้กำเนิดผู้กล้าขึ้นมา ความหนักหนานั้นทำให้ประเทศเทราเลียกังวล เพราะกรณีที่เลวร้ายที่สุดว่าผู้กล้าจะปราบจอมมารลงไม่ได้ ด้วยเหตุนี้องค์กรของเราจึงได้ถือกำเนิดขึ้น ]
ตามที่คริสบอก
หน่วยทหารลับพิเศษเป็นองค์กรที่เกิดจากความกลัวว่าผู้กล้าจะทำพลาด
[ ในช่วงสงครามสามครั้งที่ผ่านมา เราเองก็ไม่รู้ว่าผู้กล้าคนอื่นคอยช่วยเหลือผู้กล้ายังไงบ้าง แต่ทางเทลาเลียตัดสินใจคอยช่วยเหลือจากผู้กล้าทั้ง “ด้านหน้า” และ “ด้านหลัง” หน่วยทหารลับพิเศษอยู่ทาง “ด้านหลัง” ส่วนฝั่ง “ด้านหน้า” ได้ให้กองทัพและอัศวินจากประเทศต่างๆ คอยรับหน้าที่นี้ ]
กองทัพและอัศวินคือ “ด้านหน้า” ที่คอยต่อสู้กับผู้กล้าอยู่ข้างๆ ในระหว่างสงคราม กลับกันฝั่งทาง “ด้านหลัง” อย่างเราไม่ว่าจะเรื่องผิดกฏหมาย ใช้เครื่องมือ ลอบสังหาร ทรมาน…. ทุกอย่างที่ฉันทำล้วนมีแต่งานสกปรก ตามธรรมดาที่จะไม่ให้ใครรู้ว่ามีองค์กรอยู่ เป็นองค์กรใน “เงามืด” อย่างแท้จริง
ฉันพยักหน้าให้คำอธิบายของคริส
[ ยังไงก็ตาม องค์กรไม่ได้เพียงแค่สนับสนุนผู้กล้า แต่คอยเป็นตัวแทนฮีโร่・・・…. ไม่คุ้นบางเหรอว่าเป็นใคร? ]
[ …ที่ว่าหมายถึงฉันสินะ ]
คริสคงจะบอกว่าฉันทำได้เยี่ยมมาก แต่ไม่หรอก
ในช่วงสงคราม งานหนักๆ ส่วนใหญ่เป็นของสำนักงานใหญ่ เทียบกับฉันที่ทำงานภาคสนามเพียงอย่างเดียวแล้วมันหมูกว่ามาก เพราะเธอทั้งต้องเฝ้าสังเกตและหาข้อมูล ทั้งที่เธอรู้ข้อมูลขนาดนั้นยังถึงขนาดต้องให้ฉันไปหา
ก็เห็นได้ชัดเลยว่าคริสไม่ได้มาขอข้อมูลจากฉันหรอก แต่อยากรู้ว่าฉันเป็นยังไงมากกว่า
และเธอยังพูดอย่างไร้เดียงสาเพื่อไม่ให้ฉันรู้สึกแย่ด้วย
[ เมื่อสี่ปีก่อน สงครามได้โหมหนักขึ้น ได้เกิดมีเรื่องอันไม่คาดคิดเกิดขึ้นซึ่งก็คือผู้กล้าไม่สามารถปราบปีศาจชั้นสูงได้ ปีศาจตนนั้นจัดการมนุษย์ที่จะบุกเข้ามายังปราสาทจอมมารจนราบคาบ…. แม้ผู้กล้าเองก็ปราบปีศาจชั้นสูงตนนั้นไม่ได้ ]
ผู้กล้าที่ต่อสู้กับเผ่าปีศาจตนนั้น
สู้ สู้ และสู้ แม้กระทั่งอัศวินจากทั่วโลกมาช่วยสู้แล้วก็ยังพ่ายแพ้
ดังนั้น――
[ ――เพราะช่วยไม่ได้ ทางองค์กรจึงต้องเป็นผู้ฆ่าปีศาจตนนั้น ]
หน่วยทหารลับที่ฉันสังกัดอยู่คัดแต่บุคลากรที่มีความสามารถจากเด็กกำพร้าในประเทศและฝึกสอนดั่งสปาร์ตันจนกลายเป็นทหารชั้นยอด ซึ่งเป็นเรื่องยากมากสำหรับเด็กๆ ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่จะทนรับการฝึกอันหนักหน่วงได้ จึงมีหลายคนเสียชีวิตระหว่างการฝึก
