Ch.14 – ความจริงของแผนกผู้กล้า

Translator : Reheikichi / Author

[ บอกตามตรง น่าผิดหวังมาก ]

ที่ร้านกาแฟมุมหนึ่งของถนนเมืองหลวง อลิเซียพูดพร้อมกับยกแก้ว

น้ำผลไม้สีชมพูในแก้วนั้นคือน้ำผลไม้แบบลิมิเต็ทซึ่งราคาสูงสุดในร้าน บรรยากาศร้านดูสะอาดสะอ้านทั้งยังมีชนชั้นสูงที่อาศัยในเมืองหลวงแวะมาที่ร้าน ด้วยเหตุนี้ราคาในร้านจึงสูงกว่าร้านปกติอยู่นิดหน่อย

แน่นอนว่าน้ำผลไม้ที่เอลิเซียดื่มอยู่ตอนนี้ผมก็ต้องจ่ายเช่นกัน

[ พวกนายเป็นคนแบบนี้นี่เองสินะ ]

เอลิเซียเหลือบมองผมและกุเร็นที่อยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยสายตาเย็นชา

[ … เธอน่าจะไม่เชื่อ แต่ผมเพิ่งเคยจีบใครเข้าก็วันนี้เองนะ ]

[ โกหกแน่นอน ฉันน่ะเฝ้าดูมาระยะหนึ่งแล้ว แต่นั่นไม่ใช่ท่าทีของคนที่เพิ่งเคยจีบใครแน่ ]

ทำให้ผมไม่อาจตอบโต้อะไรได้เลย

ทำให้ผมนั่งคอตกสำนึกผิดกับกุเร็น

จากนั้นเด็กผู้หญิงผมสีเงินตรงหน้าก็พูดด้วยท่าทางหวั่นๆ

[ ม ไม่ใช่ว่าจีบหรอก … ก็แค่เห็นเขาเดือดร้อน ฉันเลยจะบอกทางให้เท่านั้นเองค่ะ… ]

[ ขอโทษ ]

ยิ่งเธอพูดยิ่งรู้สึกเจ็บ

เลิกดีกว่า ไอ่การจีบสาวเนี่ย

[ ที่สำคัญนะ นี่พวกนายจำหน้าเพื่อนร่วมชั้นกันไม่ได้รึไง? ]

ด้วยคำพูดของเอลิเซีย ทำให้ผมและเด็กสาวผมสีเงิน [ ง๊ะ ] ออกมา

เพราะแปลกใจว่าคนๆ นี้คือเพื่อนร่วมชั้น

มิเซ่ โฮเนส

จำได้แล้ว เด็กสาวที่แนะนำตัวว่าอยากเป็นนักผจญภัยคนนั้นเอง แน่นอนว่าเรียนอยู่แผนกสามัญเหมือนกับผมและกุเร็น

[ ก็ทรูเอทเป็นพวกจืดจางนี่นะ จะจำไม่ได้ก็ไม่แปลก ]

[ … เฮ้ ]

อยากจะเถียงกลับ แต่ผมเข้าใจสิ่งที่เอลิเซียจะสื่อ มิเซ่มีหน้าตาเด่นสะดุดตากว่าจึงจำได้ง่ายกว่าผม

แต่เดิมผมก็ไม่ใช่คนที่จดจำใบหน้าของใครได้แย่ขนาดนั้น สมัยอยู่ในองค์กร ผมต้องจำใบหน้าของเป้าหมายให้ได้ จึงต้องใช้ทักษะการจำเป็นพิเศษไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ห้ามลืมเด็ดขาด ไม่เพียงแต่จำใบหน้าเท่านั้น ตา จมูก ลักษณะเด่นของแต่ละจุดใบหน้า เป็นการจดจำที่ต้องจดจำทุกอย่าง

ต้องจดจำใบหน้าของหัวหน้าและเป้าหมาย หากลืมหน้าเป้าหมายภารกิจจะล้มเหลว หากโดนหน้าหัวหน้าจะโดนโจมตีโดยไร้เหตุผล แต่การลืมหน้าเพื่อนร่วมชั้นไม่มีความเสี่ยงใดๆ บางทีในใจของผมอาจคิดว่า [ ถึงจะลืมไปก็ไม่เป็นไรมั้ง? ] และลืมไป เพราะเหตุนี้มันอาจเป็นความผิดมาจากผมเอง

