หลังจากที่ได้ฟังหลิงหยุนเล่าจนจบเย่ซิงเฉินก็พึมพำกับตัวเอง “คิดไม่ถึงว่าคนพวกนี้จะเริ่มปรากฏตัวแล้ว!”
เย่ซิงเฉินนิ่งไปครู่ใหญ่จากนั้นจึงยิ้มใหักับหลิงหยุนพร้อมกับพูดออกมาอย่างชื่นชม “หลิงหยุน.. เจ้าสามารถบีบให้สามองค์กรระดับสูงของประเทศนี้ อย่างตระกูลหลง ตระกูลเย่ และกลุ่มนภาปรากฏตัวได้รวดเร็วเช่นนี้ นับว่าประสบความสำเร็จมากทีเดียว นี่ย่อมหมายความว่าคนเหล่านั้นเห็นเจ้าอยู่ในสายตา..”
แววตาของเย่ซิงเฉินที่จ้องมองหลิงหยุนนั้นเป็นประกายและเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจอย่างชัดเจน!
หลิงหยุนยิ้มขื่น“แต่ข้ายังไม่ต้องการเป็นที่สนใจของกลุ่มคนเหล่านี้เร็วนัก เจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้ที่สามารถใช้กระบี่เหินเช่นนั้นได้ ในโลกของผู้บ่มเพาะพลัง นั่นเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าคนผู้นั้นได้เข้าสู่ด่านกลางของขั้นพลังชี่แล้ว และนั่นทำให้ข้ารู้สึกกดดันอย่างมาก..”
เย่ซิงเฉินได้แต่ยิ้มออกมาพร้อมกับตอบไปว่า“หึ.. ในที่สุดเจ้าก็รู้จักถูกกดดันเป็นแล้วสินะ! และนี่คือเหตุผลที่ข้าไม่กล้าเข้ามาอยู่ในตัวเมือง และเลือกที่จะซ่อนตัวอยู่ตามป่าเขาแทนเช่นนี้!”
แต่แล้วหลิงหยุนก็ถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ“ซิงเฉิน.. เจ้าเองก็เพิ่งจะอยู่ในระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-7 แต่เหตุใดเจ้ายังกล้าที่จะวนเวียนอยู่รอบเมืองหลวงเช่นนี้ เจ้าไม่กลัวว่าจะถูกเหล่ายอดฝีมือขั้นปรมาจารย์ของสองตระกูลใหญ่จับตัวไปหรอกรึ?”
เย่ซิงเฉินยิ้มกว้างพร้อมตอบกลับไปว่า“นี่เจ้าลืมฐานะของข้าแล้วงั้นรึ ข้าเป็นถึงธิดาพรรคมาร ต่อให้คนพวกนั้นไม่เกรงกลัวข้า อย่างน้อยก็ต้องเห็นแก่หน้าอาจารย์ของข้า และความแข็งแกร่งของพรรคมาร!”
“อีกทั้งตั้งแต่ข้าได้รับตำแหน่งธิดาพรรคมารมาข้าเองก็ยังไม่เคยทำเรื่องที่เป็นปฏิปักษ์ต่อตระกูลหลงกับตระกูลเย่ จึงไม่มีเหตุผลใดที่พวกเขาจะต้องเล่นงานข้า หากพวกเขาทำเช่นนั้นจริง ก็ต้องถามตัวเองก่อนว่าจะสามารถรับมือกับการตอบโต้จากพรรคมารของเราได้หรือไม่”
“งั้นเชียวรึ!”
ดวงตาของหลิงหยุนเป็นประกายขึ้นมาวูบหนึ่งก่อนจะพูดออกไปว่า “ในเมื่อท่านแม่ของข้าก็ถูกขังอยู่ในดินแดนต้องห้ามของพรรคมาร ไม่สามารถออกมาช่วยเจ้าได้ หากเกิดเหตุร้ายกับเจ้าขึ้นจริงๆ จะมีคนพรรคมารออกมาช่วยเจ้าได้จริงๆงั้นรึ”
เย่ซิงเฉินตอบโดยไม่ต้องคิด“เรื่องนี้เจ้ายังไม่เข้าใจ.. แม้ท่านอาจารย์จะไม่สามารถออกมาจากพรรคมารได้ แต่ตามกฏของพรรคมารแล้ว อาวุโสคนอื่นๆ ย่อมต้องเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน!”
