ทันทีที่หลิงหยุนได้เห็นเคล็ดวิชาสุญญตาดูดดาวเข้าเขาก็รู้ได้ทันทีว่าวิชานี้ผู้ที่จะฝึกฝนได้จะต้องมีร่างกายที่เหมาะสมเท่านั้น และวิชาสุญญตาดูดดาวนี้จะช่วยให้คนผู้นั้นสามารถข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ต่างๆ ไปได้..
หลังจากที่ท่องเคล็ดวิชาสุญญตาดูดดาวได้อย่างแม่นยำแล้วหลิงหยุนก็ได้ทำการเปรียบเทียบวิชาสุญตาดูดดาวกับวิชาดาราคุ้มกาย และพบว่าทั้งสองวิชานี้ต่างก็ส่งเสริมซึ่งกันและกัน แต่ก็มีบางส่วนที่แตกต่างกัน..
วิชาดาราคุ้มกายนั้นเป็นวิชาที่เน้นปรับสภาพร่างกายจึงไม่ต้องการผู้ที่มีร่างกายเหมาะสม ทุกคนสามารถฝึกฝนได้ เพียงแต่ยิ่งฝึกฝนไปการพัฒนาสู่ขั้นต่อๆไปก็จะยิ่งเป็นไปอย่างยากลำบากมากขึ้น
ในขณะที่วิชาสุญญตาดูดดาวนั้นตรงกันข้ามผู้ที่จะฝึกฝนวิชานี้ได้จะต้องเป็นผู้ที่มีร่างกายซึ่งสามารถกระตุ้นพลังดวงดาวได้เท่านั้น ไม่เช่นนั้นก็ยากที่จะฝึกฝนวิชานี้ได้ แต่หากสามารถฝึกฝนได้แล้ว ก็จะสามารถก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว..
ผู้ที่ฝึกวิชาสุญญตาดูดดาวนี้หากฝึกถึงขั้นหนึ่งก็จะสามารถควบคุม และดึงเอาพลังจากดวงดาวนับล้านๆดวงมาใช้ในการต่อสู้ได้ด้วย
ซึ่งจะคล้ายๆกับวิชาพลังลับหยิน–หยางหรือวิชาหยางพิสุทธิ์ที่หลิงหยุนฝึก และคล้ายกับวิชาคลื่นคงคาที่สามารถดึงเอาน้ำเข้ามาใช้ในการต่อสู้ได้ หรือคล้ายกับวิชาในคัมภีร์ปีศาจเก้าดวงดาวของไป๋เซียนเอ๋อ ที่ผู้ฝึกจะต้องมีคุณสมบัติที่ค่อนข้างสูงจึงจะสามารถฝึกฝนได้..
และใช่ว่าหลิงหยุนจะไม่ต้องการฝึกวิชาสุญญตาดูดดาวนี้เพียงแต่วิชานี้ต้องการผู้ที่มีคุณสมบัติค่อนข้างสูงมาก และในช่วงเวลาเพียงสั้นๆนี้ เขาเองก็ยังไม่สามารถเข้าถึงคุณสมบัติขั้นนั้นได้ อีกทั้งเวลานี้หลิงหยุนเองก็กำลังฝึกวิชาพลังลับหยิน–หยาง และวิชาหยางพิสุทธิ์อยู่ด้วย..
หลิงหยุนตั้งใจไว้ว่า..เมื่อใดก็ตามที่เข้าเข้าสู่ด่านสุดท้ายของขั้นพลังชี่ และเข้าสู่ดาราคุ้มกายขั้นที่สี่แล้ว เขาจึงจะเริ่มฝึกวิชาสุญญตาดูดดาวนี้ เพราะทั้งสองวิชาต่างก็ส่งเสริมซึ่งกันและกัน ทำให้ผู้ฝึกสามารถก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว..
แต่เพราะร่างกายของหลิงหยุนนั้นไม่ใช่กายดาราดังเช่นเย่ซิงเฉินเขาจึงทำได้เพียงแค่ดูดเอาพลังจากดวงดาวเข้ามาไว้ในร่างกายเท่านั้น และยังไม่สามารถดึงเอาพลังดวงดาวไปใช้ในการต่อสู้ได้..
แต่ครั้งนี้..วิชาสุญญตาดูดดาวได้พบกับผู้ที่มีคุณสมบัติเช่นเย่ซิงเฉินแล้ว!
