นางรีบตามซือหยูไปแต่เขาก็คลาดสายตาไปแล้ว
ในหมู่ผู้คนผู้เฒ่าที่ให้บรรยากาศแปลกจากคนอื่นหันไปมองหอเคลื่อนย้าย เขามองเห็นนางที่เพิ่งรีบออกมา
“นางต้องการจะจับตัวข้าให้ราชาเขตกลางรึ?”
ซือหยูคิดโชคดีที่เขาใช้พลังเวลาเปลี่ยนรูปลักษณ์ทันการ มิเช่นนั้นเขาคงมิอาจเลี่ยงการต่อสู้กับอสูรเนรมิตรไปได้
ซือหยูมองหาที่พักเพื่อรอคอยหยุนหยาซือเงียบๆ
ถ้าหยุนหยาซือไม่เป็นอันตรายเขาควรจะพบพลังของซือหยูและตามมาได้ในเวลาหนึ่งวัน แต่ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นล่ะก็…
ซือหยูส่ายหน้าเขาพลิกฝ่ามือเรียกหยดโลหิตสีทองทั้งสามหยดออกมา มันคือโลหิตเทพของเทพอสูรกระดูกโรย
ซือหยูมองหยดโลหิตด้วยสีหน้ายินดีเขายกมือที่มีหยดโลหิตไปที่หน้าผาก
หม้อเก้ามังกรที่อยู่ลึกในดวงวิญญาณดูดซับโลหิตเหล่านั้นลงสู่หม้อมันทำราวกับมีจิตสำนึกของตัวเอง
ซือหยูขมวดคิ้วก่อนหน้านี้ โลหิตเทพมังกรหยดเดียวได้ทำให้หม้อเก้ามังกรผลิตโลหิตออกมาได้หนึ่งในสิบส่วนของหม้อ
แล้วโลหิตสามหยดนี้จะได้เท่ากันหรือไม่?
ซือหยูคิดถึงตอนที่เทพปีศาจเล่าเรื่องพลังของเทพมังกรซือหยูจึงคิดได้ว่าโลหิตเทพก็น่าจะมีพลังในระดับที่แตกต่างกันเช่นกัน
เขาจับจ้องดูหม้อเก้ามังกรและรู้สึกพอใจที่หม้อทำตามสิ่งที่เคยเป็นมันสั่นครู่หนึ่งก่อนจะมีโลหิตเทพไหลออกมา
เมื่อมันไหลไปถึงมังกรมรกตมันทำให้มังกรหนึ่งในสามส่วนก่อตัวขึ้นมา รวมจากครั้งที่แล้ว มังกรสองในสามส่วนได้เกิดขึ้นมาแล้ว
หัวใจของมันเต้นด้วยคลื่นความอบอุ่นมังกรมรกตในมือซ้ายของเขากระจ่างใสขึ้นดั่งผลึกบริสุทธิ์
พร้อมกันนั้นยังมีข้อความประหลาดผุดขึ้นมาในใจ
“หัวใจอมตะ…”
ซือหยูรู้สึกสับสนเขาค่อย ๆ ตกใจมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเบิกตากว้าง
หัวใจของซือหยูกลายเป็นสีเขียวหยกและมันเต้นไม่หยุด มันเต็มไปด้วยพลังแห่งชีวิต
ถ้าหากเทียบกับพลังชีวิตของหยินมู่มันก็เทียบพลังของซือหยูไม่ได้เลย
ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้เขาใช้พลังจนหมด เขาก็ยังคงสร้างมันขึ้นได้ใหม่จนกว่าหัวใจจะแตกสลาย
ด้วยหัวใจดวงนี้ไม่ว่าซือหยูใช้พลังย้อนเวลาเมื่อใด เขาจะไม่ต้องกังวลอีกต่อไปแล้ว
“มังกรก่อตัวในเวลาไม่มากเลย!เป็นเพราะโลหิตเทพที่ทำให้ข้าเติบโตไปอีกขั้น!”