ทำให้ทหารที่องค์กรชุบเลี้ยงขึ้นมาบางคนแข็งแกร่งกว่าผู้กล้า
ไม่สิ… ต้องบอกว่ามีฝีมือมากกว่า เพราะผู้ที่องค์กรฝึกมาจะไม่ต่อสู้อย่างซึ่งหน้า ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะเป็นปีศาจหรือไม่ก็จะใช้วิธีต่อสู้ที่ได้ประสิทธิ์ภาพสูงสุดเพื่อเป้าหมายเท่านั้น บางทีพวกปีศาจชั้นสูงคงไม่คาดคิดก็ได้ว่าจะเจอการต่อสู้อันโหดร้ายขององค์กร ด้วยเหตุนี้องค์กรจึงสามารถฆ่าปีศาจระดับสูงที่ผู้กล้าไม่สามารถปราบลงได้ตัวนั้นได้อย่างง่ายดาย
[ แม้ว่าใครจะพูดยังไงก็ตาม แต่จะบอกตัวเองฆ่าจอมมารได้ก็ไม่เห็นเป็นอะไรไม่ใช่เหรอ ]
[ ฉันกลัวว่าจะได้งานเพิ่มมานะสิ ถ้าพูดไปเหมือนที่คริสบอกน่ะ ]
[ เอ๋ โทษฉันเหรอ? ]
[ แล้วใครกันล่ะที่บอกว่า [ ความรับผิดชอบที่ปราบจอมมารลงได้คนที่ปราบจะต้องรับ ] นั้นนะ มันใคร? ]
[ อ่ะ …. รู้สึกเหมือนเคยพูดแบบนั้นรึเปล่าน้า ]
คริสจับหน้าผาก ดูเหมือนว่าเธอจะลืมไปแล้วสินะ
ในตอนนั้นพวกเราร้อนใจมาก ผู้กล้ายังคงท้าทายปีศาจชั้นสูงตัวนั้นอย่างไม่ยอมแพ้ เมื่อเห็นผู้กล้าที่แพ้ซ้ำแล้วซ้ำแล้วจนย่ำแย่ก็เกิดสงสัย [ แบบนี้เขาจะไม่ตายเอาเรอะ? ] ฉันกลัวมาก ว่าสุดท้ายแล้วมนุษย์จะเอาชนะจอมมารได้มั้ยนะ ในตอนนั้นองค์กรวุ่นกันไปหมดและความทรงจำช่วยนั้นของฉันก็คลุมเครือด้วยสิ
[ กลับเข้าเรื่องเถอะ …. ยังไงก็ตามมันก็จบลงแล้ว องค์กรได้ต่อสู้กับปีศาจชั้นสูงมากมายและแอบกำจัดศัตรูที่แข็งแกร่งของผู้กล้า…. ถึงอย่างนั้นองค์กรเราก็ยังคงต้องซ่อนตัวให้ยกความสำเร็จให้ผู้กล้าคงรู้สินะ ]
[ อา เรื่องนั้นรู้อยู่แล้ว ]
ครืสยืนยัน
แต่อีกด้านหนึ่งของเธอกลับแสดงสีหน้ามืดมน
[ ดูเหมือนจะไม่สบอารมณ์สินะ ]
[ ใช่ มันก็ต้องแน่สิ เราเป็นองค์กรทหารลับที่ปราบจอมมารลงได้นะ ――พูดก็คือเราทุกคนมีส่วนร่วมในการทำสงครามมากกว่าอัศวินหรือผู้กล้าที่อยู่ฝั่งด้านหน้าซะอีก แม้เราจะหลบซ่อนและไม่ได้ออกมาภายใต้แสงสว่างก็เถอะ …. นี่ แล้วยังรู้บ้างมั้ย? พวกเราถูกรู้จักกันว่าเป็นทหารประเภทที่ได้รับงานน่าเบื่อมาบ้างล่ะ งานขยะบ้างล่ะ? ก่อนหน้านี้ตอนที่ฉันแวะไปที่โรงอาหารของปราสาทในรอบ 10 วันน่ะนะ จู่ๆ เจ้าทหารฝึกหัดที่ไม่เคยเข้าสนามรบเลยด้วยซ้ำก็มาดุด่าว่า [ หัดทำงานบ้างเซ่ ] เห็นแล้วมันน่าซัดมั้ยล่ะยะ? ]
[ ก็เห็นใจอยู่หรอกนะ…. แต่ถ้าพูดมากไปเดี๋ยวก็เสี่ยงโดนลงโทษจากทางเบื้องบนนะสิ ]
[ จ้า จ้า! แต่ยังไงที่นี่ก็มีแค่ฉันกับนายนะ! เพราะถ้าออกไปพูดข้างนอก พรุ่งนี้คงมีข่าวว่าฉันเกิดอุบัติเหตุตายไปแล้วล่ะ ]