ผู้ที่มีกายดารานั้น..หากฝึกวิชาดาราคุ้มกายควบคู่ไปกับวิชสุญญาตาดูดดาวแล้ว ผลจะออกมาเป็นเช่นใดนั้น แม้แต่หลิงหยุนเองก็อยากจะเห็นยิ่งนัก!
….. “วิชาสุญญตาดูดดาวงั้นรึ!”
“ถูกต้อง!”
หลิงหยุนตอบเย่ซิงเฉินพร้อมกับดึงมือนางพาวิ่งออกไปทางด้านทิศตะวันออกของภูเขาทันที..
“นี่..เจ้าต่อสู้มาทั้งคืนแล้ว ไม่เหน็ดเหนื่อยบ้างหรือยังไง!”
“ไม่เลย!”
ในเวลาเช่นนี้..แม้หลิงหยุนจะเหนื่อยล้ามาก แต่ก็ยากที่จะข่มตาให้หลับลงได้ เขาจึงพาเย่ซิงเฉินไปในที่ที่เขาเคยสอนวิชาดาราคุ้มกายให้กับนางครั้งก่อน
คืนนี้ท้องฟ้างดูเหมือนจะเป็นใจยิ่งนัก..เพราะแสงจันทร์เบาบาง ท้องฟ้าจึงค่อนข้างมืดมิด เผยให้เห็นดวงดาวมากมายนับไม่ถ้วนกำลังทอประกายแสงระยิบระยับ ราวกับไข่มุกมากมายที่ส่องประกายงดงามอยู่หน้าม่านสีดำขนาดใหญ่
“ซิงเฉิน..เจ้านั่งลงขัดสมาธิ และทำจิตใจให้ว่างเปล่า หรือไม่ก็จินตนาการว่าตัวเจ้าเองเป็นหนึ่งในกลุ่มดาวนับล้านๆดวงบนท้องฟ้านั่น จากนั้นลองพยายามบังคับควบคุมพลังดวงดาวที่อยู่บนฟากฟ้าดู..”
เย่ซิงเฉินนั่งลงขัดสมาธิตามที่หลิงหยุนบอกแต่ก่อนที่จะเริ่มทำสมาธิ นางก็อดที่จะเอ่ยถามหลิงหยุนขึ้นมาไม่ได้
“นี่เจ้าจะให้ข้าฝึกวิชาดาราคุ้มกายงั้นรึ!”
หลิงหยุนส่ายหน้าพร้อมตอบกลับไปว่า“ไม่ใช่.. ข้ากำลังจะสอนวิชาสุญญตาดูดดาวให้เจ้าต่างหากเล่า..”
เวลานี้เย่ซิงเฉินอยู่ในระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-8แล้ว และอีกเพียงแค่หนึ่งขั้นใหญ่ก็จะเข้าสู่ขั้นพลังเหนือธรรมชาติได้แล้ว การฝึกวิชาสุญญตาดูดดาวในเวลานี้จึงนับว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมยิ่งนัก!
เพราะหากฝึกก่อนหน้านี้..เย่ซิงเฉินก็คงจะฝึกวิชาสุญญตาดูดดาวได้ค่อนข้างลำบาก เย่ซิงเฉินพยักหน้าและหยุดการเจรจา แล้วเริ่มหลับตาลงเข้าสู่การทำสมาธิเพื่อสงบจิตใจทันที ในขณะที่หลิงหยุนเองก็ยืนอยู่ข้างๆ คอยคุ้มครอง และเริ่มถ่ายทอดวิชาสุญญตาดูดดาวให้กับเย่ซิงเฉิน..
เวลานี้หลิงหยุนสอนเพียงแค่วิธีฝึกฝนเพื่อเพิ่มพูนพลังดวงดาวสำหรับใช้ในการพัฒนาขั้นเท่านั้นส่วนเรื่องวิธีการดึงเอาพลังดวงดาวมาใช้ในการต่อสู้นั้น ต้องรอให้เย่ซิงเฉินสามารถบังคับควบคุมพลังดวงดาวให้ได้เสียก่อน..
หลิงหยุนท่องเคล็ดวิชาสุญญตาดูดดาวให้เย่ซิงเฉินฟังอย่างช้าๆเพราะเนื้อหาของวิชานี้ค่อนข้างลึกลับซับซ้อน และกว่าที่หลิงหยุนจะท่องให้เย่ซิงเฉินฟังอย่างช้าๆจนจบนั้น ก็กินเวลาไปถึงหนึ่งชั่วโมงเต็ม
‘เคล็ดวิชากว่าหนึ่งหมื่นแปดร้อยตัวอักษรเช่นนี้ไม่รู้ว่าซิงเฉินจะสามารถจดจำได้หมดในคราวเดียวหรือไม่!’