ซือหยูพอใจ
เขาค้นหาความเปลี่ยนแปลงในร่างกายต่อไปและพบพลังอีกสองชนิด
เขาคุ้นเคยกับพลังแรกมันคือพลังมังกร ส่วนอีกพลังคือพลังที่ต่างออกไป
พลังมังกรจะต้องมาจากโลหิตมังกรที่เข้าสู่สายโลหิตของเขา
ส่วนพลักอื่นนั้นคือพลังของเทพอสูรมันมีพลังของเทพอสูรอยู่
ในพลังสองชนิดนี้พลังมังกรนั้นเหนือกว่าพลังของเทพมังกรอย่างชัดเจน แต่แม้อย่างนั้น พลังอสูรก็เหนือกว่าพลังของมนุษย์อย่างไกลโข
และครั้งนี้เมื่อโลหิตเทพไหลออกมาจากหม้อ พลังจำนวนมากก็ได้พุ่งเข้าสู่จุดกำเนิดพลังของเขา หลังจากที่จุดกำเนิดพลังขยายจากโลหิตเทพมังกรคราวที่แล้วจุดกำเนิดพลังของซือหยูได้มีขนาดใหญ่มหึมา มันมีขนาดใหญ่กว่าภูติระดับเก้าถึงแปดสิบเท่า ตอนนี้ พลังที่เข้ามาหาเขาสามารถดูดซับได้โดยง่ายและไม่ระเบิดดังเดิม
“ข้าจะยอมสละทุกอย่างเพื่อให้ได้โลหิตเทพมาครองการได้พลังของหม้อเก้ามังกรถือเป็นวิถีที่ถูกต้อง”
ซือหยูลูบคาง
หลังจากพักไม่นานซือหยูเริ่มบ่มเพาะวิชาเก้ามังกรอสูรและคุกเทวะห้าธาตุ
ก่อนที่จะเจอกับวิบัติเทพเขาต้องเรียนรู้วิธีการที่จะทะลวงพลัง ณ ตรงนั้น แต่บางครั้งจิตใจของเขาก็ไม่มั่นคงพอและมิอาจทำได้ มีอยู่หลายครั้งที่เขาเสียฤทธิ์ของน้ำผึ้งร้อยบุพผาอย่างเปล่าประโยชน์
ซือหยูใจเย็นลงและใช้พลังเร่งเวลาเขาต้องบ่มเพาะทั้งสองวิชาให้สำเร็จภายในวันเดียว พลังอสูรล้อมรอบกายซือหยูกิ่งก้านไม้เลื้อยเล็ก ๆ ก่อตัวขึ้นบนอากาศ
โชคดีที่รูปร่างประหลาดหายไปอย่างรวดเร็วและไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย
ผ่านไปนานในดวงตาของซือหยูเต็มไปด้วยพลังอันดำมืดของพลังอสูร มันเล็ดรอดออกมา เขาดูไม่ต่างจากเผ่าอสูรที่กำลังบ่มเพาะพลัง
ซือหยูก้มดูหน้าอกของตัวเองด้วยความรู้สึกแปลก
“ก่อนหน้านี้จะมีเสียงมังกรคำรามตอนที่บ่มเพาะมังกรอสูร แต่ตอนนี้ แม้จะสำเร็จ ใยถึงมีแต่ความเงียบเล่า?”
บนถนนอันวุ่นวายที่เป็นที่ตั้งของโรงเตี๊ยมผนึกป้องกันการรบกวนจากภายนอกมิได้มีขั้นสูงวนัก ซือหยูไม่อยากจะใช้พลังในสถานที่เช่นนี้
“ท่านอาจารย์ประทับใจวิชานี้มากข้าอยากรู้ว่ามันจะเปลี่ยนไปเช่นใดเมื่อบ่มเพาะเสร็จสิ้นเช่นนี้”
ซือหยูคิดอาจารย์บอกเขามาก่อนว่าวิชานี้มิใช่วิชาระดับตำนานทั่วไป และซือหยูจะต้องบ่มเพาะมันให้สำเร็จ
ซือหยูข่มใจที่อยากให้วิชาลงและเริ่มบ่มเพาะคุกเทวะห้าธาตุต่อไป
เขาต้องเรียนรู้อักษรอสูรให้ได้ทั้งร้อยตัวเพื่อที่จะใช้พลังหนึ่งในสิบของคุกเทวะห้าธาตุตอนนี้เขาเข้าใจเก้าสิบเก้าตัวแล้ว ตัวสุดท้ายยังคงเป็นที่น่าฉงนสำหรับเขา
เขามองอักษรตัวสุดท้ายเขาพยายามหาเหตุผลในความลึกลับของตัวอักษร
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
บ่ายวันถัดมาซือหยูเบิกตาโพลงและยกมือขึ้นคว้าอากาศตรงหน้า
ลำแสงสีเทาเปล่งแสงออกมาซือหยูรับมันเอาไว้ด้วยมือเดียว
“ลอบโจมตีรึ?”
เทพปีศาจที่คอยระวังอยู่ในโลกภายนอกถาม
ซือหยูส่ายหน้า
“ไม่ใช่มันมีพลังของท่านอาจารย์”
ซือหยูแบมือออกและเห็นเสี้ยววิญญาณที่มีข้อความอยู่
เสียงของหยุนหยาซือดังในใจ
“กระบี่จากต่างโลกตกมายังจิวโจวเกิดเรื่องประหลาดเกิดขึ้นนอกจิวโจว ข้าต้องไปสืบดู เจ้าไม่ต้องห่วงข้า”
ซือหยูลืมตาด้วยความตกใจเรื่องประหลาดเกิดขึ้นที่นอกจิวโจว มันเป็นเรื่องที่ท่านอาจารย์ต้องไปสืบดูด้วยตัวเองเลยหรือ?
