กลลวง นายสุดเท่ห์ ชาร์ลี เวธ บทที่ 1133
พ่อลูกจากตระกูลวีเวอร์ต่างก็นั่งฝันถึงการไปพลิกชีวิตกลับไป ทันใดนั้นก็มีลมหนาวกรรโชกมาจากบนยอดเขากอลมิน ทำให้เขาทั้งคู่ต่างก็ตัวสั่นเพราะความหนาว
จอร์แดนถอนหายใจพร้อมกล่าว “ตรงนี้ลมแรงมากจริง ๆ ลมกรรโชกทำให้พ่อหนาวจนสั่นไปทั้งตัวแล้ว เราไปกันดีกว่า”
“ได้ครับ” เจฟฟรีย์ก็รู้สึกได้ถึงความหนาวจนเสียดแทงกระดูก เขารีบหดคอลงขณะที่ลุกขึ้นปัดหิมะออกจากก้น จากนั้นก็เอื้อมมือมาช่วยพ่อของตนให้ลุกขึ้น
ความจริงช่วงเวลาที่พ่อลูกทั้งสองได้อยู่ด้วยกันบนเขากอลมินนั้น ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็พัฒนาไปอย่างมาก
ในอดีต แม้ว่าจอร์แดนจะรักลูกชายคนโตมากกว่าคนอื่น แต่เขาก็เป็นคนเห็นแก่ตัวและเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะปฏิบัติตัวดีกับคนอื่น
ดังนั้นเขาก็ปฏิบัติกับเจฟฟรีย์ไม่ต่างกันแม้ว่ามันจะดีกว่าที่เขาปฏิบัติต่อเลียมก็ตาม
ส่วนเจฟฟรีย์ก็เคยเป็นแค่ทายาทคนรวยที่ชีวิตนี้ไม่มีความสามารถอะไร ทุก ๆ วันก็คิดได้แต่เรื่องหาทางเล่นสนุกกับพวกผู้หญิง และก็ไม่ได้สนิทสนมอะไรกับพ่อมากนัก
สาเหตุก็เพราะ ว่าเจฟฟรีย์มักได้ยินแม่บ่นให้ฟังเรื่องพ่อของเขาเสมอ ว่าพ่อไม่สนใจครอบครัวแล้วก็เที่ยวเลี้ยงผู้หญิงไว้นอกบ้านไปทั่ว เขาได้ยินแม่พูดเรื่องนี้มาตั้งแต่เป็นเด็ก
ทำให้เจฟฟรีย์รู้สึกไม่พอใจกับพ่อเขามาตั้งแต่เล็ก
แต่เมื่อย้ายมาอยู่ที่เขากอลมิน ทั้งพ่อลูกก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำงานร่วมกันเพื่อเอาชีวิตรอด ทำให้พวกเขาลดอคติส่วนตัวที่มีแล้วก็พึ่งพิงกันและกันมากขึ้น
ทุกคนรู้ว่าเราไม่สามารถเสียอีกคนไปได้ในสภาพแวดล้อมเลวร้ายแบบนี้
ถ้าหากว่าเสียอีกคนไป จากนั้นคนที่เหลืออยู่ก็จะไม่เหลือแรงกายแรงใจและความสามารถในการเอาชีวิตรอดลำพังได้เลย
หลังจากย้ายไปที่ตีนเขา พ่อลูกทั้งสองก็เดินตามแสงสว่างที่เห็นอยู่ไกล ๆ ไป
จุดที่มีแสงสว่างนั้นคือหมู่บ้านที่พวกเขาอาศัยอยู่ มีระยะทางห่างจากตีนเขาประมาณสามหรือสี่ไมล์
ขณะที่พ่อลูกกำลังเดินอยู่นั้น เจฟฟรีย์ก็บอก “พ่อ คุณแลงก์นายพรานจากหมู่บ้านน่ะ ล่ากวางตัวเมียจากภูเขาได้เมื่อวานนี้ ผมได้ยินมาว่าเนื้อกวางตัวเมียอร่อยมาก พ่ออยากแวะบ้านเขาหน่อยไหม? เราอาจจะลองขอเนื้อกวางเขาได้สักกิโลนึง!”
