“หลิงหยุน..เจ้าสามารถขุดรากถอนโคนตระกูลซันกับตระกูลเฉินได้แล้ว เหตุใดจึงไม่กลับไปเฉลิมฉลองที่ตระกูลหลิง แต่กลับมาหาข้าที่นี่”
หลิงหยุนมาที่บ้านของเย่ซิงเฉินอย่างเปิดเผยเย่ซิงเฉินที่รับรู้การมาถึงของหลิงหยุนได้ จึงรีบออกไปทักทายที่หน้าประตูบ้านทันที
เย่ซิงเฉินออกไปพบหลิงหยุนโดยที่ไม่ได้สวมผ้าปิดหน้าเหมือนเช่นเคยเพราะหลังจากการประลองที่ดุเดือดเสร็จสิ้นลง แต่หลิงหยุนกลับเลือกที่จะมาพบนางก่อนเช่นนี้ ทำให้เย่ซิงเฉินมีความสุขยิ่งนัก!
“เฮ้อ..พูดแล้วน่าโมโหนัก!”
หลิงหยุนยิ้มขื่น..หลังจากที่เขาไล่ล่าเย่เทียนตูไปไกลหลายกิโลเมตร เวลานี้เขาจึงรู้สึกร่างกายเหนื่อยล้า และจิตใจอ่อนแรงอย่างที่สุด! เมื่อเย่ซิงเฉินเห็นอาการที่เหนื่อยล้าอ่อนแรงของหลิงหยุนนางก็รู้ว่าต้องมีบางอย่างไม่ปกติเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เย่ซิงเฉินจึงรีบกระโดดไปยืนข้างกายหลิงหยุน พร้อมกับร้องบอกด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
“หลิงหยุน..เจ้าเข้าไปพักผ่อนในบ้านก่อน!”
แล้วทั้งสองคนก็เดินเข้าไปในบ้านไม้ไผ่หลังเล็กและพบว่าเย่ซิงเฉินได้เตรียมชาไว้ให้กับเขาแล้ว เวลานี้กลิ่นหอมของชาก็กำลังตลบอบอวลไปทั่วทั้งบ้าน..
เวลานี้ทั้งคู่เริ่มสนิทสนมกันมากขึ้นเรื่อยๆ
ในเวลาเดียวกัน..หลิงหยุนก็สังเกตเห็นว่า ครั้งนี้ภายในบ้านของเย่ซิงเฉินนั้น ดูเหมือนจะมีเฟอร์นิเจอร์เพิ่มมากขึ้นกว่าครั้งก่อน ไม่ว่าจะเป็นโซฟาหนังชุดใหม่ในห้องนั่งเล่น โต๊ะไม้สีน้ำตาล เก้าอี้ไม้ไผ่ที่เพิ่มขึ้นมาอีกสองสามตัว และตู้เย็นขนาดใหญ่อีกหนึ่งตู้..
หลิงหยุนทิ้งกายลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ไผ่อย่างเป็นกันเองและจัดการรินชาตรงหน้าขึ้นดื่ม รสชาดและความร้อนของชานั้นกำลังพอดิบพอดี ทำให้หลิงหยุนได้แต่คิดอยู่ในใจว่า ทันทีที่เย่ซิงเฉินรู้ว่าตนจะมานั้น นางคงจะได้ทำการคำนวณเวลาในการชงชาไว้อย่างดี
“ซิงเฉิน..ชานี่กำลังรสชาดพอดิบพอดีทีเดียว!”
หลิงหยุนจิบชาเข้าไปแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองเย่ซิงเฉินพร้อมกับยิ้มให้นาง ก่อนจะเอ่ยชมจากใจ..
“ก่อนหน้านี้ข้าคร้านที่จะทำอะไรเช่นนี้แต่เวลานี้ข้ามีแหวนพื้นที่แล้ว จึงสามารถเคลื่อนย้ายของพวกนี้ไปได้ทุกหนทุกแห่ง และสะดวกสบายยิ่งนัก ข้าจึงอยากจะตอบแทนเจ้าบ้างก็เท่านั้น!”