แต่เขาก็สบายใจเมื่อรู้ว่าอาจารย์ปลอดภัย
เขาถือคุกเทวะห้าธาตุในมือและขมวดคิ้วพร้อมกับหายใจเข้าลึก
“อีกชั้นเดียวข้ายังไม่เข้าใจอีกชั้นเดียว ข้ายังขาดอะไรไปเล่า?” เขาล้มเหลวในการทำความเข้าใจส่วนสุดท้ายหลายครั้งซือหยูคิดว่าบางทีเขาอาจต้องการความรู้ที่มากกว่าเดิม เขาต้องการความช่วยเหลือจากที่อื่น
“เจ้าหนูเจ้าบอกว่าอาจารย์เจ้าไม่เป็นไรสินะ? แล้วเจ้าจะทำอะไรต่อ? ตรงไปที่ตระกูลบูรพาหรือ? ไปหานังเด็กสาวสองหน้านั่นหรือ?”
เทพปีศาจพูดแหย่
ซือหยูส่ายหน้าตะปูมิติหล่นลงมาจากชายเสื้อ
“ข้าต้องผนึกประตูเทวะ”
ตะปูมิติตัวสุดท้ายถูกใช้เพื่อรับมือสถานการณ์เช่นนี้
เทพปีศาจมองซือหยู
“เจ้าทำเพื่อหยุดราชาเขตกลางรึ?”
“ใช่จากสถานการณ์ของข้า สิ่งที่ข้าทำคงจะไปถึงหูราชาเขตกลางแล้ว”
“และตอนนี้ยังเหลืออีกสองวันก่อนจะถึงวิบัติสวรรค์ข้าต้องเผชิญหน้ากับมัน”
เทพปีศาจตอบ
“เจ้าจะใช้ไม้ใดกัน?จากที่ข้ารู้ ไม่ว่าจะวิบัติของจริงหรือปลอม มันก็มิอาจเลี่ยงได้ เจ้าขอให้จ้าวผาบั่นภูติถ่วงเวลาราชาเขตกลางเก้าวัน ข้าคิดว่าจะคงยากนัก”
“ข้าไม่คิดว่าเขาจะหยุดได้เก้าวันอยู่แล้ว”
ซือหยูถอนหายใจเพราะรู้อยู่แล้ว
“ราชาเขตกลางมีสมบัติมากมายซ่อนไว้แม้จะมีพลังเหนือกว่า จ้าวผาบั่นภูติก็ไม่น่าจะรับมือได้ถึงเก้าวัน แต่เวลาหลายวันนั้นก็เพียงพอสำหรับข้าแล้ว”
“ข้ายังมีตะปูมิติราชาเขตกลางจะเดินทางไปไหนมาไหนในจิวโจวไม่ได้สักระยะ มันจะถ่วงเวลาให้ข้าได้อีกหลายวัน”
ต่อให้เป็นเซียนเขาก็ต้องใช้เวลาหนึ่งวันเต็มในการข้ามทวีป ซึ่งต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองวันในการเดินทางจากเขตกลางมาถึงทวีปบูรพา
เทพปีศาจหัวเราะในใจ
“สุดท้ายชะตาของเจ้าก็อยู่ในมือของเด็กสาวตระกูลบูรพาสินะ?”
“ไม่ใช่!”
ซือหยูส่ายหน้าอย่างรุนแรง
“ชะตาข้า…ข้าลิขิตเอง!”
ซือหยูแตะแหวนมิติด้วยใบหน้าเย็นชา
“ถ้ามันมาไม่ถึงข้าก็ดีไปแต่ถ้าหากมันมา ข้าก็มีของขวัญให้มัน!”