“ความบาดหมางระหว่างท่านอาจารย์กับเหล่าผู้เฒ่าพรรคมารนั้นก็มีแค่เรื่องที่ท่านอาจารย์ไปรักลุงหลิง และให้กำเนิดเจ้าออกมาเท่านั้น แต่ในเรื่องของความไว้วางใจ และกฏระเบียบของพรรคมาร ทุกคนยังปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด.. เว้นแต่คนชั่วช้าอย่างซือกงถูเท่านั้น!”
“หากตระกูลหลงกับตระกูลเย่หรือเหล่าชาวยุทธฝ่ายธรรมะ ขัดขวางการปฏิบัติงานของธิดารพรรคมาร แน่นอนว่าสงครามระหว่างฝ่ายธรรมะกับอธรรมก็จะเริ่มต้นขึ้นในทันที และหลังจากนั้นประเทศจีนคงต้องประสบกับหายนะใหญ่หลวงเป็นแน่..”
“เจ้าต้องรู้ไว้ว่า..ในพรรคมารสามารถมีโอรสพรรคมารได้มากมายหลายคน แต่ธิดาพรรคมารจะมีได้เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น และธิดาพรรคมารในตอนนี้ก็คือหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าเจ้า..”
เย่ซิงเฉินตอบกลับหลิงหยุนพร้อมกับเชิดคางขึ้นแสดงสีหน้าภูมิอกภูมิใจออกมาอย่างชัดเจน..
“…”
หลิงหยุนเห็นท่าทางของเย่ซิงเฉินแล้วก็ได้แต่นิ่งเงียบพูดอะไรไม่ออกไปครู่ใหญ่แต่ในที่สุดก็เอ่ยขึ้นว่า
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง..น่าภูมิใจมากจริงๆ!”
“แล้วเรื่องงานชุนนุมชาวยุทธที่ใกล้จะถึงนี่ล่ะข้าได้ข่าวมาว่าจะจัดขึ้นที่หุบเขาหลงเฟยบนเขาหลงหู่ไม่ใช่รึ”
และที่หลิงหยุนสนอกสนใจเรื่องงานชุมนุมชาวยุทธที่จะเกิดขึ้นนี้มากก็เพราะเกี่ยวพันไปถึงเรื่องของเฉิงเม่ยเฟิงนั่นเอง..
หลิงหยุนพูดต่อโดยจงใจที่จะเน้นเสียงในประโยคนี้เป็นพิเศษ“ข้าได้ยินมาว่างานชุมนุมนี้จัดขึ้นเพื่อหารือกันจัดการกับพรรคมารของเจ้าไม่ใช่รึ!”
เย่ซิงเฉินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน..“งานชุมนุมชาวยุทธงั้นรึ เหล่าชาวยุทธอ้างเรื่องการปราบปรามพรรคมารเพื่อจะจัดงานชุมนุมที่น่าเบื่อนี้ขึ้นทุกปีนั่นล่ะ แต่ความจริงแล้วพวกเขาก็แค่ต้องการมารวมตัวกัน เพื่อที่จะได้โอ้อวดสำนักของตนเองให้ดูมีค่ามีราคาขึ้นบ้างเท่านั้นเอง..”
หลิงหยุนเพียงแค่ยิ้มไม่ตอบกลับอะไรและได้แต่คิดว่า.. การที่เหล่าชาวยุทธกระตือรือร้นที่จะเข้าร่วมงามชุมนุมในครั้งนี้กันมากนั้น ก็เพราะเกรงว่าหากตนไม่เข้าร่วม ชื่อเสียงของตน และสำนักจะถูกผู้อื่นลืมเลือนไปเท่านั้นเอง..
