นางกล่าว
“มีนายน้อยอีกสองคนกำลังรออยู่”
เอิ่ม…
‘ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อพบกับคนของเจ้า!’
ซือหยูคิดในใจ
“ผู้อาวุโสข้ามาที่นี่เพื่อตามหา…”
นางหันมาหาเขาและพูดตัดบท
“ข้ารู้ว่าเจ้ามาหาใคร!แค่ฟังข้าก็พอแล้ว”
อะไรกัน?ผู้หญิงทุกคนในตระกูลบูรพามีพลังการทำนายหรืออย่างไรน?
เขาถูกสตรีวัยกลางคนพาไปยังห้องรับรองเขาเห็นชายหนุ่มหน้าตาดีสองคนนั่งพูดคุยหัวเราะต่อกัน
เมื่อเขาเห็นว่าซือหยูและสตรีวัยกลางคนเข้ามาทั้งสองก็ยืนขึ้นตรงนิ่งในทันที ทั้งสองยืนเพื่อทักทายสตรีวัยกลางคนอย่างสง่างาม นางพยักหน้านางนั่งลงบนเก้าอี้หัวโต๊ะและจ้องมองแต่ละคนก่อนจะพูดคุย
“ขอบคุณที่พวกท่านมานายน้อยทั้งสาม”
“ข้าไม่คิดจะพูดเรื่องกฎระเบียบของตำหนักเหนือมากนักชั้นสตรีแบ่งเป็นสามระดับ จะได้เห็นแม่นางตงฟางหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับพลังของพวกท่าน”
แม่นางตงฟาง…ไม่ใช่ตงฟางเถียนเฟิงหรอกหรือ?ซือหยูถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขารู้สึกตกใจอยู่ภายใน คนตระกูลบูรพาสามารถทำนายได้จริง พวกเขารู้ว่าเขามาที่นี่เพื่อหาตงฟางเถียนเฟิง
ซือหยูถามด้วยความมั่นใจ
“ข้าขอถามได้หรือไม่ท่านหมายความว่าอย่างไรที่มีชั้นสตรีสามระดับ?”
นางกับชายหนุ่มทั้งสองถึงกับมองเขาด้วยความแปลกใจ
“เอิ่มข้ามาจาก…เขตกลาง”
ซือหยูพูด สตรีวัยกลางคนเข้าใจทันที
“อย่างนั้นเองสินะใช่แล้ว ห้องสตรีสามระดับแบ่งเป็นการประเมินสามครั้ง หากผ่านการประเมินได้ ท่านจะมีสิทธิ์ได้เจอแม่นางตงฟาง”
การประเมินรึ?ซือหยูงุนงงอีกครั้ง เป็นเพราะว่าตงฟางเถียนเฟิงมีคนมาเยี่ยมมากมายหรือ? นี่คือเหตุผลที่พวกเขาต้องเข้ารับการประเมินก่อนที่จะได้พบนางหรือ?
“พวกเจ้าตามข้ามานายน้อยคนอื่น ๆ ก็รอมานานแล้ว”
นางยืนขึ้นเดินนำหน้า
นายน้อย…คนอื่นๆ ซือหยูมุมปากบิดเบี้ยว
เขาผ่านขวากหนามมากมายกว่าจะถึงที่นี่ทำไมเขาต้องอดทนรอด้วยเล่า? เขาต้องคอยมองหาตงฟางเถียนเฟิงให้ได้
เมื่อเขาเห็นนายหนุ่มคนอื่นเขาก็ผงะ
สตรีวัยกลางคนนำเขามายังสวนขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยภูเขาแม่น้ำ และกระโจม
แต่ที่นี่มีคนอยู่เต็มไปหมด!มีนายหนุ่มมากกว่าร้อยคนที่มีฐานพลังระดับสูง
ชายหนุ่มเหล่านี้นับว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ล้ำค่าในจิวโจวส่วนใหญ่มีอายุไม่ถึงยี่สิบปี แต่ที่นี่กลับมีจ้าวเทวะระดับเก้าอยู่เต็มไปหมด! มีแม้แต่คนอายุราวยี่สิบห้าที่ได้เป็นอสูรเนรมิตรแล้ว!