[ ฉันเองก็รู้จักคุณมิเซ่เหมือนกัน ]

[ เอ๋? ]

ผมชะงักและหันกลับไปมองกุเร็น

[ ไม่สิ ไม่สังเกตก็แปลกแล้ว คุณมิเซ่เป็นไอดอลของแผนกสามัญของพวกเรา ผ่านไปไม่ถึงสัปดาห์ก็ดังไปถึงห้องอื่นแล้ว ]

[ เอ่อ… มันน่าอาย หยุดเถอะนะคะ ]

ใบหน้าของมิเซ่เปลี่ยนเป็นสีแดง

ไอดอลแผนกสามัญเหรอ ไม่รู้เลยว่ามีข่าวลือแบบนั้นด้วย แต่ตอนนี้นั้นไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาคิด――

[ ――เฮ้ แล้วทำไมไม่บอกฉันล่ะ? ]

[ เพราะคิดว่าทรูเอทน่าจะจีบติดจริงๆ นี่นา ]

อยากจะระเบิดเจ้าหมอนี่สักทีจัง

เพราะหมอนี่ผมถึงไปจีบเพื่อนร่วมชั้นเข้า

[ แย่ที่สุด ]

เอลิเซียจ้องมองไปยังกุเร็น

แต่กุเร็นกลับทำหน้าตาระรื่น

[ ขอแก้ให้ถูกเรื่องหนึ่ง ใช่ว่าฉันจะบังคับจนผู้หญิงไม่ชอบสักหน่อย ต้องให้อีกฝ่ายรู้สึกสนุกนี่ล่ะกฏของการจีบสาว ]

ผมมองไปที่กุเร็นด้วยสายตาเย็นชา ขณะที่เขาทำท่าทางมั่นอกมั่นใจ

[ ถึงจะไม่เคยจีบใครสำเร็จก็ยังพูดแบบนั้นได้เนี่ยนะ ]

[ อึก… ถึงอย่างนั้นนี่ก็เป็นกฏอันงดงามของบ้านเกิดฉันเชียวนะ ]

ดูท่าจะได้รับความเชื่อผิดๆ มาเต็มประตู

[ จะว่าไปแล้ว พวกเอลิเซียมาทำอะไรกันเหรอ? ]

[ เปลี่ยนเรื่องคุยเฉยเลยนะยะ ]

[ ยกโทษให้ผมเถอะน่า… เธอเองก็ดื่มไปตั้งเยอะแล้วไม่ใช่เหรอ? ]

จากนั้นเอลิเซียก็ยกแก้วและซดจนหมดในอึกเดียว ด้วยรอยยิ้มกว้าง

[ ขออีกแก้วค่ะ ]

[ … เชิญครับ ]

เอลิเซียสั่งพนักงานเสิร์ฟ

นี่ก็หมดไปสามแก้วแล้ว ตอนนี้เอลิเซียตั้งไปสี่แก้วแล้ว

[ ครั้งนี้จะยกโทษให้ก็แล้วกัน… ก็แค่คิดว่าจะไปเดินเล่นในเมืองหลวงนะ ]

[ เดินเล่น? น่าแปลกใจแฮะสำหรับเอลิเซีย นึกว่าเธอจะฝึกหลังเลิกเรียนซะอีก ]

[ ก็นะ แต่อย่างที่นายบอกไว้ ไม่ต้องรีบร้อนให้เก่ง… ตั้งแต่นั้นมาฉันเลยมาผ่อนคลายนิดหน่อย ]

ดูเหมือนที่แนะนำไปจะไม่สูญเปล่า

[ แล้วรู้จักกับมิเซ่จากไหนนะ? ]

[ เมื่อสองวันก่อนล่ะมั้ง พอคุยกันดูก็คุยกันถูกคอ จากนั้นก็ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ ความจริงที่ฉันชอบคนที่มีเป้าหมายเป็นพิเศษนะ ]

แม้จะเป็นคำพูดที่ฟังดูเหมือนขีดเส้น แต่นี่ก็เป็นนิสัยของเอลิเซีย ดูเหมือนมิเซ่จะเข้าใจและไม่อึดอัดเวลาอยู่กับเธอ

[ จะว่าไป… เธอฝันอยากเป็นนักผจญภัยนี่นะ? ]