ไม่เพียงเหล่าชาวยุทธเท่านั้นแม้แต่นักบวชจากหลายสำนัก ต่างก็พากันส่งเหล่าลูกศิษย์ลูกหาลงจากเขามาร่วมชุมนุมในครั้งนี้ด้วย และมักจะอ้างเรื่องการปราบปรามพรรคมารบังหน้า แต่จุดประสงค์ที่แท้จริงนั้น ก็เพื่อต้องการที่จะโอ้อวดศิษย์รุ่นใหม่ที่มีฝีมือของตนเท่านั้นเอง..
เหตุผลที่เหล่าชาวยุทธอ้างว่าจัดชุมนุมมาเพื่อหารือในเรื่องการปราบปรามพรรคมารนั้นจึงเป็นเรื่องหลอกลวงทั้งเพ ความจริงแล้วก็คืองานที่ต่างฝ่ายต่างจะมาโอ้อวดคุณสมบัติ และความแข็งแกร่งของสำนักตนเองเสียมากกว่า.. เย่ซิงเฉินคร้านที่จะพูดเรื่องงานชุมนุมชาวยุทธต่อจึงร้องถามหลิงหยุนขึ้นว่า “เวลานี้ตระกูลซันกับตระกูลเฉินก็ถูกเจ้าทำลายจนสิ้นชื่อไปแล้ว แม้ตอนนี้ภายในตระกูลหลิงจะมีปัญหาอยู่บ้าง แต่ข้าเชื่อว่าเจ้าจะสามารถจัดการทุกอย่างได้ จากนี้ไปตระกูลหลิงคงต้องผงาดขึ้นอย่างยากที่จะหลีกเลี่ยงได้สินะ!”
“การที่ตระกูลหลงกับตระกูลเย่ไม่ปรากฏตัวออกมาขัดขวางการประลองครั้งนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่าทั้งสองตระกูลยอมรับที่ตระกูลหลิงจะผงาดขึ้นมาอีกครั้งได้ และนับจากนี้ไปปักกิ่งก็จะมีสามตระกูลคานกันอยู่ และตราบใดที่เจ้าไม่ไปสร้างปัญหาให้กับพวกเขาทั้งสองตระกูล พวกเขาก็จะไม่ยุ่งกับตระกูลหลิงเช่นกัน..”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้..ข้าเองก็จะสามารถไปจากปักกิ่งได้อย่างสบายใจ!”
“นี่ข้าก็จากพรรคมารมาร่วมสี่เดือนแล้วและในงานชุมนุมชาวยุทธครั้งนี้ เห็นทีข้าจะไม่ไปปรากฏตัวคงจะไม่ได้..”
หลิงหยุนรู้ดีว่า..ในเวลาสี่เดือนนั้น ธิดาพรรคมารเย่ซิงเฉินได้ใช้เวลาทั้งหมดในการตามหาตนเอง นางพบเจอเขาตั้งแต่เมื่อครั้งที่อยู่ในเมืองจิงฉู เพียงแต่ครั้งนั้นต่างฝ่ายต่างก็ยังไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของกันและกัน เย่ซิงเฉินจึงไม่สนใจที่จะช่วยตระกูลหลิงเหมือนในตอนนี้
หลิงหยุนรีบพูดขึ้นทันที“ซิงเฉิน.. เจ้าไม่ต้องห่วง! งานชุมนุมชาวยุทธครั้งนี้ ข้าจะไปกับเจ้าด้วย เจ้าอยู่ในที่แจ้ง ส่วนข้าจะอยู่ในที่มืด..”
ทันทีที่หลิงหยุนพูดออกไปเช่นนั้นเย่ซิงเฉฺนก็หันไปมองหลิงหยุนด้วยสายตาเย็นชา พร้อมกับถามขึ้นว่า..
“นี่เจ้าจะไปกับข้าเพราะเป็นห่วงข้าหรือเพราะมีจุดประสงค์อื่นกันแน่ ไม่ใช่ว่าเจ้าต้องการไปที่นั่นเพราะใครบางคนหรอกงั้นรึ?!”
