ตอนที่ 559 เปาะแปะ เปาะแปะ + ตอนที่ 560 หญิงมีความสามารถของบ้านเรา โดย Ink Stone_Romance
ตอนที่ 559 เปาะแปะ เปาะแปะ
เมื่อถึงคราวเสียงประทัดยามค่ำคืนดังขึ้น ขณะที่คนทั้งบ้านมานั่งทานข้าวร่วมโต๊ะอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาเหมยเหมยถึงได้เข้าใจ
หลังทุกคนประจำตำแหน่งที่นั่งแต่กลับไม่รีบเร่งลงมือทานข้าว ฮูหยินผู้เฒ่าจัดถ้วยชามหนึ่งชุดแล้วเติมเกี๊ยวสดใหม่ร้อนๆ เต็มถ้วยวางไว้ที่ตำแหน่งว่าง
“เจ้าหนึ่ง หลานสาวของแกกลับบ้านแล้ว วันดีๆ แบบนี้แกกินเยอะๆ หน่อยนะ” ฮูหยินผู้เฒ่าดูท่าทางเศร้าโศกอย่างมาก คนอื่นเองก็มีสีหน้าเช่นเดียวกัน
เหมยเหมยเริ่มเข้าใจแล้ว ดูท่าทางเธอจะมีคุณลุงอีกหนึ่งคนและคุณลุงคนนี้คงไม่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุอะไรเท่านั้น!
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้รู้สึกย่ำแย่จนทานอะไรไม่ลงเหมือนปีที่ผ่านมา ไม่นานกลับมายิ้มแย้มเหมือนเดิมพลางตักผักให้เหมยเหมยอย่างกระตือรือร้น บรรยากาศกลับมาครึกครื้นเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ
หลังทานอาหารอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาเสร็จทุกคนมาร่วมนั่งดูรายการปีใหม่ด้วยกัน รายการปีใหม่ทั้งประเทศในขณะนี้แม้จะมีเวทีขนาดเล็กไม่อลังการแต่กลับมีนักแสดงที่มีฝีมือมากมาย ต่อให้ขาดเวทีโอ่อ่าและองค์ประกอบชุดสุดหรู แต่รายการสนุกของพวกเขากลับพาเหล่าผู้ชมในยุคสมัยนี้ให้ได้ฟังผลงานระดับชั้นยอด คนทั้งครอบครัวมือตบท้องระเบิดเสียงหัวเราะเพราะการแสดงบทสนทนาตลกขนาดเล็กนี้
“การเต้นรำของเหมยเหมยของผมไม่แย่ไปกว่าคนพวกนั้นเลย เธอเคยร่วมงานแสดงเทศกาลปีใหม่ของเมืองจินด้วยแน่ะ!”
จ้าวอิงหัวอวดลูกสาวตัวเองตลอดเวลา ความจริงเขาพูดถ่อมตัวไปด้วยซ้ำ ในมุมมองของเขาการเต้นรำของลูกสาวงดงามกว่าคนในโทรทัศน์หลายร้อยเท่า
“ทำไมไม่เคยได้ยินเจ้าสามพูดถึงเลย ไม่น่าเลยจริงๆ!”
ทุกคนไม่สนใจโทรทัศน์อีกต่อไปต่างเรียกร้องให้เหมยเหมยแสดงให้พวกเขาดูสักท่อน เทียบกับนักแสดงในโทรทัศน์แล้วพวกเขายอมดูเจ้าหญิงตัวน้อยของบ้านตัวเองมากกว่านี่นา!
เหมยเหมยลุกยืนอย่างเขินอาย เธอถลึงตาใส่จ้าวอิงหัวที่ยิ้มปากไม่หุบอย่างคาดโทษ ขี้โม้จนตัวจะลอยอยู่แล้ว เธอเต้นรำเป็นแค่น้อยนิดเท่านั้นจะเทียบกับนักแสดงมืออาชีพได้อย่างไร!
“หนูเรียนมาแค่สองเดือนกว่า เต้นไม่ดีอย่าหัวเราะเยาะหนูนะ!”