[ ค่ะ! ]

มิเซ่ยืนยันจัดถ้อยคำอย่างร่าเริง

[ นักผจญภัย… เป็นอิสระดีนะคะ สักวันฉันอยากเป็นนักผจญภัยแล้วออกไปท่องโลกกว้าง ถึงได้สอบเข้าโรงเรียนราชวงศ์ แต่กลับสอบเข้าแผนกผู้กล้าไม่ได้… ]

มิเซ่พูดเรื่องราวของความฝันอย่างมีความสุข แต่กลับค่อยๆ เศร้ามองลงเรื่อยๆ

และแล้วน้ำผลไม้แบบลิมิเต็ทรอบที่สี่ก็มาเสิร์ฟ ขณะที่เอลิเซียดื่มทันที แต่มิเซ่เพียงแค่จิบเล็กน้อย

…นั่นไม่ใช่กิริยาของสามัญชน

การดึงและนั่งเก้าอี้รวมถึงการดื่มน้ำผลไม้ ทุกอย่างมันไม่ใช่เลย

มิเซ่อาจไม่ใช่สามัญชน แต่เป็นขุนนาง ซึ่งถือเป็นตำแหน่งที่สูงมาก

อย่างไรก็ตามคนรอบตัวดูเหมือนจะไม่รู้ นอกจากนี้ใช่ว่าผมจะอยากบอกให้คนอื่นรู้… เงียบไว้แล้วกัน

[ หากอยากเป็นนักผจญภัย การเข้าแผนกผู้กล้าก็เปรียบกว่าล่ะนะ ]

[ ค่ะ …. มันน่าเจ็บใจจริงๆ ที่ฉันไม่มีความสามารถพอ ]

มิเซ่พูดด้วยท่าทางเศร้า

[ ไม่ต้องเศร้าไปหรอก ถึงจะสอบผ่านการสอบที่ไม่ยุติธรรมแบบนั้นก็ใช่ว่าจะน่าภูมิใจ ]

เอลิเซียพูดเพื่อปลอบใจมิเซ่ที่กำลังเศร้า

[ ฉันเพิ่งมารู้ทีหลัง… ว่าการสอบครั้งนี้ อัตราการสอบผ่านของขุนนางมันสูงผิดปกติ ]

[ เอ๊ะ หรือก็คือ…? ]

[ ขุนนางหลายคนให้ความร่วมมือกับปาร์ตี้ของผู้กล้าเป็นการส่วนตัวในสงครามครั้งที่สี่ ส่วนใหญ่ก็สนับสนุนเรื่องเงินทุน เมื่อสงครามจบ เป็นธรรมดาที่พวกขุนนางจะขอรางวัลจากประเทศ หนึ่งในรางวัลก็คือตั๋วเข้าแผนกผู้กล้า หากจบจากแผนกผู้กล้าของโรงเรียนราชวงศ์ได้ก็ถือว่าได้เกียรติแล้ว เพราะเหตุนี้เองเหล่าขุนนางถึงได้ส่งพวกลูกๆ ของตนเข้าเรียนในโรงเรียนราชวงศ์ ]

เพราะเอลิเซียอยู่แผนกผู้กล้าจึงมีโอกาสรู้ความจริงภายในมากกว่าพวกเรา เอลิเซียดูหน่ายใจกับปัญหาภายในแผนกผู้กล้า

[ แค่เพราะว่าสอบไม่ผ่าน ไม่ใช่ว่าจะไร้ความสามารถสักทีเดียวหรอก ]

ผมเห็นด้วยกับเอลิเซีย

[ การสอบคราวนั้นอาจจะไม่เหมาะกับบางคน เช่นผู้ใช้กับดัก… ที่ต้องสร้างกับดักในสนามสอบล่วงหน้าและวางแผนก่อนการต่อสู้… แต่ในผู้คุ้มสอบห้ามไม่ให้เข้าไปในสนามสอบก่อนการสอบ จึงทำแบบนั้นไม่ได้ นอกจากนี้ยังมีคนที่ถนัดงานสนับสนุนที่ต่อสู้ด้วยตัวเองไม่ได้หากปราศจากผู้ร่วมมือ… ในช่วงเวลาสั้นๆ แบบนั้นทำให้หาคนที่เชื่อใจได้ยาก ]

[ โห รู้ดีจังนะทรูเอท ]