เย่ซิงเฉินโน้มกายไปด้านหน้าแล้วจัดการรินชาให้หลิงหยุนอีกหนึ่งแก้ว จากนั้นจึงพูดออกไปว่า
“เจ้าอย่าเฉไฉ..ตอบข้ามาได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่” เย่ซิงเฉินรู้ว่าด้วยพละกำลังและความแข็งแกร่งของหลิงหยุนในเวลานี้ หากเป็นเรื่องที่ไม่เหลือบากกว่าแรง เขาย่อมสามารถจัดการได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว และคงไม่มานั่งหน้าตาเหนื่อยหน่ายอยู่เช่นนี้เป็นแน่..
หน้าตาของหลิงเหยุนเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นมาทันทีและพูดออกไปว่า “ความจริงก็ไม่ใช่เรื่องที่คาดคิดไม่ถึงอะไร.. มันคือเรื่องที่ข้าเองก็เคยคาดการไว้อยู่ก่อนแล้ว เพียงแต่ในวันนี้มันกลับกลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมาแล้ว ก็เท่านั้นเอง!”
สำหรับเย่ซิงเฉินแล้วหลิงหยุนไม่มีอะไรที่จะต้องปิดบัง เขาจึงเล่าความจริงทั้งหมดให้กับนางฟัง..
“ระหว่างที่ข้าบุกไปจัดการกับตระกูลเฉินนั้นก่อนที่เฉินจิ้งเทียนจะตาย มันได้บอกความลับเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับโศกนาฏกรรมเมื่อสิบแปดปีก่อนของตระกูลหลิงให้ข้ารู้..”
“ผู้ที่จุดประกายและปลุกปั่นชาวยุทธในเรื่องของพ่อแม่ข้านั้น แท้จริงแล้วก็คือหลิงเจิ้นและผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ก็ยังมีตระกูลหลงกับตระกูลเย่อีกด้วย!”
เวลานี้หลิงหยุนเล่าเรื่องทั้งหมดได้ด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเรียบเพราะหลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ อารมณ์ที่พลุ่งพล่านของเขาก็ได้สงบลงแล้ว..
ปัง!
ทันทีที่เย่ซิงเฉินได้ยินเรื่องราวทั้งหมดจากปากของหลิงหยุน..สีหน้าท่าทางของนางก็เปลี่ยนไปอย่างมาก นางยกมือขึ้นตบโต๊ะที่อยู่ด้านหน้าอย่างแรง จนชุดถ้วยชาทั้งหมดที่อยู่ตรงหน้ากระเด็นลอยขึ้นทันที!
เย่ซิงเฉินลุกขึ้นยืนพร้อมกับร้องคำรามออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา“ท่านอาจารย์คิดไว้ไม่ผิด! เป็นหลิงเจิ้นจริงๆด้วย!”
เรื่องราวอื้อฉาวเมื่อสิบแปดปีก่อนนั้นแท้จริงมีตระกูลหลงกับตระกูลเย่แอบเคลื่อนไหวอยู่เบื้องหลังจริงๆ และเรื่องที่ตระกูลหลงกับตระกูลเย่เอาแต่นิ่งดูดายในครั้งนั้น ทุกคนต่างก็รู้เห็นกันดี.. การนิ่งดูดายของทั้งสองตระกูลไม่ต่างจากการสนับสนุนในเมื่อสนับสนุน ก็ย่อมเป็นการบ่งบอกว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง และในเมื่อเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมด ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคือความตั้งใจ!
แต่หลิงเจิ้นนั้นเป็นพี่ชายร่วมสายเลือดของหลิงเสี่ยวและเป็นสายเลือดของตระกูลหลิง!
พี่ชายคนโตของตระกูล..เพียงเพื่อต้องการจะได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูล ถึงกับยอมทำร้ายน้องชายร่วมสายเลือด จนเป็นเหตุให้ตระกูลหลิงถูกปิดล้อม และถูกเข่นฆ่า จนครั้งนั้นเลือดคนตระกูลหลิงแทบนองแผ่นดิน มันเป็นเรื่องที่เลวร้ายเกินไปสำหรับตระกูลหลิง..