แน่นอน คงตายเพราะโดนนักฆ่ามีชื่อฆ่าตายแหง
นั่นล่ะคือองค์กรเรา สมาชิกองค์กรทุกคนเองก็รู้เรื่องนี้ดี คนฉลาดเขาไม่บ้าจะเป็นศัตรูกับองค์กรหรอก
[ ก็พอเข้าใจสถานการณ์ล่ะนะ …. ทั้งทหาร ผู้กล้าและองค์กรต่างก็มีบทบาทสำคัญกันทั้งนั้น …. หากสิ่งที่เราทำถูกเปิดเผยสู่ภายนอก ความสำเร็จของผู้กล้าก็จะตกเป็นของผู้กล้า…. เข้าใจนะ แต่เชื่อยากแฮะ ไม่สิ ใครจะเชื่อเรื่องที่พวกเราบอกล่ะ ]
[ แต่เพราะอย่างนี้เงินเดือนเราถึงได้เยอะกว่าทหารปกติ แต่เราก็ไม่ได้อะไรนอกจากนั้นเลย ]
[ ก็นั่นสิน้า… ]
อันดับแรก กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือฉันคือคนที่ฆ่าจอมมารลงได้ แต่นั่นก็เป็นความสำเร็จของผู้กล้าไปแล้ว
ปีศาจชั้นสูงลูกน้องของจอมมารและปีศาจตนอื่น
ไม่พูดเกินจริงไปหรอกว่าผู้กล้าเอาชนะจอมมารลงได้ ดังนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะปราบเผ่าปีศาจที่เป็นลูกน้องของจอมมารไม่ได้ ดังนั้นสงครามที่ผ่านมานี้ ผู้กล้าจึงไม่เคยต่อสู้กับปีศาจชั้นสูงเลยล่ะนะ เพราะหากมีใครรู้เข้าว่ามีบุคคลที่สามนอกจากผู้กล้าปราบปีศาจระดับสูงได้ ปาฏิหาริย์ของผู้กล้าอาจจะไม่เกิดขึ้นมาก็ได้
[ แล้วทำไมต้องมาถามเรื่องพูดเรื่องพวกนี้ด้วยล่ะ? ]
เมื่อฉันถามออกไป คริสก็ตอบออกมาด้วยความระมัดระวัง
[ เมื่อไม่นานนี้มีคำสั่งจะปิดองค์กรแล้วนะ ]
คริสบอกเพียงสั้นๆ ฉันไม่ได้พูดอะไรตอบกลับไป
อย่างนี้นี่เอง ถึงได้มาชวนคุยเรื่องเป้าหมายขององค์กร
เพราะเป้าหมายสำเร็จแล้วการปิดองค์กรก็คงเป็นไปได้ กองทหารลับพิเศาเป็นองค์กรที่ชวยสนับสนุนผู้กล้าจากด้านหลัง ตอนนี้จอมมารก็ถูกปราบไปแล้วจึงไม่มีความสำคัญอีกแล้ว ต่างจากหารหรืออัศวินที่คอยรักษาความปลอดภัยของประเทศ ตอนนี้เราไม่มีองค์กรให้กลับไปอีกแล้ว
[ เพราะองค์กรจะปิดลง เลยอยากได้ยินว่านายจะทำยังไงต่อไป ]
ด้วยคำถามนั้น ทำให้ฉันดวงตากลมโต
[ ดูเหมือนจะให้สิทธิ์ที่ฉันจะเลือกอนาคตอยู่สินะ ]
[ ก็ตามนั้น ]
ก็ยังไม่ได้คิดอะไรเป็นพิเศษ ฉันชะงักไปชั่วครู่
หน่วยทหารลับพิเศษ ไม่มีองค์กรให้ฉันต้องลับไปอีกแล้ว งานที่ฉันทำมาส่วนใหญ่ก็มีแต่งานสกปรก หากกล่าวตามคำพูดของคนนอกล่ะก็ฉันก็คืออาชญากร แต่นั่นได้รับอนุญาตให้ได้เฉพาะในช่วงสงครามเท่านั้น จะให้กึ่งอาชญากรอย่างฉันได้รับอิสระในการเลือกอนาคตเหรอ ไม่คาดคิดเลยนะ
