Ch.3 – ฮิลเลอร์สาว พรรคพวกของผู้กล้า

Translator : Reheikichi / Author

นี่ก็ผ่านไปห้านาทีแล้วที่คริสออกจากห้องประชุม

แต่ผมไม่เห็นว่าจะต้องรีบร้อนไปจัดการเรื่องให้เลยนี่นา ผมขึ้นยืนขึ้นและออกจากห้องประชุมไป

 

ผมรู้จักกับคริสและสนิทกันมานาน

หากเธอพูดว่า [ รอสักเดี๋ยวนะ ] ก็แปลว่าประมาณ 15-30 นาที

 

ประมาณสิบนาทีเดินเล่นในปราสาทคงได้

 

ผมตัดสินใจฆ่าเวลา ขณะที่กำลังจะขึ้นบันไดเพื่อไปยังสวนที่มีแดดส่อง

 

ในระหว่างทาง――

 

[ ในที่สุดก็ได้เจอแล้วค่ะ ]

 

ผมโดนเรียกจากข้างหลังจึงมองย้อนกลับ

 

และเห็นเด็กสาวผมทองที่เป็นลอนคลื่นอยู่

 

[ … ท่านโซเฟีย? ]

 

ชื่อของเด็กสาวในชุดสีขาวคนนั้นคือ ――โซเฟีย เทลาเลีย

 

ซึ่งเป็นเจ้าหญิงของประเทศเทลาเลีย ซึ่งเข้าไปต่อสู้กับจอมมารพร้อมกับผู้กล้า หนึ่งในสมาชิกในปาร์ตี้ของผู้กล้า

 

อีกนัยหนึ่งก็คือพรรคพวกของผู้กล้าและเพื่อนของผู้กล้า

 

ในสงครามผู้กล้าครั้งที่สี่ ในปาร์ตี้ของผู้กล้ามีสมาชิกทั้งหมดสี่คน นอกเหนือจากผู้กล้าแล้วก็เป็นฮิลเลอร์ จอมเวท นักรบ เธอคือฮิลเลอร์ที่ถูกคัดมาที่ว่ามา

 

เป็นเด็กสาวที่สวยและความสามารถพร้อม ฐานะทางสังคมก็สูงส่งเพราะเป็นถึงเจ้าหญิง มีบทบาทในการช่วยปราบจอมมารอย่างมหาศาล จึงกลายเป็นสาวที่หนุ่มหลายๆ คนหมายปอง ทำไมคนแบบนั้นถึงได้มาทักผมกันนะ

 

[ ฉันตามหาคุณมาตลอดเลยค่ะ ]

 

เธอพูดราวกับกำลังสารภาพรัก

 

[ คุณคือคนที่ปราบจอมมารใช่มั้ยคะ? ]

 

ต่อคำถามนั้น ผมตอบว่าไม่เข้าใจความหมาย

 

[ …หมายถึงอะไรกันครับ? ]

 

[ ในตอนนั้นจอมมารก็แปลกไปอย่างเห็นได้ชัด จู่ๆ จอมมารก็กุมหน้าอกอย่างทุกข์ทรมาน…. ในระหว่างนั้นเราถึงปราบจอมมารลงได้ นั่นน่ะฝีมือคุณใช่มั้ยคะ? ]

 

[ ทำไมถึงคิดว่าอย่างนั้นล่ะ? ]

 

[ จนถึงตอนนี้ก็ตลอดเลยค่ะ …. ทั้งคุณยังเคยช่วยชีวิตฉันมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ]

 

ด้วยคำพูดที่ออกมาจากปากโซเฟีย ผมได้แต่ถอนหายใจ

 

――เธอรู้ตัวจริงของผม

 

ไม่พูดเกินจริงเลยว่านี่เป็นความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของผม

 

หลังจากทำภารกิจที่แสนเครียด คนรอบตัวผมต่างก็ [ ใครมันจะไปทำได้ฟะ ] พลางบ่นถึงงานที่ทำ … ดื่มเหล้าเมามายกัน

 

เธอจ้องมองเขม็งมาที่ผมด้วยดวงตากลมโต ขณะเดียวกับราวกับโดนอ่านได้จนหมดและเพราะผลจากเรื่องที่แล้วๆ มาจึงโกหกออกไปได้อย่างไม่เต็มปาก ไม่นึกเลยว่าสายตาของเธอจะเฉียบขาดขนาดนี้ ราวกับว่า [ ฉันเป็นอัจริยะที่รู้ทุกอย่างค่ะ ] ว่าไปนั่น