ถึงวันนี้จิวโจวได้อยู่ในคราวใกล้ล่มสลาย การถือกำเนิดของอสูรเนรมิตรถือเป็นเรื่องยากมาก
ซือหยูเหลือบมองอสูรเนรมิตรอายุยี่สิบห้าอีกครั้งเขาสวมชุดสีหยกและเข้ายึดทั้งกระโจมด้วยตัวคนเดียว สายตาของเขามองตรง เขากำลังนั่งดื่มตามลำพังโดยไม่สนใจผู้คนโดยรอบ
คนอื่นๆ ไม่กล้าจะเข้าไปยังกระโจมนั้น มีบางคนพยายามเข้าใกล้ แต่พวกเขาก็เพียงแสร้งเป็นมิตรกับเขาเท่านั้น “นั่นคือยอดฝีมืออันดับหนึ่งของดินแดนชาวสวรรค์หลิวเฉิน ตั้งแต่ที่เขาออกมาจากแดนมณี เขาก็ได้ทะลวงพลังเป็นอสูรเนรมิตร”
ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาหาซือหยูด้วยรอยยิ้มและอธิบายให้เขาฟังเมื่อเห็นว่าเขาจ้องมองหลิวเฉินเขาพูดต่อด้วยความอิจฉา
“ในเวลานี้เขาเทียบได้กับสี่นภาจรัสด้วยซ้ำ”
ไม่ยากที่จะสังเกตเห็นว่าผู้คนค่อนข้างสงสัยในตัวซือหยูและคิดจะผูกมิตรกับเขา
ในห้าทวีปของจิวโจวเขตกลบางคือจุดที่ยอดฝีมือเกิดขึ้นมากที่สุด
หลิวเฉินรึ?ซือหยูจำไม่ได้เลย แต่เขาก็อาจจะเป็นจ้าวเทวะระดับเก้าทั่วไปในแดนมณี
“ข้าชื่อ…ซือเฉินหลงข้าขอถามพี่ชายได้หรือไม่า พวกเรามาทำอะไรกันที่นี่หรือ?”
ซือหยูมองชายหนุ่มมากมายแม้จะเป็นคนที่โง่เขลาอย่างแท้จริง พวกเขาก็ย่อมรู้ตัวแล้วว่านี่ไม่ใช่การเข้าพบตงฟางเถียนเฟิงเพียงอย่างเดียว
“ข้านามเจิ้งควนจากเมืองใต้”
คนที่เริ่มเข้าหาซือหยูคือเจิ้งควน
“นี่คือพี่น้องข้าหวังเฉาจากเมืองเหนือ”
หวังเฉาประสานหมัดคารวะและฝืนยิ้มบางๆ
“น้องซือเจ้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อหาแม่นางตงฟางหรือ?”
เจิ้งควนมองซือหยูด้วยความแปลกใจ
ซือหยูพยักหน้าอย่างฉงน
“ใช่แล้วทุกคนที่นี่มาเพียงเพราะอยากจะมองใบหน้างดงามของแม่นางตงฟางรึ?”
เมื่อได้ฟังเจิ้งควนกับหวังเฉาเหลือบมองกันและอดยิ้มไม่ได้ เจิ้งควนหัวเราะ
“นี่คือการคัดเลือกคู่หมั้นแม่นางตงฟางน้องซือมาที่นี่โดยไม่รู้อะไรเลยหรือ?”
หา?ตงฟางเถียนเฟิงกำลังมองหาคู่หมั้นรึ?
ไม่แปลกใจเลยที่เด็กสาวหน้าประตูตำหนักจะเดาได้ว่าซือหยูมาเพื่ออะไร
หรือว่าทุกคนที่นี่จะมาเพื่อเข้าการคัดเลือกการเป็นคู่หมั้นตงฟางเถียนเฟิง?
ซือหยูอ้าปากค้างเขาพูดไม่ออก
หากเขาอยู่ที่นี่แล้วเขาก็ต้องตามหาตงฟางเถียนเฟิงให้ได้
“โอ้ข้าเข้าใจแล้ว”
ซือหยูยิ้ม
เจิ้งควนหลอกตา
“น้องซือมาจากส่วนไหนของเขตกลางรึ?ข้าเดาว่าคงจะมาจากเมืองเขตกลางสินะ?”