[ ….ทั้งที่ฉันเตรียมรับกรณีเลวร้ายที่สุดที่จะโดนฆ่าปิดปากแล้วแท้ๆ นะ ]
[ ไม่ทำอย่างนั้นหรอก อย่างที่นายพูดก่อนหน้านี้นั้นแหละ ประเทศนี้ละเลยเราไม่ได้ ค่อนข้างให้ความสำคัญกับเราก็ว่าได้ ดังนั้นในการปิดองค์กร สมาชิกขององค์กรจะได้รับความช่วยเหลือมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หากมีความฝันที่อยากจะทำก็จะได้รับการตอบรับ … นั่นคือคำสั่งจากเบื้องบน แน่นอนว่ามีข้อจำกัดอยู่บ้างกับบางคำและการประกาศตัวว่าเป็นสมาชิกขององค์กรต่อประเทศอื่นก็ถือเป็นเรื่องต้องห้ามด้วย ]
นี่เป็นการแก้ไขให้ลงรอยและไม่บาดหมางกันสินะ คริสเป็นคนน่าเชื่อถือแม้จะมีเรื่องลับหลังแต่ฉันก็เชื่อว่าคงไม่ใช่เรื่องไม่ดีอะไรหรอก
แต่ยังไงก็ตาม ประเทศนี้ไม่เคยเคลื่อนไหวเพราะความใจดีหรอก
[ เพื่อไม่ให้สุนัขที่เลี้ยงไว้แวงมากัดทีหลังจึงต้องให้สินบนงั้นสินะ? ]
[ ก็นะ โดยเฉพาะนายที่เป็นคนพิเศษขององค์กรคงต้องเตรียมชามข้าว(หมา)ที่ใหญ่เป็นพิเศษให้ด้วย ]
ฉันขบคิดคำพูดของคริส
[ ต้องการอะไรเหรอ…. มันไม่ใช่เรื่องที่จะคิดออกได้ง่ายๆ เลยนะ ]
[ …. ไม่มีอะไรเลยเหรอ? จะอะไรก็ได้นะ? อย่างอยากได้ที่นาแถบชนบท อยากเป็นอัศวินหรืออยากมีส่วนร่วมกับคนในฝั่ง “ด้านหน้า” …. บางคนก็บอกว่าอยากนอนขี้เกียจไปวันๆ โดยไม่ต้องทำงานอะไรเลยก็มี คนอย่างนั้นประเทศเองก็คอยช่วยเหลือเต็มที่เช่นกัน ]
คริสดูใจลอยไปไหนต่อไหนแล้ว ขณะที่ฉันขบคิด
ในหมู่คนในองค์กรฉันเองก็อายุน้อยที่สุด จำนวนวันที่อาศัยอยู่ในองค์กรก็น้อยแต่องค์กรกลับให้ค่าฉันมากกว่าคนอื่นๆ นี่สิ ฉันคิดพลางมองไปที่คริส
ในที่สุดก็มีคำพูดหนึ่งออกมาจากปาก เพราะเลิกคิดให้มากความแล้ว
[ แล้วคริสล่ะ จะทำยังไงต่อ? ]
[ ฉันคิดว่า… จะทำงานแบบนี้ที่คล้ายๆ กันต่อไป อาจจะต่างจากสำนักงานใหญ่ขององค์กรอยู่บ้าง แต่ฉันก็เป็นฝ่ายข้อมูลมามากแล้วล่ะนะ ]
[ ถ้างั้นฉัน―― ]
[ ไม่ได้ ]
คริสพูดด้วยท่าทางจริงจัง
[ นายยังอายุแค่สิบห้า ตอนที่ถูกองค์กรคัดตัวมาก็อายุแค่เพียงห้าขวบเท่านั้นเอง จนถึงตอนนี้ก็เอาแต่ใช้ชีวิตต่อสู้เพื่อประเทศมาเสมอ… มันเพียงพอแล้วล่ะ ออกจากองค์กรที่ใช้นายเป็นเครื่องมือฆ่าคนนี้ไปเถอะ ค้นหาสิ่งที่นายต้องการที่แท้จริง ]
[ สิ่งที่ฉันต้องการ… ]
ขณะที่ฉันกำลังพึมพำ คริสก็หันมามองด้วยท่าทางจริงจังอีกครั้ง
[ ตลอดสิบปีที่นายใช้ชีวิตเพื่อประเทศนี้ ดังนั้นครั้งนี้ใช้ชีวิตเพื่อตัวเองบ้างเถอะนะ…. ถ้าถึงคราวนั้น ถ้านายยังยืนยันว่าอยากทำงานนี้ต่อไปล่ะก็ฉันจะขอยอมรับ… แต่ตอนนี้ยังไม่ยอมรับหรอกนะ ]