เวลานี้หลิงหยุนใกล้ที่จะเข้าสู่ระดับสุดท้ายชั้นซานฉางชี่แล้วจิตหยั่งรู้ของเขาจึงค่อนข้างทรงพลังยิ่งนัก เขาจึงใช้จิตหยั่งรู้ประกอบกับมังกรคำรามท่องเคล็ดวิชานี้ให้เย่ซิงเฉินได้ยินเพียงผู้เดียว เพื่อช่วยให้นางสามารถจดจำได้อย่างแม่นยำ
แต่หากหลิงหยุนเข้าสู่ด่านสุดท้ายของขั้นพลังชี่คือตั้งแต่ขั้นชีเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-7) ขึ้นไปได้แล้ว ก็ไม่จำเป็นที่เขาจะต้องมานั่งท่องเคล็ดวิชาเช่นนี้อีก เมื่อถึงตอนนั้นหลิงหยุนจะสามารถใช้พลังจิตที่แข็งแกร่งของตนเอง ถ่ายทอดเคล็ดวิชาเหล่านี้เข้าไปในจิตใจของคนผู้นั้นได้ในทันที!
แต่เย่ซิงเฉินเองก็ทำให้หลิงหยุนประหลาดใจไม่น้อยทีเดียว!เพราะเพียงแค่เขาท่องเคล็ดวิชาทั้งหมดจบเท่านั้น เย่ซิงเฉินก็สามารถจดจำได้ทุกตัวอักษร และความอัศจรรย์ก็กำลังปรากฏขึ้นต่อหน้าหลิงหยุนอย่างเหลือเชื่อ!
หลิงหยุนเห็นดวงดาวนับล้านๆดวงบนท้องฟ้าเริ่มรวมตัวร้อยเเรียงกันเป็นเส้นไหมนับร้อยล้านเส้น และเส้นไหมดาราเหล่านั้นก็กำลังพุ่งเข้าสู่ร่างของเย่ซิงเฉินอย่างน่าตกตะลึง!
ภาพที่หลิงหยุนเห็นเวลานี้ไม่ต่างจากภาพที่เวลาหลิงหยุนฝึกวิชาดาราคุ้มกาย และมีแสงจันทร์และแสงดาวพุ่งทอดตรงเข้าสู่ร่างกายเลยแม้แต่น้อย..
‘นี่มันอะไรกัน!ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ!’
หลิงหยุนตกใจสุดขีดเพราะเขารู้ดีว่าเส้นไหมดวงดาวหลายล้านเส้นที่ทอดลงมาจากท้องฟ้าเข้าสู่ร่างของเย่ซิงเฉินนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นพลังของเหล่าดวงดาราทั้งสิ้น!
ยิ่งไปกว่านั้น..การที่เย่ซิงเฉินฝึกวิชาสุญญตาดูดดาวนั้น ไม่เพียงพลังจากเหล่าดวงดาราที่เข้าสู่ร่างกายของนางนั้น จะช่วยปรับสภาพร่างกายของนางให้แข็งแกร่งขึ้นแล้ว แต่พลังเหล่านี้จะยังสามารถช่วยให้เย่ซิงเฉินใช้พลังเหนือธรรมชาติได้อีกด้วย..
กายดาราเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก! ……
‘คิดไม่ถึงว่าซิงเฉินจะมีความจำที่น่าทึ่งเช่นนี้!อีกทั้งยังมีความเข้าใจที่หาผู้ใดเทียบได้ยากอีกด้วย..’
สิ่งที่ทำให้หลิงหยุนนึกทึ่งในตัวของเย่ซิงเฉินนั้นไม่เพียงกายดาราของนาง แต่ยังเป็นความจำและความเข้าใจของนางด้วย..
นั่นเพราะวิชาสุญญตาดูดดวงดาวนั้นไม่เพียงมีอักษรถึงหนึ่งหมื่นแปดร้อยตัว แต่ยังเป็นเคล็ดวิชาที่เขียนด้วยคำโบราณ จึงยากที่ผู้คนในยุคสมัยนี้จะสามารถพูด และท่องได้คล่องปากโดยไม่ติดขัด..