[ อา เพราะผมเองก็เข้าสอบด้วย แต่น่าเสียดายที่สอบตกล่ะนะ ]

[ ไอ่ [ น่าเสียดาย ] นั่นมันอะไร ไม่ใช่ตั้งใจให้สอบตกหรอกเหรอ ]

ด้วยคำพูดอันชัดเจนของเอลิเซีย ทำให้มิเซ่และกุเร็นเอียงคอพลางพูด [  ตั้งใจ? ]

เอลิเซียอธิบายให้ทั้งสองคนฟังพลางถอนหายใจ

[ พวกเธอสองคนเคยได้ยินข่าวลือของฉันบ้างใช่มั้ย? ที่ว่าสามารถเอาชนะอาจารย์ฟาร์เนสในการสอบเข้าได้ ]

[ แน่นอนว่าต้องเคยได้ยินอยู่แล้วค่ะ ขนาดตอนนั้นฉันยังไม่รู้จักใครเลย ยังรู้ข่าวลือนี้เลยค่ะ … ว่ามีนักเรียนสอบเข้าใหม่สามารถเอาชนะอาจารย์ฟาร์เนสได้น่ะ ]

[ ความจริง ฉันเองก็เคยเห็นอาจารย์ฟาร์เนสครั้งแรกตอนสอบเข้าเท่านั้น… จริงๆ ทีแรกยังไม่เชื่อข่าวลือหรอกว่าจะมีนักเรียนสอบเข้าใหม่สามารถเอาชนะอาจารย์คนนั้นได้ อาจารย์ฟาร์เนสน่ะอยู่คนละระดับต่างจากนักเรียนสอบเข้าอย่างเห็นได้ชัด พวกนักเรียนถึงได้แพ้ราบคาบหมดท่าเลยครับ ]

ความจริงที่เอลิเซียเอาชนะอาจารย์ฟาร์เนสได้ในการสอบเข้าเป็นเรื่องที่นักเรียนทุกคนในโรงเรียนรู้ดี ไม่เพียงแต่นักเรียนแผนกสามัญแต่แผนกผู้กล้าก็รู้ความจริงข้อนี้เช่นกัน ถึงขนาดพูดกันว่า [ เอลิเซียคือนักเรียนปี 1 ที่แข็งแกร่งที่สุด ]

อย่างไรก็ตาม เอลิเซียถอนหายใจ

[ คนที่เอาชนะอาจารย์ฟาร์เนสได้ไม่ใช่ฉัน แต่เป็นทรูเอท ]

[ หือ!? ]

[ เอ๊ะ? ]

มิเซ่และกุเร็นส่งเสียงประหลาดใจ

[ …เอลิเซีย พูดแบบนั้นก็เกินไปมั้ง? ]

[ งั้นเชิญอธิบายเองแล้วกัน ฉันไม่อยากอธิบายแทนแล้ว ]

เอลิเซียพลางทำท่าหน่ายใจ

เมื่อเป็นเช่นนี้ คงมีแต่ว่าผมต้องอธิบายเรื่องต่อจากนี้เอง

[ พูดว่าผมชนะได้มันก็เกินไป ที่จริงเราร่วมมือกันจนชนะอาจารย์ฟาร์เนสต่างหาก แต่หลังจากนั้นมีปัญหาบางอย่างทำให้ผมไม่ผ่านการสอบ ดังนั้นคนที่ชนะอาจารย์ฟาร์เนสได้ก็คือเอลิเซียนั้นแหละถูกแล้ว ]

[ ความจริงส่วนใหญ่เป็นฝีมือของทรูเอทต่างหาก ที่ทำให้อาจารย์ไร้การป้องกัน ส่วนฉันก็แค่ชี้ดาบไปเท่านั้นเอง ]

[ ไม่หรอก เรื่องนั้นผมทำคนเดียวไม่ได้ ที่ทำได้เพราะมีเอลิเซียคอยต่อสู้อยู่ด้านหน้าให้ต่างหาก ]

[ ก็คงจะอย่างนั้น… แต่ว่าทรูเอท นายน่ะยังมีเรื่องปิดบังอีกหลายอย่างเลยสินะ ]

ในขณะที่พวกเรากำลังส่งบทสนทนาไปมากัน ผมก็สังเกตเห็นว่ากุเร็นและมิเซ่กำลังจ้องมาทางผม