“แกอยากไปขอเนื้อเขาเหรอ?” จอร์แดนถอนหายใจ “ไอ้คนนามสกุลแลงก์นั่นมันขี้เหนียวจะตายไป ตอนที่เขาล่าหมูป่าหนักมากกว่า 250 กิโลกรัม คราวก่อน พ่อถามเขาว่าขอไส้หมูได้ไหม เขาก็ยังไม่ยอมให้เลย เขาอยากให้ฉันจ่ายเงินซื้อ”
ขณะที่พูดจอร์แดนก็ด่าต่อ “รู้ไหมว่าไอ้นายพรานแลงก์นั่นชื่อเต็มคืออะไร?”
เจฟฟรีย์ส่ายหน้า “ผมจะไปรู้ชื่อเขาได้ยังไง? ผมรู้แค่เขานามสกุลแลงก์”
จอร์แดนถ่มน้ำลายลงพื้นอย่างหงุดหงิด “เขาเป็นแค่นายพรานที่เขียนคำยาก ๆ ไม่เป็นด้วยซ้ำ แต่เขาชื่อวิลเลียมสัน แลงก์ พ่อเคยถามเขาว่ารู้ไหมว่าเขียนชื่อตัวเองยังไง รู้ไหมเขาว่ายังไง?”
เจฟฟรีย์ถามอย่างสงสัย “เขาว่ายังไง?”
จอร์แดนส่งเสียงฮึก่อนตอบ “เขาบอกว่าเขารู้ว่าจะเขียนนามสกุลยังไง แลงก์ แต่เขาไม่รู้ว่าจะเขียนชื่อวิลเลียมสันยังไง”
เจฟฟรีย์ยิ้มก่อนบอก “พ่อน่าจะเสนอว่าจะสอนเขาเขียนชื่อนะ แล้วเราก็เอาเนื้อมาสักสองชั่งเป็นค่าเรียน”
จอร์แดนตอบ “แกยังคิดจะไปขอเนื้อเขาอยู่อีก? ถึงแกไปขอเขาแค่หนังหมู หมอนั่นก็คงไม่มีทางให้หรอก”
เจฟฟรีย์ตอบ “ตอนนี้มันก็หนาวมาก แล้วติดลบหลายสิบองศา ผมว่าเขาอาจจะแล่เนื้อกวางแล้วก็ได้ เนื้อน่าจะแขวนไว้ข้างนอกให้แข็งอยู่ ตอนที่เราเดินกลับอาจจะปีนข้ามรั้วเขาไปแล้วก็ขโมยมาสักชิ้น แล้วเราก็เอาไปทำอะไรกินกัน ถือว่าเป็นสารอาหารบำรุงของเรานะครับ”
พอได้ยินแบบนี้ จอร์แดนก็รีบพูด “ถ้างั้นแกก็รีบเถอะ แล้วเอาโสมที่เราขุดได้วันนี้ซ่อนไว้สักหัว อย่าเอาให้เขาหมด เราจะได้เอาโสมมาตุ๋นเนื้อกวางพรุ่งนี้ รับรองว่าต้องเป็นอาหารบำรุงชั้นดี”
“ได้เลยครับ! พ่อวางใจได้”
หลังจากที่พูดจบเจฟฟรีย์ก็หยิบโสมออกมาหนึ่งหัวก่อนที่จะเอายัดลงไปในกางเกงชั้นใน
เมื่อโสมที่เย็นจนแข็งใส่เข้าไปในกางเกงเขา เจฟฟรีย์ก็อดร้องออกมาไม่ได้เพราะว่ามันเย็นมาก
จอร์แดนมองเขาอย่างรังเกียจก่อนกล่าว “แกเอาไปไว้ตรงนั้นได้ยังไง? แล้วฉันจะกินลงไหมเนี่ย?”
เจฟฟรีย์ตอบ “ไม่เป็นไรหรอกพ่อ เราก็แค่ล้างมันหลาย ๆ รอบหน่อย ถ้าผมไม่ซ่อนตรงนี้ก็ไม่มีที่อื่นให้ผมซ่อนได้แล้ว พ่อก็รู้นี่ว่าพวกนั้นค้นตัวเราไม่ใช่เหรอ?”
“งั้นก็ได้” จอร์แดนตอบอย่างไร้ทางเลือก “งั้นตอนที่เราถึงบ้าน ก็ล้างหลาย ๆ รอบหน่อย เอาไปลวกน้ำร้อนเลยคงดีกว่า”
เจฟฟรีย์โบกมือก่อนบอก “โธ่พ่อ ไม่รู้เหรอ? ถ้าเอาโสมไปลวกน้ำร้อน สารอาหารของมันก็จะหายไปหมดแล้วไปอยู่ในน้ำแทน”