และต่อให้หลิงหยุนใช้มังกรและจิตหยั่งรู้ช่วยแต่เพียงแค่หนึ่งหมื่นตัวอักษรก็น่าจะเกินกว่าที่ความทรงจำของเย่ซิงเฉินจะจดจำได้แล้ว..
ไม่เพียงเย่ซิงเฉินจะสามารถจดจำเคล็ดวิชาทั้งหมดได้แต่นางยังสามารถเข้าใจเคล็ดวิชาที่ซับซ้อนนี้ได้อย่างรวดเร็ว และยังสามารถเริ่มลงมือฝึกฝนได้ในทันทีอีกด้วย! ‘คุณสมบัติเช่นนางนั้นหาได้ยากยิ่งนัก!’
หลิงหยุนจ้องมองพลังดวงดาวที่ไหลเข้าสู่ร่างของเย่ซิงเฉินอย่างต่อเนื่องและได้แต่ถอนหายใจออกมาพร้อมกับคิดอยู่ในใจว่า คุณสมบัติและพรสวรรค์เช่นนี้ มีเพียงหนิงหลิงยู่ผู้เดียวเท่านั้นที่จะสามารถทัดเทียมกับนางได้!
แต่สำหรับตัวหลิงหยุนเองนั้นแทบไม่ต้องพูดถึง..คุณสมบัติและพรสวรรค์ของเขาย่อมเหนือกว่าหญิงสาวทั้งสองเป็นแน่!
หลิงหยุนยังคงยืนคุ้มครองเย่ซิงเฉินอยู่เช่นนั้นจนกระทั่งเวลาล่วงเข้าสู่สามนาฬิกา..
ตูม!
หลังจากที่ร่างของเย่ซิงเฉินดูดเอาพลังดวงดาวเข้าไปมากขึ้นเรื่อยๆร่างของนางก็เริ่มล่องลอยอยู่กลางอากาศโดยที่นางเองก็ไม่รู้ตัว ร่างกายของเย่ซิงเฉินดูเหมือนจะเบาลงเรื่อยๆ และล่องลอยราวกับเป็นหนึ่งเดียวกับท้องนภาในยามค่ำคืน จากนั้นร่างงดงามของเย่ซิงเฉินก็ค่อยๆ เปล่งประกายสว่างไสวเช่นเดียวกับดวงดาวบนท้องฟ้า..
“รวดเร็วถึงเพียงนี้เชียวรึ!นี่นางเริ่มที่จะควบคุมพลังดวงดาวได้แล้วหรือนี่?!”
หลิงหยุนจ้องมองภาพที่เห็นด้วยความรู้สึกตื่นเต้นตกใจเขารู้ดีว่าที่เย่ซิงเฉินสามารถทำเช่นนี้ได้ เป็นเพราะว่านางเริ่มที่จะควบคุมพลังดวงดาวได้แล้วนั่นเอง..
สำหรับวิชาสุญญตาดูดดาวนั้นการดูดเอาพลังดวงดาวเข้าไปในร่างกายเป็นเพียงขั้นตอนเริ่มต้นเท่านั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือการควบคุมพลังดวงดาวเหล่านั้นให้หลอมรวมตัวกันเข้าสู่จุดตันเถียน และเส้นลมปราณทั่วร่างได้อย่างสมบูรณ์ หลังจากนั้นจึงนำพลังเหล่านั้นไปใช้อย่างอื่นต่อไป..
ไม่เช่นนั้นแล้ว..พลังดาวดาวที่ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะนำเอาพลังดวงดาวเหล่านี้ไปใช้ในการต่อสู้กับศัตรูได้!
หลิงหยุนจ้องมองร่างของเย่ซิงเฉินที่กำลังส่องสว่างและล่องลอยอยู่ในอากาศ และรู้ว่าเวลานี้นางได้ก้าวผ่านช่วงเวลาที่อันตรายได้สำเร็จแล้ว..
แต่ถึงกระนั้น..ก็ยังไม่มีวี่แววว่าเย่ซิงเฉินจะหยุดการฝึกฝน และนั่นเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่า นางกำลังอยู่ในสมาธิขั้นลึกจนกระทั่งตัดทุกสิ่งทุกอย่างรอบกายออกไปได้..
“ดูท่านางคงกำลังจะเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-9เป็นแน่!”