เหมยเหมยพูดอ้ำอึ้งเป็นเชิงบอกกล่าวไว้ล่วงหน้า หากถ้าพลาดขึ้นมาเธอจะได้ไม่ขายหน้าเกินไป
“ไม่หัวเราะเยาะหรอก ใครกล้าหัวเราะปู่จะตบมันให้!” ท่านผู้เฒ่าจ้าวพูดยิ้มตาหยี เขารู้สึกว่าต่อให้หลานสาวยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับก็ดูดีกว่าคนในโทรทัศน์ตั้งมาก!
มีคำมั่นสัญญาของท่านผู้เฒ่าแล้วเหมยเหมยก็สบายใจไม่น้อย ทุกคนเปิดทางเว้นพื้นที่ขนาดใหญ่ให้เธอ โชคดีที่บ้านตระกูลจ้าวกว้างมากพอ ไม่อย่างนั้นอย่าว่าแต่เต้นรำเลย แค่หมุนรอบตัวเองยังยาก!
สยงมู่มู่เองก็อุ้มกู่เจิงของตัวเองมาดีดดนตรีประกอบ เหมยเหมยถอดเสื้อไหมพรมออกเหลือเพียงเสื้อตัวข้างใน ตั้งท่าเต้นรำอย่างดีเผยให้เห็นท่วงท่าสง่างาม แม้คนตระกูลจ้าวไม่รู้เรื่องเต้นรำแต่ก็แยกความสวยกับความน่าเกลียดได้ และพอได้ดูแล้วหยุดพยักหน้าไม่ได้
“สวย หลานสาวของฉันสวยจริงๆ!”
ท่านผู้เฒ่าจ้าวพูดชมไม่ขาดปาก เขาบอกแล้วว่าแค่หลานสาวยืนนิ่งไม่ขยับก็ดูดีแล้ว!
รอเสียงดนตรีบรรเลงขึ้นเหมยเหมยเริ่มขยับท่าตามเสียงดนตรีประกอบ ตระกูลจ้าวที่แต่แรกไม่ได้ใส่ใจมากนักก็ถูกท่วงท่าเต้นรำแสนสง่างามนี้ดึงดูดความสนใจไปในชั่วพริบตา เริ่มชมอย่างตั้งใจ พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าเหมยเหมยเต้นรำได้สวยขนาดนี้ จ้าวอิงหัวพูดไม่ผิดเลย ดูดีกว่าพวกคนในจอโทรทัศน์ร้อยเท่า!
เหมยเหมยหมุนรอบสุดท้ายเสร็จก็ลุกจากพื้นหอบเบาๆ ใบหน้าดวงเล็กแดงปลั่ง หานซู่ฉินเอาเสื้อกันหนาวมาคลุมตัวเธอไว้แล้วยิ้มตาโค้ง
“รีบใส่เสื้อเร็ว เด็กนี่ก็ไม่เวียนหัวเลยนะ ฉันแค่ดูก็เวียนหัวแล้ว อย่างน้อยต้องหมุนไปหลายสิบรอบเลยใช่มั้ย?”
คนตระกูลจ้าวที่ทำหน้าอึ้งอยู่ถึงดึงสติกลับมาได้ ท่านผู้เฒ่าตวาดเสียงทุ้มต่ำ “มัวนิ่งทำไม ปรบมือสิ!”
เสียงปรบมือดังเปาะแปะถึงดังกระหึ่มขึ้นมาทันท่วงที ทุกคนต่างปรบมือจากใจจริงพร้อมดวงตาฉายแววชื่นชมเหมยเหมย
เจ้าหญิงตัวน้อยของพวกเขามีดีทั้งหน้าตาและความสามารถ นำหน้าลูกสาวบ้านอื่นไปตั้งหลายขุม!
…………………….
ตอนที่ 560 หญิงมากความสามารถของบ้านเรา
ฮูหยินผู้เฒ่ากอดเหมยเหมยไว้อย่างปลื้มใจ “เจ้าตัวร้าย ชอบโกหกหลอกเรา ขนาดนี้แล้วยังบอกเต้นไม่ดี ถ้าหนูฝึกดีกว่านี้คงลอยทะลุฟ้าไปแล้วละมั้ง!”