 

หลังอธิบายสถานการณ์ ก็มีเสียงเรียกของคริสตะโกนเรียกผมให้กลับไปดังขึ้นในใจ

 

รับมือกับคนประเภทเจ้าหญิงไม่ไหวเลย

 

สุดท้ายผมก็ถูกบังคับให้เปิดเผยตัวเองกับโซเฟีย

 

[ ขอถามไว้เผื่อได้มั้ยคะ หากฉันจะบอกเพื่อนๆ … ]

 

[ อย่าบอกนะ ….เพราะไม่อยากให้คนอื่นๆ คิดว่าผมเป็นผู้มีพระคุณหรอก ]

 

ฉันตอบโซเฟีย เธอทำท่าทางคอตก

 

[ …เรื่องของจอมมารน่ะช่างเถอะค่ะ มีอีกเรื่องหนึ่ง ]

 

โซเฟียพูดต่อ

 

[ ค คุณน่ะจากนี้…. จะทำยังไงต่อไปเหรอคะ? ]

 

เป้าหมายที่ถามแบบนี้คืออะไรกันนะ?

 

ในตอนนั้นผมไม่สามารถตอบออกไปได้ โซเฟียก็พูดออกมาเสริมอีกว่า

 

[ ตอนนี้จอมมารก็ถูกปราบไปแล้ว ดังนั้นคุณน่าจะว่าง …. ถ้าเป็นไปได้จะมา …. ป เป็นอัศวินของฉันไหมคะ!? ]

 

ผมพยายามเข้าใจเจตนาของคำถาม

 

แต่ก็ยังมีเรื่องคาใจอยู่

 

[ หากเป็นอัศวินที่คอยปกป้องท่านโซเฟีย ท่านเองก็มีอัศวินประจำราชวงศ์อยู่แล้วนี่ครับ ]

 

[ มะ ไม่ใช่อย่างนั้น… ฉะ ฉันอยากให้คุณมาเป็นอัศวินส่วนตัวของฉันค่ะ เพราะว่า…. คุณเป็นคนคือที่ฉันวางใจได้ที่สุด… ]

 

อัศวินส่วนตัว เป็นเหมือนผู้คุ้มกันที่อยู่ข้างกายของบุคคลที่ปกป้องเสมอ

 

เข้าใจล่ะ

 

เธออยากได้ผมมาคุ้มครองสินะ

 

แต่คำตอบคือ――

 

[ ――อย่าล้อเล่นกันสิครับ คุณคือหนึ่งในสมาชิกของปาร์ตี้ผู้กล้าที่ปราบจอมมารลงได้เพื่อระลึกถึงชัยชนะจะต้องออกเดินทางไปทั่วโลก อย่างผมคงไม่สามารติดตามท่านไปได้หรอกครับ และคนที่ท่านไว้ใจที่สุดควรจะเป็นผู้กล้าที่ต่อสู้เคียงข้างท่านมาเสมอมากกว่านะครับ ]

 

ขณะที่ผมตอบออกไป ผมก็เห็นร่างของคริสอยู่ข้างหลังโซเฟีย

 

ดูเหมือนเธอจะรอให้เราคุยกันจบไม่ไหวเลยมาหาเองเลยสินะ

 

[ ถ้างั้นผมขอตัวเท่านี้ ]

 

ผมตัดจบการสนทนาและเดินไปหาคริส

 

[ ดะ เดี๋ยวก่อนค่ะ! ฉันน่ะ―― ]

 

เป็นเจ้าหญิงที่ตื้อจังน้า หากปฏิเสธจะเป็นการดีกว่าแต่มันค่อนข้างเย็นชาไปหน่อย

 

ที่จริงเมื่อก่อนผมก็เคยโดนถามแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว แต่ก็ปัดทิ้งด้วยวิธีนี้ทุกครั้ง

 

โซเฟียยืนนิ่งและไม่ตามผมไป

 

[ จับมือกัน ]

 

คริสพูดพลางมาโอบแขนของผม

 

และเดินกลับไปที่ชั้นสามของห้องประชุม

 