หลิงหยุนถึงกับตกตะลึงและจ้องมองร่างของเย่ซิงเฉินที่กำลังล่องลอยไปมา พร้อมกับนึกคาดเดาไปต่างๆนานา
แต่หลังจากนั้นไม่นาน..จู่ๆ เย่ซิงเฉินก็หยุดฝึกฝนเอาดื้อๆ นางลืมตาขึ้นมาช้าๆ พร้อมกับพ่นลมหายใจออกทางปาก
“ฮู่ว..หลิงหยุน.. วิชานี้ช่างน่าอัศจรรย์นัก!” novel-lucky
ทันทีที่ร่างของเย่ซิงเฉินร่อนลงสู่พื้นดินนางก็ร้องอุทานออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น..
หลิงหยุนไม่ตอบอะไร..เขาได้แต่จ้องมองดวงตาทั้งคู่ของเย่ซิงเฉินซึ่งเวลานี้เป็นสีดำขลับราวกับท้องจักรวาล และเป็นประกายระยิบระยับราวกับแสงของดวงดาว ทั้งหมดยิ่งขับให้ความงดงามของเย่ซิงเฉินโดดเด่นมากขึ้นจากเดิมอีกหลายเท่าตัว..
หลิงหยุนมั่นใจว่า..เวลานี้เย่ซิงเฉินสามารถฝึกฝนวิชาสุญญตาดูดดาวด้วยตัวเองได้ โดยที่ไม่ต้องมีเขาคอยกำกับดูแลอีกต่อไปแล้ว จึงได้แต่เอ่ยชื่นชมออกมา..
“แต่ข้าว่าการฝึกฝนของเจ้านั้นน่าอัศจรรย์เสียยิ่งกว่าวิชาสุญญตาดูดดาวนี้หลายเท่านัก!”
เพียงแค่การฝึกในครั้งแรกเย่ซิงเฉินก็สามารถผ่านช่วงวิกฤตไปได้ด้วยดีเช่นนี้ และเริ่มที่จะหลอมรวมพลังดวงดาวเข้าสู่จุดตันเถียน และเส้นลมปราณได้แล้ว
และที่สำคัญ..เย่ซิงเฉินไม่อาศัยโอกาสนี้เข้าสู่ขั้นต่อไปของการฝึกกำลังภายใน เช่นนี้แล้วย่อมแสดงให้เห็นว่านางสามารถแยกแยะการบ่มเพาะออกจากวิชาสุญญตาดูดดาวนี้ได้ และนั่นเป็นการบ่งบอกว่านางเป็นคนไม่โลภมาก!
“หลิงหยุน..ขอบใจเจ้ามาก!”
“ฮ่า..ฮ่า.. หากเจ้าต้องการจะขอบคุณข้าจริงๆ ก็ควรจูบข้าเป็นการตอบแทน!”
หลิงหยุนจงใจยั่วเย่ซิงเฉินพร้อมกับหัวเราะออกมาเสียงดัง..
“เจ้าอย่าได้ฝันไป!”
เย่ซิงเฉินตอบกลับไปพร้อมกับทำตาขวางใส่หลิงหยุนแต่หลิงหยุนไม่ได้คาดหวังว่านางจะทำเช่นนั้นจริงๆ จึงรีบถามในสิ่งที่ตนอยากรู้ต่อ..
“ซิงเฉิน..เจ้าฝึกวิชานี้แล้วรู้สึกเช่นใดบ้าง”
เย่ซิงเฉินตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ข้ารู้สึกว่าวิชาสุญญตาดูดดาวนี้ราวกับมีไว้เพื่อข้าอย่างแท้จริง! อีกทั้งวิชาสุญญตาดูดดาวกับวิชาดาราคุ้มกายนั้น ยังส่งเสริมซึ่งกันและกันอีกด้วย!”
“เมื่อคู่ที่ข้าฝึกวิชาสุญญตาดูดดาวนั้นข้าก็สัมผัสได้ว่าพลังดวงดาวที่ไหลเข้าสู่ร่างกายของข้า ดูเหมือนจะส่งผลกับวิชาดาราคุ้มกายด้วย คล้ายกับว่าวิชาหนึ่งอยู่ภายใน ส่วนอีกหนึ่งอยู่ภายนอก ทั้งสองส่งเสริมกันและกันคล้ายกับหน่อไม้ที่อาศัยต้นไผ่ในการแตกหน่อ..”
หลิงหยุนฟังคำพูดของเย่ซิงเฉินแล้วก็ได้แต่นึกดีใจว่าตนนั้นได้เลือกผู้ฝึกวิชาสุญญตาดูดดาวได้ไม่ผิด จากนั้นจึงถามต่อว่า..