จ้าวอิงหนานยิ้มกล่าว “แม่คะ เหมยเหมยไม่ได้หลอกแม่นะ เธอเพิ่งเรียนเต้นรำมาได้แค่สองเดือนกว่า คนที่จุดประกายเธอคือเหวินจิ้ง ลูกสาวของลุงเฮ่อ แม่ยังจำได้ใช่มั้ย ทักษะการวาดรูปและเต้นรำของเหมยเหมยได้เหวินจิ้งมาช่วยจุดประกายทั้งนั้น เหวินจิ้งบอกว่าเหมยเหมยของเรามีพรสวรรค์ด้านการวาดรูปแล้วก็เต้นรำ เธอเกิดมาเพื่อด้านนี้โดยเฉพาะเลยนะ”
ทันใดนั้นคนที่เหลือก็ตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน หลังได้ชมการเต้นรำของเหมยเหมยพวกเขาต่างรู้สึกว่าที่เหมยเหมยบอกว่าเรียนเต้นรำแค่สองเดือนกว่านั่นเป็นคำพูดแสดงความถ่อมตนทั้งนั้น
ในเมื่อลักษณะการพูดจาของชาวจีนดั้งเดิมเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร ก่อนจะทำอะไรต้องกดตัวเองให้ต่ำ เช่นนั้นแล้วต่อให้ทำได้ไม่ดีพอก็มีเหตุผลที่จะแก้ต่างให้ตัวเอง พวกเขาคิดว่าเหมยเหมยก็เป็นเช่นนั้น
เพียงแต่พอได้ยินคำของจ้าวอิงหนาน พวกเขาก็ตะลึงอีกครั้ง
“เรียนแค่สองเดือนกว่าก็เต้นได้ดีขนาดนี้เชียวเหรอ?” หานซู่ฉินไม่ค่อยเชื่อเท่าไร
แม้เธอไม่ได้รับผิดชอบกลุ่มร้องและเต้นรำแต่ก็มีเพื่อนอยู่ฝ่ายนั้น จากลักษณะของเหมยเหมย เด็กสาวที่ฝึกฝนอยู่ในกลุ่มร้องและเต้นมาปีกว่ายังไม่มีทักษะเคลื่อนไหวได้ดีเทียบเท่าด้วยซ้ำ!
จ้าวอิงหนานชี้ไปที่คุณพ่อสยงแล้วกล่าว “ถ้าพี่สะใภ้รองไม่เชื่อก็ถามฉูฉู่ได้เลย ถ้าเป็นเขาพูดละก็ พี่สะใภ้น่าจะเชื่อได้แล้วสินะ!”
คุณพ่อสยงยิ้มพยักหน้า “พี่สะใภ้รอง อิงหนานไม่ได้โกหกพี่นะ เหมยเหมยเพิ่งเรียนมาได้สองเดือนกว่าจริงๆ เธอมีพรสวรรค์ด้านนี้สูงมาก เหมือนที่เธอเรียนวาดรูปแค่หนึ่งเดือนกว่าก็ร่วมแข่งขันระดับเมืองเอาชนะเด็กคนอื่นที่เรียนวาดรูปมาหลายปีจนได้รองชนะเลิศมา ปีนี้จะมาแข่งขันระดับประเทศที่เมืองหลวงตอนช่วงฤดูใบไม้ผลิอีกด้วยแน่ะ!”
“โอ๊ย! หลานสาวของฉันทำไมเก่งแบบนี้ จากนี้ตระกูลจ้าวเราก็มีหญิงที่มากความสามารถแล้วล่ะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่าฟังแล้วดีใจอย่างมาก เรื่องเดียวที่คนสูงวัยอย่างเธอนึกเสียใจทีหลังในชีวิตนี้ก็คือไม่ได้ร่ำเรียนตำราหนังสือมากพอ วันๆ ถูกชมยกย่องว่าเป็นวีรสตรีของชาติ ความจริงเธอนึกอิจฉาเหล่าหญิงสาวผู้มากความสามารถในด้านแต่งกลอนวาดรูปต่างหาก!
ไม่เหมือนเธอที่สองมือนอกจากกำมีดถือปืนก็จับอย่างอื่นไม่ถนัดมืออีก ตัวหนังสือที่เขียนน่าเกลียดยิ่งกว่าอะไร ช่างน่าอับอายเหลือเกิน!