“…” หลิงหยุนถึงกับเหงื่อตก..เมื่อเย่ซิงเฉินดูเหมือนจะรู้ทันตนเองไปเสียทุกเรื่องเช่นนี้!
เย่ซิงเฉินก็ยังคงเป็นเย่ซิงเฉินคนเดิมที่สามารถล่วงรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับหลิงหยุนและเรื่องระหว่างหลิงหยุนกับเฉิงเม่ยเฟิงนั้น นางเองก็รู้กระจ่างแจ่มแจ้งดี..
“หึ..เอาล่ะๆ ไม่ต้องทำหน้ารู้สึกผิดเช่นนั้นก็ได้! เจ้าไม่จำเป็นต้องตอบคำถามของข้า ข้าเองก็ไม่ได้อยากจะรู้นัก..”
หลิงหยุนคิดไม่ถึงว่าเย่ซิงเฉินจะยอมยุติง่ายๆเช่นนี้ และเป็นฝ่ายบอกกับเขาว่า “เวลานี้ข้าเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-8 แล้ว! และหากข้าสามารถเข้าสู่ขั้นพลังเหนือธรรมชาติได้ก่อนที่จะงานชุมนุมชาวยุทธจะเริ่มต้นขึ้นแล้วล่ะก็ พวกมันทั้งหมดจะต้องตายด้วยน้ำมือของข้าแน่..”
“อะไรนะ!ซิงเฉิน.. นี่เจ้าเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-8 แล้วงั้นรึ?! เหตุใดจึงก้าวหน้าได้รวดเร็วเช่นนี้?!”
จะไม่ให้หลิงหยุนตกใจได้อย่างไรกัน..ในเมื่อเขากับเย่ซิงเฉินเพิ่งจะแยกจากกันได้เพียงแค่แปดวัน แต่เย่ซิงเฉินกลับสามารถพัฒนาจากระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-7 ไปสู่ระดับสูงสุดขึ้นเซียงเทียน-8 ได้อย่างก้าวกระโดดเช่นนี้!
เย่ซิงเฉินเห็นสีหน้าท่าทางตกอกตกใจของหลิงหยุนจึงยิ้มออกมาอย่างนึกขันพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“เจ้าตกใจอะไรกันนับตั้งแต่ข้าจากท่านอาจารย์ และจากพรรคมารมา ข้าก็เข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-7 แล้ว!”
“ข้าใช้เวลากว่าครึ่งปี..จึงสามารถเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-8 ได้ มีอะไรน่าตกใจมากงั้นรึ!”
หลิงหยุนได้ฟังคำพูดของเย่ซิงเฉินจึงได้แต่คิดใหม่ว่าหากเทียบกับตัวเขาแล้ว ก็ยังนับว่าก้าวหน้าช้ามากทีเดียว!
เพราะหากเทียบกับหลิงหยุนที่ตั้งแต่กลับมาจากเกาะเตียวหยูจนถึงตอนนี้ภายในเวลาเพียงแค่สี่เดือนกว่า เขาก็สามารถก้าวหน้าได้ถึงห้าขั้นใหญ่ นับว่าเป็นการก้าวหน้าที่ก้าวกระโดดได้อย่างรวดเร็วมาก..
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้หลิงหยุนจึงร้องถามออกไปอย่างตกใจ “ซิงเฉิน.. นี่เจ้าจงใจยับยั้งขั้นของตนเองหรอกรึ!”
เย่ซิงเฉินตอบกลับด้วยแววตาเป็นประกาย“ท่านอาจารย์บอกข้าว่า.. เวลานี้ข้าอยู่ในด่านสุดท้ายของขั้นเซียงเทียนแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องสนใจกับการพัฒนาขั้นในระดับเล็กๆนัก แต่ให้ใส่ใจ และให้ความสำคัญกับความแข็งแกร่งของตนเองมากกว่า..”