[ ทั้งสองคนเนี่ยเหมือนอยู่คนละมิติกับพวกเราเลยแฮะ… ]

[ ทั้งคู่สุดยอดเลยค่ะ… ]

สายตาปลาบปลื้มที่ทั้งสองคนจ้องมาทำให้ผมรู้สึกลำบากใจ

ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมคงอยากจะแข็งแกร่ง แต่ตอนนี้กลับไม่ภูมิใจกับความแข็งแกร่งนั้นเลย

[ จริงสิ มีบางเรื่องที่อยากจะถามนายทรูเอท… การฝึกเวทมนตร์ตอนนั้น ทำไมถึงจงใจพลาด? หรือว่าจะจงใจปกปิดฝีมือตัวเองเอาไว้? ]

เพราะการฝึกเวทมนตร์ ผมใช้บอลไฟพลาดและถูกนักเรียนของแผนกผู้กล้าเยาะเย้ย ซึ่งเอลิเซียที่รู้ถึงฝีมือของผมระดับหนึ่งจะแปลกใจก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

[ ไม่ใช่จงใจพลาด แต่ฝีมือของผมมีแค่นั้นจริงๆ ]

[ แต่ทั้งที่นายสามารถใช้เวทมนตร์ 《สไนเปอร์》 ที่เป็นเวทมนตร์ระดับ D เหมือนกันได้ ดังนั้นจึงแปลกที่ไม่สามารถใช้บอลไฟที่เป็นเวทมนตร์ระดับ D ได้นะ ]

เป็นธรรมดาที่เธอจะถาม

ผมจึงตอบไปตามความจริง

[ … เวทมนตร์ระยะไกล ที่ผมใช้ได้ก็มีแค่ 《สไนเปอร์》กับ 《กระสุนเวท》เท่านั้น ซึ่ง 《สไนเปอร์》 ผมควบคุมได้ไม่ดีนักหากไม่มีคทามนตรา และอาจารย์ยังไม่ให้ 《กระสุนเวท》ด้วยสิ ]

เมื่อได้ยินที่ผมพูด เอลิเซียก็ทำหน้าเหยเก

[ นายใช้เวทได้แค่สองอย่างเหรอ…? ]

[ นอกจากนี้ก็มี แต่ไม่ใช่เวทมนตร์ประเภทระยะไกล แถมเวทอื่นก็ใช้ไม่ได้… เพราะไม่ได้ถูกสอนมานัก แต่ผมก็มั่นใจว่าเวททั้งสองอย่าง ผมสามารถใช้ได้ดีกว่าใครอยู่แล้ว ]

[ …ก็นะ 《สไนเปอร์》ของนาย มนุษย์ธรรมดาไม่มีใครใช้ได้หรอก ]

แม้แต่ทหารในองค์กรก็ยังจำเวทได้มากกว่านี้เลย

แต่ทางด้านผมกลับจำได้เพียง 《สไนเปอร์》กับ 《กระสุนเวท》เท่านั้น แทนที่จะบอกว่าผมจำไม่ได้ ต้องบอกว่าผู้ฝึกสอนผมบอกว่า [ ที่นายต้องจำมีแค่สองเวทนี้เท่านั้น ] มากกว่า ที่จริงการตัดสินใจของผู้ฝึกสอนก็ไม่ได้ผิด เพราะหลักฐานคือผมยังมีชีวิตรอดมาจนถึงวันนี้ได้

เรานั่งคุยกันสักพักนึงและตัดสินใจกลับหอพักก่อนจะมืด

ซึ่งผมจ่ายค่าน้ำผลไม้ให้กับมิเซ่และเอลิเซียไป มิเซ่ดูจะเกรงใจ แต่เพื่อเป็นการขอโทษสำหรับที่ใช้ทักษะการพูดในทางไม่ดี จึงฝืนบังคับให้เธอยอมให้ผมเลี้ยงไปซะ

[ หือ? ]

เมื่อออกมาข้างนอกร้านก็ได้ยินเสียงดัง

[ แก! ก็แค่ดาบสั้น แล้วไม่รู้รึไงว่าฉันเป็นใคร ลูกชายคนโตของท่านบารอนแอลชิออนเชียวนะเว้ย! ]

เด็กหนุ่มคนที่กำลังโกรธคือซิคของแผนกผู้กล้า