ฮูหยินผู้เฒ่าอิจฉาที่เหมยเหมยทั้งเก่งวาดรูปและเต้นรำได้ ขณะเดียวกันก็ภาคภูมิใจ แม้เธอช่างกวนจินเยี่ยนไม่ใช่หญิงมากความสามารถ แต่เธอก็มีหลานสาวที่ทั้งสวยและเก่งคนหนึ่ง
ว่ากันว่าหลานสาวจะเหมือนคุณย่า เป็นไปได้ที่เธออาจจะมีศักยภาพพอจะเป็นหญิงมากความสามารถแค่ยุคสมัยเป็นตัวถ่วง หากเธอเกิดในยุคที่สงบสุข ไม่แน่อาจจะเปลี่ยนจากกำมีดถือปืนเป็นวาดรูปเขียนตัวหนังสือแทน!
จ้าวอิงหัวไม่รู้ความคิดฉบับสาวน้อยในใจมารดาตัวเอง เขายิ้มกล่าว “เหมยเหมยสืบพรสวรรค์มาจากคุณตาคุณยายของเธอ พ่อตาของผมเหยียนตานชิงมีความสามารถล้นเหลือ ทักษะการวาดรูปนับได้ว่าชั้นยอด แม่ยายของผมตอนนั้นเป็นเสาหลักของทีมร้องและเต้นของเมืองจิน”
เป็นครั้งแรกที่จ้าวอิงหัวเปิดเผยเบื้องหลังครอบครัวของเหยียนซินหย่าต่อหน้าครอบครัว เรื่องราวในอดีตนี้ไม่เคยถูกเอ่ยถึงแม้อยู่ต่อหน้าพ่อแม่ตัวเอง แค่กล่าวถึงผ่านๆ เท่านั้น
ชื่อเหยียนตานชิง ต่อให้ตระกูลจ้าวเป็นตระกูลนักรบผู้หยาบกร้านมาตลอดก็เคยได้ยินมาก่อน บอกได้เลยว่าเป็นคดีใหญ่แรกของชาวจีนในอดีตที่โดนใส่ร้าย
ท่านผู้เฒ่าจ้าวนิ่งชะงักไปนานก่อนบอกกับเหยียนซินหย่าว่า “หลายปีนั้นลำบากเธอแย่เลยนะ!”
เหยียนซินหย่าน้ำตาไหลตามแล้วพูดเสียงติดสะอื้น “ตอนนั้นหนูไม่ได้ทำหน้าที่ลูกสะใภ้ที่ดี แต่พ่อกับแม่ก็ยังเมตตาไม่ถือสาอะไรหนู หนูเสียใจมากจริงๆ”
ฮูหยินผู้เฒ่าจ้าวถอนหายใจ หากจะว่าไปอดีตเธออคติต่อลูกสะใภ้คนเล็กจริงๆ ทำตัวอ่อนแอเหมือนเต้าหู้ นอกจากจะดูแลลูกชายหลานชายเธอไม่ได้แล้วกลับต้องให้ลูกชายเธอดูแลแทน แต่เธอใจกว้างพอจะรู้ว่าลูกหลานย่อมมีชีวิตเป็นของตัวเอง อยู่ให้ห่างไม่ให้ตาเห็นก็พอ อย่าสอดมือเข้าไปยุ่งเรื่องของลูกหลานมากเกินไป
ตอนนี้พอได้ฟังคำอธิบายของจ้าวอิงหัวเธอก็เริ่มเข้าใจเหยียนซินหย่าว่า การที่อดทนผ่านสถานการณ์ยากลำบากเช่นนั้นมาเพียงลำพังได้นั้นก็บ่งบอก ได้ว่าลูกสะใภ้คนเล็กเธอไม่ใช่ดอกไม้บอบบาง คู่ควรเหมาะสมกับลูกชายเธอ
“ชีวิตต้องมองไปข้างหน้า ตอนนี้เหมยเหมยกลับบ้านแล้ว แม่ต้องเข้มแข็งเป็นตัวอย่างให้ลูก จากนี้ไปเธอต้องฮึดสู้แล้วนะ!” ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าว
เหยียนซินหย่าอดพยักหน้าไม่ได้ เธอต้องเข้มแข็งเพื่อชดเชยความห่วงใยต่อสามีและลูกชายตลอดหลายปีที่ผ่านมา ชดเชยความรักของแม่ต่อลูกสาว สิ่งเหล่านี้เธอติดค้างพวกเขาไว้ทั้งนั้น
…………………….