ตอนที่ 1123 - เข้าสู่ตระกูลบูรพา

The Divine Nine Dragon Cauldron

นางออกมาจากรอยแยกมิตินางมองซือหยูหัวจรดเท้าเพื่อประเมิน นางมั่นใจแล้วว่าซือหยูคือผู้อยู่เบื้องหลังขณะที่สองคนก่อนหน้าเป็นคนที่มาเบี่ยงเบนความสนใจให้เขา
  เมื่อนางได้ยินซือหยูพูดนางหัวเราะเบา ๆ
  “เจ้าไม่ควรจะรู้สึกผิดที่อุบายเจ้าถูกเปิดเผยหรอกรึ?”
  แน่นอนว่านางสงสัยว่าเขายังกล้ายืนอยู่ต่อหน้านางได้อย่างไรในเมื่อถูกเจอตัวแทนที่จะเลือกหนี
  “ข้าช่วยตระกูลบูรพาทดสอบความปลอดภัยของประตูมิติเทวะของเจ้าใยข้าต้องรู้สึกผิดด้ววยเล่า?”
  นางพูดไม่ออก
  เหตุผลที่เขาให้นั้นมัน…
  นางรู้สึกตลกและอับอายไปพร้อมกันนางซ่อนความตกใจและมองซือหยูด้วยความใจเย็น
  “เจ้าเป็นคนที่น่าสนใจดีนี่”
  นางกล่าว
  “ช่างเถอะวันนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไปและส่งเจ้าให้ตระกูลบูรพาสอบสวน คนของข้าจะจัดการกับเจ้า”
  เมื่อพูดนางทำท่าทางราวกับจะจับตัวซือหยูด้วยพลังมิติ
  แต่ซือหยูนั้นไม่ร้อนรนเขายืนใกล้นางและใช้พลังเวลาเพื่อหยุดนางอยู่กับที่
  แม้จะเป็นอสูรเนรมิตรขั้นสูงสุดนางก็ได้รับผลของพลังเวลา การเคลื่อนไหวของนางช้าลงจนหยุดนิ่ง
  “หึหึเจ้าถูกหลอกแล้ว ท่านป้า!”
  จางตี๋เก้อที่เห็นอยู่ชัดๆ ว่าหนีไปปรากฏตัวจากใต้ประตูมิติและซัดตะปูมิติในมือใส่ประตู
  เพียงพริบตาเดียวยันต์ที่ประตูมิติเทวะก็หม่นแสงลงและหยุดทำงานในทันที มันมิอาจถูกใช้งานได้อีกแล้ว
  อสูรเนรมิตรพยายามจะหยุดแต่ก็สายไป!
  พวกเขาทำให้นางลดความระวังตัวลงหลังจากจับตัวซือหยูผู้อยู่เบื้องหลังได้และใช้โอกาสนี้ลงมือใช้ตะปูมิติ
  นางจ้องมองจางตี๋เก้อพร้อมกัดฟันแน่นนางไม่พอใจอย่างมาก
  “เจ้าเรียกใครว่าป้า?ข้าเพิ่งอายุสองร้อยปี!”
  จางตี๋เก้อเบิกตากว้าง
  “เอาล่ะพวกเราไปกันเถอะ!”
  ซือหยูม้วนแขนเสื้อและพาจางตี๋เก้อกลับมุกวิญญาณเก้าหยกอีกครั้งเขาแปลงกายเป็นศรคมกริบพุ่งเข้าหากลุ่มคนภายนอก
  หลังจากผ่านไปสิบลมหายใจผลของพลังเวลาได้หายไป สตรีอสูรเนรมิตรได้การเคลื่อนไหวกลับคืนมา
  นางหันไปมองประตูมิติเทวะที่เพิ่งจะใช้งานไม่ได้ไม่มีหวังที่นางจะซ่อมมันได้นอกจากรอเวลา
  “บัดซบ!”
  นางสบถนางจ้องมองทิศทางที่ซือหยูหนีและไล่ตามเขาทันที
  แต่เมื่อนางมุ่งหน้าไล่ตามเขาไปนางก็พบเพียงแค่ผ้าบนเตียงที่มิกลิ่นอายพลังของเขาเท่านั้น
  “ไอ้บ้าเอ้ย!”