“เหตุใดเจ้าจึงไม่ยอมเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-9เล่า”
เย่ซิงเฉินหันไปยิ้มให้หลิงหยุนพร้อมกับตอบว่า“ข้าเกรงว่าเจ้าจะเหนื่อย และต้องยืนรอข้านานเกินไปน่ะสิ!”
“อีกอย่าง..ข้าเองก็ยังมีเวลาฝึกฝนอีกมาก และไม่ได้รีบร้อนนัก!”
“ไปกันได้แล้ว..”
เย่ซิงเฉินเอื้อมมือไปดึงแขนหลิงหยุนพร้อมกับดึงให้เดินออกไปด้วยท่าทีสนิทสนมหลิงหยุนเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข พร้อมกับหันไปถามเย่ซิงเฉินด้วยความสงสัย
“ไปใหนงั้นรึ!”
“ถามอะไรโง่ๆก็กลับบ้านไปพักผ่อนน่ะสิ! นี่มันตีสี่แล้วนะ.. ตั้งแต่เจ้ากลับจากการประลอง เจ้ายังไม่ได้พักผ่อนเลยไม่ใช่รึ อย่าลืมว่าร่างกายของเจ้าไม่ได้ทำด้วยเหล็กไหลนะ!”
…..
เมื่อทั้งคู่เดินเข้าไปในบ้านหลิงหยุนก็เริ่มอธิบายประโยชน์ของวิชาสุญญตาดูดดาวให้เย่ซิงเฉินฟังต่อ แต่เย่ซิงเฉินกลับร้องตะโกนห้ามทันที..
“เจ้าหยุดพูดเดี๋ยวนี้!แล้วก็เข้าไปนอนพักผ่อน มีเรื่องอะไรต้องการจะบอกข้า ไว้เจ้าตื่นนอนแล้วเราค่อยพูดคุยกัน!”
หลิงหยุนได้แต่แอบคิดในใจว่า..เย่ซิงเฉินดูเหมือนจะเข้าใจความเจ็บปวดในใจของตนได้เป็นอย่างดี แต่ก็แสร้งทำเป็นถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม..
“แต่เตียงนี้ไม่เล็กไปหน่อยรึหากจะนอนพร้อมกันสองคน!”
เย่ซิงเฉินผลักร่างของหลิงหยุนไปที่เตียงพร้อมกับตอบไปว่า“ข้าบอกให้เจ้าพักผ่อน.. แต่ไม่ได้บอกเจ้าว่าข้าจะนอนกับเจ้าด้วยนี่!”
หลิงหยุนถึงกับพูดไม่ออกและได้แต่คิดในใจว่าเย่ซิงเฉินไม่เคยเปิดโอกาสให้เขาได้เอารัดเอาเปรียบเลยแม้แต่น้อย..
“เช่นนั้นข้าก็จะพักผ่อนก่อนแล้วนะ!”
เย่ซิงเฉินยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า“อืมม.. นอนหลับฝันดีล่ะ!”
…..
หลิงหยุนล้มตัวนอนลงบนเตียงเขาตัดทุกอย่างออกจากความคิดและจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการฝึกฝน หรือเรื่องราวในตระกูลที่วุ่นวาย แล้วนอนหลับไปทันที!
‘หลิงหยุน..ขอบใจเจ้ามาก!’ เย่ซิงเฉินแอบเข้ามาในห้องนอนอีกครั้งและเมื่อพบว่าหลิงหยุนนอนหลับสนิทแล้ว นางก็โน้มตัวลงทำท่าจุมพิตหลิงหยุน แต่ริมฝีปากของนางไม่ได้สัมผัสที่ริมฝีปากของหลิงหยุนเลยแม้แต่น้อย และเพียงแค่นี้ก็นับว่าเกินขอบเขตสำหรับหญิงสาวอย่างเย่ซิงเฉินมากแล้ว..
“ช่างน่าอายนัก!”
เย่ซิงเฉินรำพึงรำพันออกมาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำพร้อมกับรีบยืดตัวตรงทันทีจากนั้นจึงรีบวิ่งหนีออกไปจากห้องนอนของหลิงหยุน
ระหว่างที่หลับอยู่นั้น..หลิงหยุนก็แลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปาก และเขาก็นอนหลับฝันหวานไปนานถึงสิบสองชั่ว
และลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งเวลาสี่โมงเย็น!