คริสไม่รับฟัง
สิ่งที่ฉันกำลังจะพูดเมื่อกี้ก็คือ [ สิ่งที่คริสอยากทำก็คือสิ่งที่ฉันอยากทำ ] แต่เธอส่ายหน้า
[ ไม่ต้องคิดมากหรอก ตลอดสิบปีที่ผ่านมานายก็พบเจอผู้คนมามากมายไม่ใช่เหรอ? อยากทำสิ่งนี้ อยากทำงานนั้น ไม่เคยคิดแบบนั้นบ้างเหรอ? ]
ฉันส่ายหัวให้กับคำพูดของคริส
ต้องใช้ชีวิตอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ยากจนถึงห้าขวบ บางวันก็ไม่มีอาหารให้กินแม้แต่มื้อเดียว ในตอนนั้นก็ได้รับเลือกจากองค์กรใช้เวลาฝึกฝน อย่างหนักทุกวัน
หลังจากฝึกก็ได้รับมอบหมายให้ทำงานต่างๆ เป็นทหารชั่วคราว ซึ่งหากเอาชีวิตรอดมาได้ก็จะได้รับความเชื่อถือและได้รับเงินตอบแทน แต่ว่ายังไงพวกเราก็คือคนฝั่ง “ด้านหลัง” ความล้มเหลวของภารกิจนำไปสู่ความตาย
หากทำภารกิจล้มเหลวก็เท่ากับจบสิ้น ดังนั้นตั้งแต่มาอยู่ในองค์กรไม่มีวันไหนเลยที่ไม่เครียด
แม้ว่าจะพบเจอคนมามากมาย
และมีความรู้สึกว่า [ อยากมีชีวิตแบบนี้ ] กับคนไหนๆ เลย
แต่เมื่อคิดดูในตอนที่ฉันเดินทางมาถึงเมืองหลวงไมคูร่า เมื่อผ่านไปเห็นสินค้าบนเกวียนเล็กๆ และเห็นสาวขายดอกไม้ขณะที่เดินผ่านกำแพงเมือง สิ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวก็คือ――――
[ …อยากออกเดินทางและใช้ชีวิตแสนธรรมดา ]
ฉันพูดออกไป รู้สึกเหมือนมันใช่
อารมณ์มากมายที่ทับซ้อนกันข้างในอก ใช่ นี่คือสิ่งที่ฉันคิดถึงอยู่
เพราะฉันไม่รู้ว่า [ ปกติ ] เป็นยังไง และไม่เคยเจอ [ คนปกติ ]
บางครั้งตอนที่ทำภารกิจก็มักจะคิดว่า [ ฉันทำภารกิจนี้ไปเพื่ออะไร ] ขณะที่คอยสนับสนุนผู้กล้า แล้วทำไมผู้กล้าต้องพยายามขนาดนั้นเพื่อปราบจอมมาร? ผู้คนจะได้อะไรหากจอมมารถูกปราบลงได้กันล่ะ?
คำตอบก็คือชีวิตประจำวันแสนธรรมดา
มันคือสิ่งที่ฉันไม่เคยรู้มาจนถึงตอนนี้
คนมากมายต้องตายในสงคราม เพื่อนร่วมงานขององค์กรนับไม่ถ้นที่ตายไป ――อะไรคือสิ่งที่พวกเขาต้องการปกป้อง?
[ ความสงบสุข ] มันคือสิ่งที่คริสและผู้กล้าเดิมพันชีวิตเพื่อปกป้อง
[ ฉันอยากจะใช้ชีวิตแบบปกติ อยู่อย่างอิสระ ขอแบบนี้…. จะได้มั้ยนะ? ]
มันอาจจะเป็นความปรารถนาที่น่าเบื่อ
แต่คริสไม่ได้หัวเราะและตอบกลับมาด้วยความจริงใจ
[ ไม่เลย คำขอนี้ได้เลยไม่มีปัญหา ]
คริสลุกขึ้นและพูดออกมา
[ ขอบคุณมากนะที่บอกความตั้งใจที่แท้จริงออกมา รอก่อนนะ เราจะช่วยทำตามคำขอของนายให้เดี๋ยวนี้เลย ]
[ อา รบกวนด้วย ]