  นางเผาเตียงด้วยความแค้นจนมันเป็นเถ้าถ่านก่อนจะหายตัวไปในความว่างเปล่า
  ไม่นานหลังากนั้นอสูรเนรมิตรขั้นสามเก้าคนได้ฉีกมิติมาถึง
  “คารวะนายหญิงตำหนักใต้”
  ทั้งเก้ากล่าวด้วยความนับถือ
  นางยกมือชี้วาดภาพซือหยูชายแก่ที่ให้บรรยากาศประหลาดพร้อมผมยาวสีขาวลอยเป็นกระดาษ  “จงจำรูปลักษณ์นี้และสั่งตำหนักใต้ให้ค้นหาทั้งเมือง!ชายคนนี้ทำลายประตูมิติเทวะและมีเจตนาร้าย พบตัวเมื่อใดให้จับกุมและนำมาสอบสวนทันที!”
  ทั้งเก้าตกใจพวกเขาเหลือบมองกันด้วยความตกตะลึง
  ถ้าเขาสามารถทำลายประตูมิติเทวะที่อยู่ใต้จมูกของนายหญิงตำหนักใต้ได้เขาจะแข็งแกร่งเพียงใดกัน?
  นางหน้าแดงระเรื่อนางจะบอกได้อย่างไรว่านางถูกหลอก?
  “มัน…มันเชี่ยวชาญการใช้พลังเวลาพลังของมันน่ากลัว อย่าประมาท! ใครที่ปล่อยให้มันหนีไปได้เพราะความประมาทจะถูกลงโทษ!”
  ทั้งเก้าตัวสั่นดูเหมือนว่าคนที่พวกเขาจะต้องตามจับคือคนที่ใช้พลังวิเศษได้ ไม่แปลกใจเลยที่นายหญิงตำหนักใต้จะพลาด
  “ท่านนายหญิงพวกเราต้องแจ้งตำหนักเหนือด้วยหรือไม่?”
  นางจ้องมองเขา
  “เจ้าอยากเชิญพวกมันมาดูเรื่องน่าขันเรอะ?เก็บข่าวเอาไว้ก่อน รอจนกว่าเราจะจับมันได้! แล้วก็…ข้าต้องไปตำหนักเหนือในตอนนี้ มีเรื่องที่ข้าต้องหารือ ค่อยบอกข่าวในคราวหลัง”
  ผู้ทรงพลังทั้งเก้าทยอยหายตัวไปทีละคน
  เมืองนี้มีชื่อว่าเมืองบูรพาศักดิ์สิทธิ์มันคือต้นกำเนิดของตระกูลบูรพา ในด้านขนาด มันยิ่งใหญ่และตระการตายิ่งกว่าเขตกลางอยู่มาก
  ด้วยประตูมิติเทวะที่อยู่ศูนย์กลางเมืองได้ถูกแบ่งเป็นสองส่วนโดยมีตำหนักเหนือและใต้
  ทั้งตำหนักเหนือใต้เป็นของตระกูลบูรพาและแต่ละตำหนักก็ถูกดูแลโดยเซียนที่แข็งแกร่ง
  ทั้งสองตำหนักได้ปกครองเมืองบูรพาศักดิ์สิทธิ์นอกเสียจากจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น ทั้งสองตำหนักมักจะไม่ติดต่อกันบ่อยครั้ง
  ชายแก่ผมขาวยืนอยู่ที่ประตูตำหนักเหนือแม้จะมีอายุแก่เฒ่า เขาก็ให้บรรยากาศที่ต่างจากคนชราทั่วไป เขาดูน่าจับตา
  “เจ้าหนูเจ้ามาตระกูลบูรพาเพียงเพราะหาแม่สาวน้อยนั่นหรือ?”
  เทพปีศาจถาม
  ซือหยูพยักหน้า
  “ใช่วิบัติกำลังจะมาถึงข้า ข้าสัมผัสได้ว่ามันใกล้เข้ามาแล้ว”
  “หากตงฟางเถียนเฟิงคือกุญแจในการแก้ไขวิบัติผู้คนข้าก็สบายใจได้ ข้าแค่ต้องหานางให้เจอก่อนเพื่อให้แน่ใจว่านางคือคนที่ข้าตามหา”
  “ถ้านางเป็นคนนั้นข้าก็ค่อยหาทางหลังจากนี้ หากนางไม่ใช่ มันก็เป็นเพียงแค่การมาเยี่ยมและข้าจะขอตัวออกมา”
  เทพปีศาจหัวเราะ  “ถ้าอย่างนั้นเจ้าไม่ควรจะระวังผู้หญิงที่เจ้าเพิ่งจะได้เจอหรือ? นางรับผิดชอบคุ้มครองประตูมิติ นางย่อมต้องเป็นคนสำคัญในตระกูลบูรพา”
  “ถ้าเจ้าแค่บุกเข้ามาในตระกูลบูรพาเช่นนี้มิใช่ว่าเจ้ากำลังเดินเข้าหากับดักหรือ?”