หากคนผู้นั้นไม่เหี้ยมโหดจริงก็คงยากที่จะทำเรื่องเลวร้ายถึงเพียงนี้ได้!
หลิงหยุดพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา“นี่ท่านแม่ก็คิดว่าเป็นหลิงเจิ้นเช่นกันงั้นรึ”
และแน่นอนว่าเรื่องราวเมื่อสิบแปดปีก่อนนั้นหากจะถามหาผู้ที่รู้เรื่องดีที่สุด ก็คงจะไม่มีผู้ใดรู้เรื่องทั้งหมดได้ดีไปกว่าหลิงเสี่ยวกับหยินชิงเฉวียนอีกแล้ว!
“หึ..เรื่องนี้ไม่ใช่อาจารย์เท่านั้นที่รู้ แต่ลุงหลิงเองก็รู้!”
เย่ซิงเฉินตอบกลับหลิงหยุนด้วยแววตาเป็นประกายและค่อยๆ นั่งลงเพื่อเล่าเรื่องราวที่นางรู้มาให้หลิงหยุนได้ฟังต่อ
เย่ซิงเฉินกัดริมฝีปากแน่นก่อนจะเล่าออกมาด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น“คร้้งแรกที่ท่านอาจารย์ได้พบกับลุงหลิงนั้น หลิงเจิ้นก็อยู่กับลุงหลิงด้วย หลังจากที่ทั้งสามคนพบเจอกัน ก็พากันออกท่องเที่ยวไปตามภูเขาแม่น้ำที่สวยงาม เยี่ยมเยียนสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามวัดวาอารามต่างๆด้วยกันเป็นเวลานานกว่าสี่เดือน.. ”
“และหลังจากนั้น..เมื่อหลิงเจิ้นเห็นว่าท่านอาจารย์กับลุงหลิงเริ่มใกล้ชิดสนิทสนมจนแทบไม่ยอมแยกจากกัน หลิงเจิ้นจึงใช้ข้ออ้างว่าไม่ต้องการอยู่เป็นก้างขวางคอพวกเขาทั้งคู่ แล้วจากไป..” “ผ่านไปแปดเดือน..ท่านอาจารย์ของข้าก็ตามลุงหลิงกลับไปที่ตระกูลหลิง แต่พวกเขาทั้งคู่ได้ไปพบหลิงเจิ้นก่อน เพื่อให้หลิงเจิ้นช่วยไปบอกกล่าวกับเหล่าอาวุโสตระกูลหลิงให้เข้าใจ และได้มีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจกับเรื่องราวความรักของพวกเขาทั้งคู่ เพื่อที่ทั้งคู่จะได้สามารถอยู่ในตระกูลหลิงได้อย่างราบรื่น..”
“แต่กลับกลายเป็นว่า..ในคืนหลังจากที่ทั้งคู่กลับเข้าตระกูลหลิงได้เพียงวันเดียว ตระกูลหลิงก็ถูกคนของฝ่ายธรรมะ และอธรรมบุกมาถึงหน้าประตูบ้าน..”
หลิงหยุนฟังเย่ซิงเฉินเล่ามาถึงตรงนี้ก็รีบยกมือขึ้นห้าม และพูดออกไปว่า “เจ้าไม่ต้องเล่าต่อ ข้าเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว..”
หากหลิงเจิ้นไม่นำเรื่องของหลิงเสี่ยวกับหยินชิงเฉวียนออกไปแพร่งพรายไม่เช่นนั้นคืนต่อมาคงจะไม่มีชาวยุทธทั้งสองฝ่ายบุกเข้ามาบ้านตระกูลหลิงเช่นนั้น..
แม้แต่หลิงลี่เองก็ยังสับสนอยู่นานหลายปีว่า..เหตุการณ์ในครั้งนั้นเป็นความโชคร้ายของหลิงเสี่ยว หรือว่าเป็นเพราะหลิงเจิ้นลูกชายคนโตของเขากันแน่!