“ท่านอาจารย์จะคอยกำกับดูแลความก้าวหน้าของข้าทุกขั้นตอนท่านอาจารย์บอกกับข้าว่า.. เมื่อใดที่ข้าสามารถเข้าสู่ระดับหนึ่งขั้นเซียงเทียน-9 ได้ ความแข็งแกร่งของข้าจะเทียบเท่ากับยอดฝีมือระดับสามขั้นพลังเหนือธรรมชาติเลยเทีเดียว และอาจสามารถเอาชนะพวกเขาได้ด้วย!”
หลิงหยุนฟังแล้วก็ได้แต่พยักหน้าและนึกชื่นชมแม่ผู้ให้กำเนิดอยู่ในใจ ‘ท่านแม่คงจะเก่งมากทีเดียว เพราะเรื่องเหล่านี้ใครๆต่างก็รู้ แต่ยากนักที่จะปฏิบัติตามได้..’
จากนั้นหลิงหยุนก็ได้ยินเสียงของเย่ซิงเฉินเล่าต่อว่า“ความจริงข้าเองก็รู้สึกว่าตนเองนั้นสามารถที่จะเข้าสู่ขั้นต่อไปได้อยู่ตลอดเวลา เพียงแค่ข้าจงใจที่จะดึงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งครั้งล่าสุดที่เจ้าสอนวิชามังกรพรางร่าง วิชาดาราคุ้มกาย และวิชาพลังมังกรให้กับข้า..”
“หลังจากที่ข้าฝึกฝนวิชาที่เจ้าถ่ายทอดให้โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาดาราคุ้มกาย ข้ารู้สึกราวกับว่าตนเองสามารถสื่อสารกับเหล่าดวงดาวบนท้องฟ้านับล้านดวงได้ และในคืนที่เจ้ากลับไปนั้น ข้าก็สามารถเข้าสู่ดาราคุ้มกายขั้นที่สองได้แล้ว..”
“ห๊ะ!อะไรนะ?! นี่เจ้าสามารถเข้าสู่ดาราคุ้มกายขั้นที่สองได้แล้วรึ?!”
หลิงหยุนเปิดจิตหยั่งรู้ของตนเองออกสำรวจร่างของเย่ซิงเฉินอย่างละเอียดและพบว่านางเข้าสู่ดาราคุ้มกายขั้นที่สองแล้วจริงๆและเวลานี้กำลังฝึกฝนอยู่ในระดับที่สิบ..!
“ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าจะฝึกดาราคุ้มกายได้ก้าวหน้ารวดเร็วถึงเพียงนี้!”
เย่ซิงเฉินยิ้มพร้อมกับพูดต่อว่า“ก่อนหน้านี้ข้าก็ไม่คิดว่าวิชาดาราคุ้มกายจะเป็นวิชาที่ล้ำเลิศถึงเพียงนี้ ไม่เพียงวิชานี้จะเหมาะกับร่างกายของข้า แต่ยังส่งเสริมการฝึกกำลังภายในของข้าให้ก้าวหน้าได้รวดเร็วมากขึ้นด้วย.. น่าประหลาดมากจริงๆ!”
เย่ซิงเฉินร้องบอกหลิงหยุนด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุขพร้อมกับโอ้อวดหลิงหยุนไปในตัว..
“ความจริงแล้วก็ไม่มีอะไรต้องประหลาดใจ..ไม่เพียงร่างกายของเจ้าจะเหมาะกับการฝึกดาราคุ้มกาย แต่ชื่อของเจ้ายังแปลว่าดวงดาวอีกด้วย..”
หลิงหยุนคิดไม่ถึงจริงๆว่า..นอกเหนือจากหนิงหลิงยู่ที่มีกายอัปสรแล้ว เขาจะได้พบเย่ซิงเฉินซึ่งเป็นหนึ่งในร้อยล้านที่มีกายดาราเช่นนี้! และเวลานี้หลิงหยุนก็มั่นใจอย่างมากว่า..แท้จริงแล้วเย่ซิงเฉินนั้นเป็นผู้ที่มีกายดารามาแต่กำเนิด!