“ข้าได้ยินว่าเมืองเขตกลางเต็มไปด้วยคนมากความสามารถยังมีผู้ลิขิตให้ครองใต้หล้าอย่างจางอู๋ชวง แล้วก็มีภูติจ้าวสมบัติอย่างซือหยูเซี่ยน แค่คิดข้าก็ขนลุกแล้ว! น้องซือจะต้องเป็นยอดฝีมือชั้นแนวหน้าจากที่นั่นด้วยใช่หรือไม่?” ภูติจ้าวสมบัติรึ?ซือหยูได้แต่หัวเราะเบา ๆ เขาไม่คิดว่าเขาจะได้ฉายานี้มาหลังจากต่อสู้ในแดนมณี
แต่วิบัติโชคชะตาได้ทำลายสมบัติเกือบทั้งหมดของเขาไปตอนนี้เขายากจนยิ่งกว่ายอดฝีมือทั่วไปเสียอีก เรียกเขาว่าภูติจรจัดจะไม่ดีกว่าหรือ?
“ข้ามาจากส่วนเหนือของเขตกลางในดินแดนพรสวรรค์ มันเป็นดินแดนรกร้าง ข้าจะกล้าเรียกตัวเองว่ายอดฝีมือชั้นแนวหน้าได้อย่างไร?”
ซือหยูกล่าวอย่างอ่อนน้อม
เจิ้งควนหัวเราะ
“น้องซือเจ้าถ่อมตัวเกินไปแล้ว ข้าเองยังบอกฐานพลังเจ้าไม่ได้เลย แต่อย่างน้อยเจ้าก็ต้องเป็นจ้าวเทวะระดับแปด ใช่หรือไม่?”
เมื่อได้ฟังหวังเฉาเองก็มองเขาด้วยหางตา
ซือหยูจิตใจใสกระจ่างดั่งคันฉ่องทั้งสองเข้าใจผิดว่าซือหยูเป็นยอดฝีมือชั้นสูงจากเขตกลาง ทั้งสองจึงพยายามจะหาพื้นเพของซือหยู
“ฮ่าๆๆๆข้าเพิ่งจะได้เป็นภูติระดับเก้าเมื่อไม่นาน ข้ายังไม่เป็นจ้าวเทวะด้วยซ้ำ ข้าจะเทียบกับพี่ชายสองคนได้หรือ?”
ซือหยูเปิดเผยพลังของเขาอย่าง‘ตรงไปตรงมา’
แต่กลับกลายเป็นว่า…
เจิ้งควนฝืนยิ้มเขาประสานหมัด
“ถ้าเช่นนั้นเอิ่ม น้องซือเพิ่งจะมาถึง คงอยากเดินเล่นในสวนแห่งนี้ น้องหวังกับข้าคงไม่รบกวนเจ้าอีกแล้ว ลาก่อน”
เมื่อเขาพูดจบเขารีบเดินจากไปโดยไม่เหลียวหลังกลับ
หวังเฉานิ่งไปหนึ่งวินาทีเขามองซือหยูและถอนหายใจแรงพร้อมกับเดินจากไป
ซือหยูยักไหล่มองทั้งสองคนและมองรอบ ๆ ด้วยพลังของเขาเขาสามารถบุกเข้าไปได้ แต่การบุกเข้าไปโดยไม่ทำให้เหล่ายอดฝีมือตระกูลบูรพารู้นั้นเป็นไปไม่ได้
เขามาที่นี่เพื่อพบตงฟางเถียนเฟิงไม่จำเป็นที่เขาจะต้องสร้างความวุ่นวาย
ซือหยูเหลือบมองรอบๆ เขาใบหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขารีบปิดบังคุกเทวะห้าธาตุในตัว
เขาตกใจและสงสัยเมื่อมองไปยังทิศทางหนึ่งเขากำลังมองยอดเขาห้าสีที่ตั้งอยู่ในส่วนลึกของตำหนักเหนือ มันเปล่งประกายและไร้ซึ่งต้นไม้แปลกปลอม
คุกเทวะห้าธาตุของซือหยูสั่นเล็กๆ ราวกับว่ามันกำลังตอบสนองกับยอดเขาห้าสี
เมื่อเขาขยับตัวห่างจากภูเขาลูกนั้นคุกเทวะห้าธาตุก็กลับมามีสภาพตามเดิม
“ที่นั่นมันอะไรกัน?”
ซือหยูครุ่นคิดแววตาเขาเป็นประกาย