เพราะในครั้งนั้น..ชาวยุทธทั้งสองฝ่ายต่างก็บุกมาถล่มตระกูลหลิงอย่างรวดเร็ว และไม่เปิดโอกาสให้ตระกูลหลิงได้ตอบโต้ หรืออธิบายอะไรเลย..
จุดประสงค์ของพรรคมารที่มาในครั้งนั้นมีเพียงเรื่องเดียวก็คือ.. ต้องการมานำตัวหยินชิงเฉวียนกลับไปพรรคมารเท่านั้น!
และในนาทีที่ตระกูลหลิงเกือบจะถูกทำลายสิ้นซากแต่กลับเป็นตระกูลหลงที่ไม่รู้ว่าจู่ๆ ก็ปรากฏตัวมาช่วยตระกูลหลิงด้วยเหตุผลใดกันแน่ และเมื่อมาถึง.. ตระกูลหลงก็ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของเหล่าชาวยุทธฝ่ายธรรมะ และได้ขอให้หลิงเสี่ยวทำลายวรยุทธของตนเอง และประกาศที่จะไม่พบหน้าหยินชิงเฉวียนอีกจนชั่วชีวิต..
และด้วยเหตุนี้..ทำให้ความต้องการของฝ่ายมารกับฝ่ายธรรมะบรรลุเป้าหมาย ทุกคนจึงยอมจากไปในที่สุด!
แต่การต่อสู้ในครั้งนั้นก็ได้สร้างบาดแผลเลวร้ายให้กับตระกูลหลิงอย่างมาก ยอดฝีมือตระกูลหลิงได้ถูกสังหารตายไปมากมาย บ้างก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส หลิงเสี่ยวต้องกลายเป็นผู้ไร้วรยุทธ ทำให้ครั้งนั้นหลิงหเจิ้นได้กลายมาเป็นผู้ที่มีวรยุทธ และกำลังภายในสูงส่งที่สุดในตระกูลหลิง!
แม้ว่าหลิงลี่จะลังเลสงสัยว่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นจะเป็นฝีมือของหลิงเจิ้นแต่เขาก็ต้องล้มเลิกความคิด และยอมยกตำแหน่งผู้นำตระกูลให้หลิงเจิ้นเป็นผู้ดูแลตระกูลหลิงต่อไป!
เพราะด้วยอุปนิสัยของหลิงเจิ้น..เขาย่อมไม่เคยแสดงออกมาอย่างออกหน้าออกตาว่าต้องการขึ้นเป็นผู้นำตระกูลหลิง หรือตั้งใจที่จะช่วงชิงตำแหน่งผู้นำตระกูลกับหลิงเสี่ยวอย่างโจ่งแจ้ง..
เมื่อความจริงถูกเปิดเผยเช่นนี้..จึงกลับกลายเป็นว่าผู้ที่ทำลายล้างตระกูลหลิงในครั้งนั้น กลับไม่ใช่ฝีมือของคนนอก แต่กลับเป็นฝีมือของคนภายในตระกูลหลิงเอง!
หลังจากที่เหตุการณ์ทุกอย่างสิ้นสุดลง..หยินชิงเฉวียนก็ถูกนำตัวกลับไปพรรคมารเพื่อรับโทษ แม้หลิงเสี่ยวจะรู้อยู่แก่ใจว่าหลิงเจิ้นคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมด แต่เขาก็เลือกที่จะกล้ำกลืน และเก็บความลับทุกอย่างไว้กับตัวมาจนถึงทุกวันนี้..
ส่วนหยินชิงเฉวียนนั้น..แม้นางจะรู้อยู่แก่ใจเช่นกันว่าทั้งหมดล้วนเป็นฝีมือของหลิงเจิ้น แต่นางก็รู้ว่าหลิงเสี่ยวจะไม่มีทางทำร้ายพี่ชายของตนเองอย่างแน่นอน อีกทั้งเวลานั้นหลิงเสี่ยวก็ไร้ซึ่งวรยุทธแล้ว นางจึงเป็นห่วงความปลอดภัยของหลิงเสี่ยว และเลือกที่จะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปเช่นกัน..