นอกประตูมิติเทวะสตรีอสูรเนรมิตรมองดูประตูมิติอย่างระมัดระวัง นางดูเสียใจ
“น่าเสียดายที่ข้าไม่เจอซือหยูแต่อย่างไร…”
ตอนที่นางเฝ้าระวังชายหนุ่มหน้ากากสีเงินได้ก้าวไปยังประตูมิติ
นางเหลือบมองโดยไร้ซึ่งการตอบสนองก่อนจะละสายตา ชายหนุ่มหน้ากากเงินวิ่งไปยังประตูมิติเทวะและวางแก้วพลังหลายชิ้นเพื่อเตรียมตัวใช้งานประตู
แต่นางก็ไม่คาดคิดเลยว่าเมื่อชายหนุ่มหน้ากากเงินยื่นมืออกไปเขาก็ยิงตะปูมิติใส่ประตู
แม้นางจะไม่ได้มองนางก็แอบสังเกตผู้ที่ใช้งานประตู เมื่อนางรู้ว่าเขากำลังใช้ตะปูมิติที่เป็นของต้องห้าม สีหน้านางก็แสดงความหงุดหงิด
“ทำไมถึงมีแต่คนโง่เขลาอย่างพวกเจ้ากัน?พวกที่เอาแต่พยายามผนึกประตูมิติเทวะอย่างไร้ความหมายน่ะ”
นางรู้สึกชินชากับเรื่องเช่นนี้ไปเสียแล้ว
นางขยับตัวเบาๆ สายลมบางเบาแล่นไปยังชายหนุ่มหน้ากากเงิน เขามิอาจขยับตัวได้ ตะปูมิติในมือของเขาลอยไปยังมือของนาง
นางมองชายหนุ่มด้วยดวงตาสดใสนางส่ายหน้าเบา ๆ และถาม “ใครสั่งเจ้าม…”
ในตอนนั้นเองพลังของฎีกาสวรรค์ได้เรียกหัตถ์ขนาดยักษ์ออกมาปัดพลังที่ทำให้เขาขยับไม่ได้ออกไป
เขาใช้โอกาสนี้เรียกตะปูมิติอันที่สองและยิงมันไปที่ประตู
นางเริ่มโกรธ
“เจ้ากล้าดียังไง!”
นางลุกขึ้นทันทีใบหน้านางซีดเซียว คงจะดีกว่าถ้าจะทิ้งระยะกับเขา
พลังอสูรเนรมิตรได้เข้าผลักชายหนุ่มหน้ากากเงินและตะปูมิติทิ้งไป
นางเตรียมจะใช้พลังอีกครั้งพลังมิติเข้าลอมรอบชายหนุ่มหน้ากากเงินกับตะปูมิติ มันปรากฏเพียงพริบตาเดียวก่อนจะหายไป
“หา!”
นางใบหน้าเย็นชานางฉีกมิติด้วยมือเดียวและไล่ตามชายหนุ่ม นางไม่รู้เลยว่าทันทีที่นางทิ้งตำแหน่งพื้นก็ได้ระเบิดพลังของภูติผีออกมา มันคือพลังจากสาวน้อยน่าหลงใหลจากเผ่าผี
นางเดินรอบๆ อย่างระมัดระวัง พลังซัดใส่ประตู นางยิ้มและหยิบตะปูมิติออกมายิงใส่ประตูมิติ
พร้อมกันนั้นสีหน้านางก็เปลี่ยนไป นางเงยหน้ามองสตรีที่เข้าใกล้ ใบหน้าทั้งดูยินดีและไม่ยินดี
“ข้าปกป้องที่นี่มาหลายปีแผนล่อเสือออกจากถ้ำยังหลอกข้าได้รึ?”
นางสีหน้าเยือกเย็น
“เจ้าเป็นคนออกคำสั่งสินะ?เผ่าผีหรือ…”
นางมองจางตี๋เก้ออย่างดุดันจางตี๋เก้อนั้นสลบราวกับถูกทุบด้วยค้อนขนาดใหญ่
นางตอบสนองได้รวดเร็วนางรีบแปลงกายเป็นเมฆาพลังภูติผีซึมเข้าลึกในใต้ดิน
สตรีอสูรเนรมิตรจ้องลึกลงในผิวดินนางต้องมองไปถึงด้านนอก นางก้าวเข้าสู่มิติเพื่อไล่ตามจางตี๋เก้อ
เมื่อนางจากไปผู้เฒ่าคนหนึ่งก็ได้เดินเข้ามา เขายิ้ม
“ล่อเสือออกจากถ้ำเป็นแผนตื้นๆ ก็จริง แต่ถ้ามันใช้ได้สำเร็จเล่า?”
ในมือของเขามีตะปูมิติอีกตัวเขาหรี่ตายิงมันเข้าใส่ประตูมิติ
แต่เมื่อตะปูมิติกำลังจะเข้าถึงประตูฝ่ามือซีดเซียวนุ่มลื่นก็ได้ยื่นออกมาคว้ามันเอาไว้
“แผนล่อความสนใจของเจ้าก็ไม่สำเร็จเหมือนกัน!”
ซือหยูมองมือซีดและตอบเบาๆ
“เจ้าไม่กลัวว่าคนจะกลัวตอนที่จู่ๆ เจ้าก็ยื่นมือออกมาหรือ?”
ในรอยแยกมิตินั้นเงียบกริบนางไม่คิดเลยว่าซือหยูจะพูดเช่นนี้