…..
ผู้ที่มีกายดารานั้น..ไม่ได้หมายความว่ามีรูปร่างคล้ายกับดวงดาว แต่หมายความว่ามีร่างกายที่สามารถดูดเอาพลังดวงดาวเข้าไปช่วยในการบ่มเพาะกำลังภายในได้
ผู้ที่จะมีคุณสมบัติร่างกายเช่นเย่ซิงเฉินนี้เรียกได้ว่ามีเพียงหนึ่งในร้อยล้านคนเท่านั้น หรืออาจจะพูดได้ว่าในโลกใบนี้ จะมีเพียงแค่หนึ่ง และยากที่จะหาคนที่สองได้ก็น่าจะถูก!
“ฮ่า..ฮ่า.. ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ!”
หลิงหยุนหัวเราะออกมาอย่างมีความสุขและสายตาของเขาก็จับจ้องอยู่ที่ร่างของเย่ซิงเฉิน ราวกับว่ากำลังค้นพบสมบัติล้ำค่าชิ้นใหม่ในโลกใบนี้..
ผู้ที่กายดาราเช่นเย่ซิงเฉินนั้น..หากไม่ได้ฝึกวิชาดาราคุ้มกาย ก็ยากนักที่ค้นพบความวิเศษนี้ได้..
หลิงหยุนจึงไม่ประหลาดใจอีกแล้วว่า..เพราะเหตุใดเย่ซิงเฉินที่ไม่มีทรัพยากรในการฝึกฝนมากนัก แต่กลับสามารถเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ นั่นเพราะนางมีร่างกายซึ่งเปรียบเสมือนสมบัติล้ำค่านั่นเอง
‘ดูท่าการคัดเลือกศิษย์ของพรรคมารนั้นคงจะไม่ใช่การคัดเลือกแบบสุ่มสี่สุ่มห้าแน่ต้องชมท่านแม่ที่มีสายตาแหลงคมยิ่งนัก!’
หลิงหยุนมั่นใจว่าหากแม้แต่เขายังดูไม่ออกว่าเย่ซิงเฉินมีกายดาราคนของพรรคมาร และแม่ของเขาก็ย่อมดูไม่ออกด้วยเช่นกัน แต่หลิงหยุนเชื่อว่าแม่ของตนนั้นจะต้องมีวิธีการเฉพาะตัวในการคัดเลือกศิษย์ของตนเอง จึงได้ค้นพบร่างกายที่วิเศษเช่นนี้ของเย่ซิงเฉินได้..
หลิงหยุนรู้ดีว่ากายดาราของเย่ซิงเฉินนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่ากายอัปสรของหนิงหลิงยู่เลยแม้แต่น้อย เพียงแต่กายอัปสรนั้นจะดูดเอาพลังชีวิตที่อยู่ระหว่างสวรรค์กับผืนโลกเข้าไป ในขณะที่กายดารานั้นจะดูดเอาพลังดวงดาวทั่วทั้งจักรวาลเข้าไป..
…..
หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งหลิงหยุนก็พูดขึ้นว่า “ซิงเฉิน.. ข้าจะถ่ายทอดวิชาใหม่ให้กับเจ้า!”
ทันทีที่ได้ยินว่าหลิงหยุนจะถ่ายทอดวิชาให้เย่ซิงเฉินก็ร้องถามออกมาอย่างดีอกดีใจ “วิชาอะไรงั้นรึ!”
หลิงหยุนลุกขึ้นยืนพร้อมตอบกลับไปทันที“กายว่างเปล่าไร้ที่สิ้นสุด ดึงดูดดวงดาวนับร้อยล้านดวง.. มันคือวิชาสุญญตาดูดดาว!”
หลิงหยุนค้นพบวิชาสูญตาดูดดวงดาวนี้ในถ้าแห่งหนึ่งเมื่อครั้งที่อยู่ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่โดยบังเอิญ..