แต่ความลับไม่เคยมีในโลก..สักวันความจริงทุกอย่างก็ต้องถูกเปิดเผยออกมา!
“หลิงเจิ้น..เจ้าคนชั่วช้า!”
หลังจากที่ทำการปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดจนเข้าใจแล้วดวงตาของหลิงหยุนจึงเป็นประกายขึ้นมาวูบหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“มิน่า..ในวันที่ข้าสังหารหลิงห่าว หลิงเจิ้นถึงได้รีบร้อนสละตำแหน่งผู้นำตระกูลนัก! ที่แท้มันก็หาเหตุผลที่จะหนีออกจากตระกูลหลิงก่อนที่การประลองจะเริ่มต้นขึ้น เพราะมันเกรงว่าความจริงเรื่องนี้จะถูกเปิดโปงออกมานั่นเอง!”
หลิงหยุนนึกถึงเหตุการณ์ในคืนวันที่หลิงห่าวถูกเขาสังหารและหลิงเจิ้นประกาศสละตำแหน่งผู้นำตระกูลทันที เขาเห็นหลิงลี่มีท่าทางลังเลคล้ายจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่ท้ายที่สุดกลับนิ่งเงียบไป…
หลิงหยุนได้แต่ถอนหายใจพร้อมกับรำพึงรำพันออกมา..“เฮ้อ.. ตลอดหลายปีมานี้ท่านปู่คงจะอยู่ด้วยความทุกข์ใจไม่น้อย..”
หลิงหยุนนึกถึงสีหน้าของหลิงลี่ในวันที่บอกกับเขาว่าหลิงเจิ้นได้ทิ้งจดหมายบอกว่าจะออกเดินทางท่องเที่ยวนั้น เหตุใดหลิงลี่จึงไม่มีสีหน้าทุกข์ใจนัก นั่นเพราะเขาต้องการที่รักษาชีวิตลูกชายคนโตไว้นั่นเอง!
แม้หลิงเจิ้นจะชั่วช้า..แต่ก็เป็นลูกชายของเขา! ไอลีนโนเวล
“ท่านพ่อของข้าเองก็คงทุกข์ทรมานมาตลอดหลายสิบปีนี้เช่นกัน..”
ความทุกข์ทรมานที่แบกรับมาตลอดสิบแปดปีนั้นหลิงเสี่ยวรู้ดีว่าด้วยความแข็งแกร่งของหลิงหยุนเวลานี้ สามารถสังหารหลิงเจิ้นเพื่อแก้แค้นให้กับเขาได้ในชั่วพริบตาเดียว แต่ที่เขาเลือกที่จะนิ่งเงียบนั้น จะเป็นเพราะอะไรเล่า.. หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่ความเป็นพี่น้องร่วมสายเลือด!
ความเป็นมนุษย์ระหว่างหลิงเสี่ยวกับหลิงเจิ้นนั้นนับว่าต่างกันราวฟ้ากับเหวเลยทีเดียว!
“ท่านพ่อ..หลิงเจิ้นทำกับท่านถึงเพียงนี้ แต่ท่านยังคิดเป็นห่วงเป็นใยมัน พี่ชายเช่นนี้.. ยังจำเป็นที่จะต้องเมตตาอีกงั้นรึ!”
“ท่านยังคิดว่ามันเป็นพี่..แต่ข้าไม่จำเป็นต้องคิดเช่นนั้น!” “ข้าจะเป็นผู้ลงมือสังหารหลิงเจิ้นด้วยตัวเองเรื่องนี้ปล่อยให้ข้าจัดการเอง!”
หลิงหยุนลุกขึ้นยืนพร้อมกับร้องบอกเย่ซิงเฉินทันที..
กระบี่โลหิตแดนใต้ปรากฏขึ้นในมือของหลิงหยุนเขาเงื้อกระบี่สีดำในมือขึ้นฟันเข้าที่มุมโต๊ะตรงหน้า และบนพื้นก็มีร่องรอยของคมกระบี่ฝังอยู่..