  “ไม่จำเป็นหากข้ากล้าพอที่จะมา ข้าก็ต้องเตรียมตัวล่วงหน้ามาอยู่แล้ว”
  ซือหยูยิ้มอย่างมั่นใจ
  “นางคนนั้นคือเจ้าตำหนักใต้ตงฟางหยู”
  “ที่นี่คือตำหนักเหนือหากไม่มีเรื่องสำคัญอันใดระหว่างตำหนัก คนสำคัญจะไม่ถูกส่งมา เจ้าไม่ต้องกังวลนัก”
  ซือหยูก้าวเข้าไปคารวะด้วยรอยยิ้ม
  คนที่คุ้มกันประตูคือเด็กสาวที่ดูน่ารักอายุน้อยสองคนเมื่อเห็นว่าซือหยูเดินเข้ามาจากระยะไกล ทั้งคู่ก็ยิ้มถาม
  “ท่านผู้เฒ่ามีอะไรให้พวกเราช่วยเหลือหรือไม่?”   ซือหยูเหลือบมองหญิงสาวทั้งสองและรู้สึกแปลกสำหรับตระกูลใหญ่เช่นนี้ คนคุ้มกันประตูกลับมิใช่ชายร่างกำยำ แต่กลับเป็นเด็กสาวอ่อนหวานสองคน
  “โอ้ข้าอยากมาเยี่ยมตระกูลเจ้า โปรดให้ข้าได้…”
  ก่อนที่เขาจะพูดจบเด็กสาวน่ารักหัวเราะเบา ๆ
  “เรารู้ว่าท่านมาทำไมตั้งแต่แรกมันแน่นอนอยู่แล้ว”
  ซือหยูตกใจเล็กน้อยพวกนางรู้อยู่แล้วหรือว่าเขาจะมาหาตงฟางเถียนเฟิง?
  “ท่านผู้เฒ่ามีเงื่อนไขในการเข้าตระกูลบูรพา คนที่เข้าต้องมีอายุต่ำกว่าสามสิบปี”
  สองสาวยิ้มอย่างประหลาด
  พวกนางไม่คิดจะให้ชายแก่เข้าตระกูลอย่างอุกอาจ
  แม้แต่คนที่เดินผ่านไปผ่านมาก็หัวเราะเยาะ  “นี่ดูไอ้แก่นั่นซี่! มันแก่ขนาดนั้นแต่ยังไม่รู้จักพอ! มันไม่รู้จักอายด้วยซ้ำ!”
  “ฮ่าๆๆๆหามองได้ยากนัก ปกติที่จะเห็นคนแก่เข้าหาสตรีตระกูลบูรพา แต่มักจะไม่ได้เห็นใครที่กล้ามาอย่างเปิดเผยเช่นนี้ ดูเถอะว่ามันจะเป็นยังไง”
  ถนนเต็มไปด้วยผู้คนพวกเขาพากันนินทาอย่างออกรสออกชาติ ซือหยูไม่สนใจคนเหล่านั้น เขาลูบคางและถาม
  “มีการจำกัดอายุในการเข้าเยี่ยมตระกูลบูรพาด้วยหรือ?”
  “นั่น…ไม่เป็นไรหรอกข้าอยู่ในเงื่อนไขของพวกเจ้า แท้จริงข้าไม่ได้แก่ ข้าอายุเพียงยี่สิบปีเท่านั้น”
  ยี่สิบปีรึ?เด็กสาวสองคนอ้าปากค้าง โชคดีที่คนตระกูลบูรพามีประสบการณ์มากมาย ความตกใจของพวกนางจึงหายไปในไม่นาน
  เด็กสาวหยิบจานกลมออกมายื่นให้ซือหยู  “หยดโลหิตลงไปเราจะได้รู้กัน”
  ซือหยูไม่ลังเลเขาหยดโลหิตของตัวเองลงไป
  จู่ๆ โลหิตของเขาก็หายไป มันกลายเป็นสายโลหิตไม่กี่สิบหยด มันได้กลายเป็นตัวเลขขึ้นมา เขียนเป็นเลขยี่สิบ
  “ไม่มีปัญหา!ท่านเข้าไปได้ คนข้างในจะดูแลท่าน”
  เด็กสาวท่าทางดีใจคว้าจานกลมแขวนไว้ที่เอวและมองเขาด้วยความสนอกสนใจ
  ซือหยูแตะแก้มตัวเองเขารู้สึกแปลก
  หลังจากเข้าไปเขาก็ได้เห็นสตรีวัยกลางคนอายุราวสี่สิบปีมองเขาอย่างชื่นชมและประเมินเขาในระยะเวลาสั้น ๆ
  “มากับข้าสิ”