[ มาในจังหวะที่แย่จังนะ น่าจะให้เวลาอีกสักหน่อย ]

 

[ อืม ก็นะ บางที แต่ถ้านายไปสนิทกับฮิลเลอร์คนนั้นสุดท้ายก็จะไปเชื่อมโยงกับผู้กล้าที่เกี่ยวโยงกับโซเฟีย… ดังนั้นก็ไม่ได้ถือว่าแย่หรอกนะ ที่ฉันไปคั้นกลางระหว่างทั้งสองคน แล้วผู้กล้าก็ดูเหมือนจะชอบเธอด้วยสิ ]

 

[ อา ขณะเดียวกันผมก็อาจจะถูกฆ่าปิดปากสินะ ผมไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับข่าวลือรักๆ หรอก … โซเฟียก็แค่อยากได้อัศวินล่ะนะ แต่ถ้ามาขอผมที่เป็นเพศตรงข้ามอาจจะเกิดมีคนเข้าใจผิดได้ ]

 

[ เข้าใจผิดสินะ… นายนี่ยังไม่รู้ตัวสักทีนะ น่า ก็เป็นคนที่เติบโตขึ้นมาในองค์กรนี่นะ ]

 

คริสพูดเรื่องที่ผมไม่เข้าใจออกมา

 

เราเข้าไปในห้องประชุมและล็อคประตูอย่างแน่นอน ผมนั่งลงบนเก้าอี้เดิมที่เคยนั่งอีกครั้ง

 

[ ฉันคิดมาหลายอย่างแล้วล่ะ แต่คิดว่าจะดีกว่าหากนายได้ไปโรงเรียน นี่เองก็เป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตประจำวันสุดธรรมดา ]

 

[ โรงเรียน? ]

 

[ คนอายุประมาณ 15 มักจะไปโรงเรียนกันเป็นเรื่องปกติ เด็กบางคนก็ทุ่มเทช่วยพ่อแม่ทำงานไม่ก็หาเลี้ยงตัวเองด้วยการทำงานเป็นนักผจญภัยกับกิลด์นักผจญภัย …. แต่เหตุผลที่ฉันแนะนำโรงเรียนมากที่สุดก็เพราะมีเด็กรุ่นราวคราวเดียวกับนายอยู่เยอะ หากต้องการใช้ชีวิตแบบธรมดา นายเองก็ต้องอยู่ภายใต้คนรอบข้างที่ใช้ชีวิตแบบธรรมดาใช่มั้ยล่ะ? ]

 

[ น่า ก็จริงนะ หากมีตัวอย่างหลายคนอาจจะช่วยได้มากก็ได้ ]

 

[ นี่ฉันไม่ได้ให้ไปทำภารกิจแทรกซึมหรอกนะ… ]

 

ขณะที่คริสถอนหายใจ เธอก็วางเอกสารลงบนโต๊ะข้างหน้า

 

[ นี่อะไรน่ะ? ]

 

[ แบบฟอร์มสมัครเข้าเรียนที่โรงเรียนราชวัง คงรู้จักใช่มั้ย? โรงเรียที่ใหญ่ที่สุดในประเทศของเมืองหลวงไมคูร่าและเป็นสถานที่ที่พวกผู้กล้าไปเรียนกัน …. เพราะผลของ “ปาฏิหาริย์แห่งผู้กล้า” ทำให้โรงเรียนนั้นได้รับความนิยมน่าดูเลยด้วย ]

 

[ โรงเรียนที่มีชื่อเสียง ได้ยินว่านักเรียนทุกคนต่างก็เป็นหัวกระทิ… ดังนั้นการจะผ่านเข้าไปเรียนได้ก็ยากพอควร ]

 

[ หากด้วยความสามารถของนาย การสอบเข้าก็ง่ายนิดเดียวแม้จะมัดมือมัดเท้าเลยมั้ง ดังนั้นไม่ต้องกังวล ปีนี้โรงเรียนแบ่งออกเป็นสองแผนก ]

 

จากนั้นคริสก็พลางส่งเอกสารให้

 

เป็นกระดาษสามแผ่นที่มีรายละเอียดของสองแผนก

 

[ แผนกผู้กล้าและแผนกสามัญ…? ]

 