“หลิงเจิ้นมันสมควรตายยิ่งนัก!”เย่ซิงเฉินร้องตะโกนออกมาเช่นกัน
…..
แต่สิ่งที่หลิงหยุนกังวลใจมากที่สุดในเวลานี้ก็คือคนตระกูลหลิงเพราะเมื่อความจริงถูกเปิดเผยออกมาว่าแท้ที่จริงผู้ที่ทำลายตระกูลหลิงก็คือหลิงเจิ้นนั้น ความจริงข้อนี้จึงเป็นเรื่องที่มีผลต่อจิตใจคนตระกูลหลิงอย่างมาก..
นั่นเพราะความจริงข้อนี้ส่งผลต่อคนตระกูลหลิงถึงสามรุ่นคือ..หลิงลี่ หลิงเสี่ยว และหลิงหย่ง.. โดยเฉพาะหลิงหย่ง..ที่จะต้องเป็นผู้เจ็บปวดกับเรื่องนี้มากกว่าทุกคน!
นั่นเพราะหลิงเจิ้นเป็นพ่อแท้ๆของเขาอีกทั้งหลิงห่าวก็เพิ่งจะตายไป การที่เฉินจิ้งเทียนประกาศออกมาเช่นนี้ ย่อมเสมือนกับสายฟ้าที่ฟาดลงกลางใจของหลิงหย่ง แล้วหลิงหย่งจะทนมีชีวิตอยู่กับเรื่องแบบนี้ได้อย่างไรกัน เขาจะทนมองหน้าหลิงเสี่ยวกับหลิงหยุนต่อไปได้อย่างไร?
เย่ซิงเฉินเองก็เฉลียวฉลาดและพอจะคาดเดาสถานการณ์ออก จึงได้พูดขึ้นด้วยเสียงอันเบา “เวลานี้ตระกูลหลิงคงกำลังโกลาหลวุ่นวายน่าดูสินะ!”
“ไม่หรอก..มีลุงสองอยู่ทั้งคน ตระกูลหลิงคงจะไม่ถึงกับโกลาหลวุ่นวายนัก!”
หลิงเย่วนั้นเปรียบเสมือนมันสมองของตระกูลหลิงอีกทั้งยังอยู่ข้างหลิงหยุน และหลิงหยุนรู้ว่าเขาจะต้องจัดการทุกอย่างได้เรียบร้อย เพียงแต่ต้องใช้เวลาบ้าง..
“การที่ข้ามาที่นี่ไม่ใช่เพราะต้องการที่จะหนีปัญหาแต่ในเวลานี้ข้าเองก็ยังไม่ต้องการเผชิญหน้ากับท่านปู่ ท่านพ่อ แล้วก็หลิงหย่ง พวกเขาคงต้องการใช้เวลาอยู่กับตัวเองสักพัก..”
เย่ซิงเฉินพยักหน้าเห็นด้วย“เจ้าทำถูกต้องแล้ว.. เรื่องใหญ่เช่นนี้ไม่ควรเร่งรัด ควรปล่อยให้ทุกคนได้ตกผลึกกับเรื่องราวทั้งหมด และสงบลงก่อนจึงค่อยเจรจากัน..”
หลิงหยุนหันไปยิ้มให้กับเย่ซิงเฉินพร้อมกับพูดขึ้นว่า“เวลานี้ข้ากลายเป็นคนไร้บ้านไปแล้ว จึงอยากจะมาขออยู่กับหญิงงามอย่างเจ้าสักพักจะได้หรือไม่”
เย่ซิงเฉินหัวเราะพร้อมกับตอบไปว่า“ก็ได้.. เห็นแก่เจ้าที่ยากจน ข้าจะรับเจ้าไว้อยู่ด้วย!”
หลิงหยุนนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่และเริ่มดื่มชาต่อ จากนั้นจึงเงยหน้าพูดกับเย่ซิงเฉินว่า “ซิงเฉิน.. สายข่าวของเจ้ามีประสิทธิภาพยิ่งนัก! ถ้าอย่างไรเจ้าช่วยข้าสืบหาที่อยู่ของหลิงเจิ้นจะได้หรือไม่ ข้าอยากจะรู้ว่าเวลานี้มันอยู่ที่ใหนกันแน่?”
เย่ซิงเฉินนั่งลงพร้อมกับตอบไปว่า“เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง!”
จากนั้นเย่ซิงเฉินก็ขอให้หลิงหยุนเล่าเรื่องราวในสนามประลองให้กับนางฟังหลังจากที่หลิงหยุนจิบชาแล้ว เขาก็เริ่มเล่ารายละเอียดทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้กับเย่ซิงเฉินฟัง และคำบอกเล่าของหลิงหยุนนั้นก็เรียกเสียงร้องอุทานจากเย่ซิงเฉินได้ไม่หยุด..
หลังจากเล่าจบหลิงหยุนก็เอ่ยขอบคุณเย่ซิงเฉิน “ซิงเฉิน.. ความจริงแล้วต้องขอบคุณเจ้าที่ให้ข้อมูลกับข้า.. ไม่เช่นนั้นข้าคงจะประมาท และไม่ได้เตรียมตัวไปพร้อมเช่นนี้ และคงยากที่จะเอาชีวิตรอดกลับมาได้..”
“เสื้อผ้าที่ข้าตัดให้เจ้าคงจะขาดหมดแล้วสินะ!ส่งมาให้ข้าดูว่าจะสามารถซ่อมแซมได้หรือไม่”
เย่ซิงเฉินเห็นชุดเสื้อภูษาเกราะของหลิงหยุนขาดวิ่นเช่นนั้นก็ได้แต่เก็บกลับเข้าไปในแหวนพื้นที่ของตนเอง หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับเอ่ยเตือนเย่ซิงเฉินด้วยความเป็นห่วง“ซิงเฉิน.. หากเจ้าต้องประมือกับนินจาขั้นเงา อย่าได้ประมาท และต้องระมัดระวังให้มาก พวกมันสามารถเรียกสัตว์อสูรอย่างพญางูโอโรชิแปดหัวแปดหางออกมาได้ แล้วมันก็แข็งแกร่งอย่างมากด้วย!”
“ข้าจะระมัดระวัง!”
เย่ซิงเฉินตอบกลับยิ้มๆเมื่อเห็นหลิงหยุนเอ่ยเตือนตนเองด้วยความเป็นห่วงเช่นนี้ พร้อมกับเอ่ยเตือนหลิงหยุนกลับเช่นกัน
“หลิงหยุน..เจ้าเองก็ต้องระมัดระวังตัวเช่นกัน เจ้าสังหารยอดฝีมือของหน่วยนภาไปถึงห้าคน พวกเขาคงจะไม่อยู่นิ่งเฉยแน่!”
“ซิงเฉิน..ข้ายังมีเรื่องจะบอกกับเจ้าอีกสองเรื่อง!”
“ที่สนามประลองนั้น..ข้ารู้สึกได้ว่ามีใครบางคนคอยแอบมองข้าอยู่ตลอดเวลา! และคนผู้นั้นก็สามารถยืนเหาะเหินอยู่บนอากาศได้เป็นเวลานานมาก!” “ข้าคิดว่า..คนผู้นี้จะต้องเป็นยอดฝีมือขั้นปรมาจารย์ที่ข้าเองก็ไม่เคยพบเจอมาก่อน!”
“ส่วนเรื่องที่สอง..เฉินจิ้งเทียนไม่ได้ถูกข้าสังหารตาย แต่ในระหว่างที่มันกำลังจะเล่าความลับที่เกี่ยวข้องกับตระกูลหลงและตระกูลเย่ออกมานั้น ก็มีใครบางคนบังคับกระบี่ที่ห่างไกลถึงห้าร้อยเมตรตัดศรีษะของเขาขาดกระเด็นออกทันที!”
“แต่ในระหว่างที่ข้าไล่ตามคนผู้นั้นไปมันก็ได้ใช้กระบี่เหินบินหนีขึ้นฟ้าไปได้!”