[ ใช่ เพราะเป็นหลักสูตรที่ผู้กล้าเคยเรียนจึงกลายเป็นแผนกผู้กล้าจึงมีการแข็งขันกันมาก ตรงกันข้ามอีกแผนกสามารถเข้าเรียนได้อย่างสบายๆ หลังจบแล้วก็สามารถใช้ชีวิตประจำวันธรรมดาแสนสงบสุขได้ด้วย แผนกผู้กล้าพึ่งมีมาเมื่อปีที่แล้วนี่เองและต้องสอบเข้าเท่านั้น  แต่กลับกันหลักสูตรสามัญไม่มีการคัดหรอกนะ ดังนั้นทุกคนสามารถเข้าเรียนได้เลยใครที่สอบตกก็มาเข้าแผนกสามัญได้ ]

 

[ เหมือนเป็นจานรองรับนักเรียนที่สอบตกแผนกผู้กล้าสินะ ]

 

[ แต่เดิมก็จะสอนเรื่องทักษะการใช้ชีวิต ・ในโลกที่สงบสุขแบบนี้ทักษะการใช้ชีวิตจะมีประโยชน์ซะกว่านะ … แต่ความเป็นจริงก็อย่างที่นายบอกนั้นแหละ มันมีช่องว่างความสะดวกสบายระหว่างหลักสูตรผู้กล้ากับหลักสูตรสามัญอยู่ คิดว่าคงมีความรู้สึกเหมือนการถูกเลือกปฏิบัติในโรงเรียน ]

 

คริสพูดด้วยท่าทางเสียใจ

 

[ ว่าไง สนใจแบบไหนล่ะ? ]

 

[ หลักสูตรสามัญ ]

 

[ ก็คิดอยู่แล้ว ]

 

เพราะผมชอบคำว่า [ สามัญ(ปกติ) ] ถึงได้เลือกไปโรงเรียนเพื่อค้นหาความปกติที่อยู่ในแผนกสามัญนี่ล่ะ

 

และจากที่ได้ยินจากคริส หลักสูตรผู้กล้าจะสอนเรื่องทักษะการต่อสู้ แต่เพราะผมได้เรียนจากองค์กรมาแล้ว ดังนั้นจะเรียนอะไรไปมากกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์

 

[ ถ้าจะไปเรียนที่แผนกสามัญก็ไม่จำเป็นต้องสอบหรอก หลังจากนี้ก็ตรงไปที่ห้องโถงแล้วส่งกระดาษแผ่นนี้ได้เลยไม่ต้องกังวล แล้วนี่ก็เอกสารของนาย ]

 

คริสมอบเอกสารอีกแผ่นมาให้

 

เป็นใบอาชีพปลอมและชื่อคนในครอบครัวปลอมๆ เขียนเอาไว้

 

เขียนไว้ว่า จนถึงตอนนี้ผมต้องช่วยพ่อแม่ทำงานแต่จู่ๆ พ่อแม่ก็เสียชีวิตก่อนจะสั่งเสียไว้ จึงต้องไปโรงเรียนอย่างช่วยไม่ได้ เซ็ทติ้งไว้แบบนี้ล่ะ

 

[ เอาล่ะ ที่เหลือก็เรื่องชื่อสินะ ]

 

[ ชื่อ? …. อ่ะ จะว่าไปตอนนี้ผมถูกเรียกด้วยตัวเลขมาตลอดนี่นะ ]

 

คอลัมน์ชื่อว่างเปล่าอยู่ แต่อย่างอื่นถูกอธิบายไว้อย่างละเอียดแล้ว

 

คริสพลางทำหน้าเศร้าและพูดออกมาว่า

 

[ อย่าพูดเหมือนเป็นเรื่องของคนอื่นสิ ….  ทุกครั้งที่ฉันต้องเรียกนายนี่มันรู้สึกผิดมากเลยนะ … รู้มั้ยการเรียกคนอื่นด้วยตัวเลขหรืออักษรเขารู้สึกยังไง ]

 

[ เพราะเป็นคนที่ไม่รู้จะตายเมื่อไหร่ แบบนี้มันง่ายกว่าล่ะนะ ]

 

[ เห็นคนอื่นเป็นแค่เครื่องมือ… วิธีการขององค์กรน่ะต่ำทรามที่สุด ]

 

ชื่อของคนในองค์กรมักจะถูกเรียกแทนด้วยตัวเลข อักษร ยกเว้นแต่เพียงตำแหน่งผู้บริหาร

 

คริสมีตำแหน่งเป็นผู้บริหาร เธอเป็นคนมีพรสรรค์ต่างกับทหารชั้นดาษดื่นอย่างผม ถูกคัดตัวมาโดยเฉพาะไม่เหมือนผมที่มาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ซึ่งค่าใช้จ่ายนั้นสูงมากแทบไม่ติดกับทหารอย่างเรา  ทั้งยังมีฝีมือในการบริหารงานอีกด้วย

 

แต่ผมกลับไม่รู้สึกว่าเธอขี้โกงอะไรหรอก

 

ผมทำงานใช้หัวบนโต๊ะเหมือนคริสไม่ได้ แม้คนสนิทในองค์กรถูกฆ่าตายก็ไปไหนไม่ได้แบบนั้นน่ะ

 

เลือกคนให้ถูกกับงาน

 

[ แต่มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ ที่ผมจะมาตั้งชื่อให้ตัวเองแบบนี้นะ? ]

 

[ มันก็จริงนะ ถ้าอย่างนั้นให้ฉันคิดให้มั้ยล่ะ… จอห์นเป็นยังไงบ้าง? ]

 

[ ชื่อแบบนั้นขอทีเถอะ ]

 

[ ถ้างั้นไมค์ จริงด้วยสิ … ไมเคิล? ]

 

[ …. ไม่เอา มันแปลกพิกล แล้วชื่อน่ะถ้าเรียกแล้วไม่คุ้นหูมันก็ไม่มีประโยชน์หรอก ]

 

[ อืม มันก็จริงนะ… ]

 

คริสทำท่าหนักใจและพลางพูดชื่อที่นึกออกมาอีก

 

[ ทรูเอท(สองแปด)  ชื่อนี้ล่ะ ]

 

[ … ไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนเลย ]

 

[ ไม่เป็นไร ดีแล้วล่ะ ]

 

คริสบ่นพลางเขียนชื่อ “ทรูเอท” ที่ช่องคอลัมน์ชื่อในเอกสาร

 

[ เท่านี้เรื่องเอกสารก็เรียบร้อยแล้ว ที่เหลือก็เตรียมตัวไปเรียน ]

 

[ อา ]

 

เรายืนขึ้นและออกจากห้อง

 

ไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดี แต่มีบรรยากาศแปลกประหลาด

 

――ใช่

 

องค์กรกำลังจะปิด

 

ดังนั้นนี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้พบกันในฐานะคนในองค์กรเดียวกัน

 

นอกเหนือจากองค์กรที่กำลังจะปิด ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่ได้คุยกับคริสอีกเลย

 

เพราะตราบใดที่มีนโยบายที่ต้องออกแบบชีวิตประจำวัน หากมีเรื่องผิดพลาดอะไร คริสก็คงจะมาหาอีก

 

และยังมีเรื่องคาใจอยู่

 

อย่างที่เธอพูดไป ผมก็พูดไม่ได้หรอกว่าองค์กรที่อยู่เป็นองค์กรที่ดีแต่ว่า――

 

[ คริส ]

 

ผมเดินไปข้างๆ หัวหน้าที่สนิทกันมานาน

 

[ ขอบคุณที่ช่วยดูแลเด็กเหลือขอที่ไม่รู้จักโลกคนนี้ ที่ผมยังอยู่รอดปลอดภัยได้จนถึงทุกวันนี้ต้องขอคุณคริสจริงๆ ]

 

ผมแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจออกไป

 

คริสก็หันหน้ามาพลางยักไหล่

 

[ อย่ามาพูดแบบนี้สิ ทั้งที่ฉันอุตส่าห์อดทนได้มาตั้งนาน เดี๋ยวฉันก็… ฮึก ]

 

ชั่วพริบตานั้นก็ได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ ของเธอ

 

เธอหันหน้ามามองผมด้วยดวงตาสีแดงที่บวมเบ่ง

 

[ นายก็เหมือนน้องชายของฉันนะ ถ้าเกิด… มีอะไรเกิดขึ้นฉันก็จะอยู่ข้างๆ เสมอ ]

 

ผมตอบ [ โอ้ ] กลับไป

 

นับจากนี้ ――ชีวิตของผมในฐานะทรูเอท(สองแปด)กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว