บทที่ 1976 – เมืองฉาง ลอบสะกดรอยตาม ผู้สืบทอดอสูรทำลาย

Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล

ตระกูลโซว่ตั้งอยู่ในเมืองต้าฉาง ตัวของชิงสุ่ยก็ไม่ได้ใส่ใจตระกูลโซว่มากนัก และการที่เขาไม่รู้สึกทั้งประทับใจหรือไม่ประทับใจในตัวตะกูลโซว่ เมืองแห่งนี้จึงไม่ใช่ปัญหา ถ้าหากชิงสุ่ยต้องเลือกระหว่างเมืองหิมะอุดร กลับเมืองต้าฉาง เขาก็คงจะเลือกเมืองต้าฉาง
  ทุกตรอกมุมเมือง มักจะมีคนขายแผนที่ไว้สำหรับนักท่องเที่ยว ชิงสุ่ยจึงซื้อแผนที่ของเมืองเพื่อตรวจสอบ
  ชิงสุ่ยมองดูแผนที่ ก่อนจะจดจ่ออยู่กับดินแดนอุดรเหมันต์ รายละเอียดที่แสดงมีเพียงแค่ขนาดของดินแดนอุดรเหมันต์ ส่วนสถานที่อื่นก็มีเพียงแค่ชื่ออธิบาย แม้แต่เมืองที่อยู่ภายในก็ไม่มีข้อความหรือคำอธิบายใดๆทั้งสิ้น
  ลักษณะของดินแดนอุดรเหมันต์ เป็นตารางที่ดูแปลกประหลาด ในความเป็นจริงแล้วมันก็เกือบจะเป็นรูปสี่เหลี่ยม โดยมีเมืองหิมะเหมันต์ เมืองต้าฉาง และเมืองซือหยุน ส่วนฝั่งใต้จะเป็นแนวเทือกเขาขนาดใหญ่
  เทือกเขาแห่งนี้ถูกเรียกว่าเทือกเขาต้าเจีย ชิงสุ่ยก็รู้ดีว่าถัดไปจากเทือกเขาต้าเจียจะเป็นการเข้าสู่โลก 9 มหาทวีปที่แท้จริง เทือกเขาต้าเจียครอบครองพื้นที่ดินแดนอุดรเหมันต์ตอนใต้ไปถึง 1 ใน 3 ส่วน ในขณะที่เมืองหิมะอุดร เมืองซือหยุน และเมืองต้างฉางก็กินพื้นที่ไปอีกเกือบครึ่ง นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมเป่ยหมิงเสวี่ยถึงได้บอกว่าดินแดนอุดรเหมันต์ไม่นับเป็นโลก 9 มหาทวีปที่แท้จริง
  ดินแดนอุดรเหมันต์เป็นที่รู้จักกันในนามอาณาจักรอุดรเหมันต์ อย่างไรก็ตามมหาทวีปอุดรเทวาก็มีขนาดกว้างใหญ่ไม่เหมือนกับมหาทวีปอื่นๆ จึงทำให้การออกสำรวจให้ทั่วทั้งแผ่นทวีปกลายเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ ผู้คนจึงไม่สามารถออกท่องเที่ยววาดแผนที่ได้ แต่จากการประเมินแล้ว มหาทวีปอุดรเทวะ น่าจะเป็นสถานที่รวมตัวของอาณาจักรมากกว่า81 อาณาจักร
  ชิงสุ่ยมองดูแผนที่ในมือ และคัดเอาชื่อเมืองต่างๆออกมา จากนั้นเขาก็ซื้อตำราภูมิศาสตร์ เพื่อสืบเสาะข้อมูลอธิบายเมืองต่างๆ
  คำอธิบายก็ยังคงไม่ละเอียด แต่เขามากมายมากพอ อย่างเช่นเมืองฉาง มันคือเมืองที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพ่อค้า นักการค้า และร้านค้า ดังนั้นมันจึงกลายเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากร สมุนไพร และสิ่งของนำเข้าอีกหลายอย่าง
  ชิงสุ่ยอยากจะเห็นเมืองฉาง เพราะดูเหมือนว่าเมืองแห่งนี้จะเป็นเมืองที่เฟื่องฟูที่สุดในดินแดนอุดรเหมันต์ ในเมื่อมันมีร้านค้า นักรบสัญจรที่แข็งแกร่งก็จะต้องมีมากและอาจจะเป็นเขตแดนที่มีนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดอาศัยอยู่
  มีข่าวลือหนาหูมากมายว่าเมืองฉางผู้ปกครองด้วยนิกายใหญ่นิกายนึง มันจึงทำให้เมืองแห่งนี้กลายเป็นหนึ่งในเมืองที่ทรงพลังที่สุดของดินแดนอุดรเหมันต์ไปโดยปริยาย
  สถานที่เต็มไปด้วยพลังปราณจิต แล้วเป็นเส้นหล่อเลี้ยงของพลังปราณจิต ยอมให้กำเนิดสมุนไพรและผลไม้อันแสนมีค่า ใครก็ตามที่ได้ปกครองเขตแดนนั้น ผู้นั้นจะสามารถสร้างนิกายที่แข็งแกร่ง และกลายเป็นผู้ครอบครองสมุนไพรอันล้ำค่าแต่เพียงผู้เดียว
  การฆ่าสังหารแย่งชิงขุมทรัพย์จึงเกิดบ่อยกว่าโลกธรรมดา หลายๆครั้งที่ต้องมีนิกายเสียสละถูกกำจัด ภายในวันเดียว ชาวบ้านทุกคนก็จะรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของนิกาย พวกเขาจะได้รับรู้ว่าใครขึ้นมาเป็นผู้นำคนถัดไป แต่สำหรับผู้พ่ายแพ้ก็คงต้องตำหนิตัวเองที่ขาดกำลัง และทำได้เพียงแค่รอคอยวันถูกสังหาร
  ชิงสุ่ยอ่านบทความต่างๆอย่างรวดเร็ว และตัดสินใจแน่วแน่วางแผนจะไปเยือนเมืองฉาง คันแรกเขาวางแผนปักหลักที่เมืองซือหยุน แต่เมื่อเห็นข้อมูลของเมืองฮางแล้ว ความคิดของเขาก็เปลี่ยนไป  เมืองฉางตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของดินแดนอุดรเหมันต์ มันเชื่อมระหว่างเขตแดนมหาสมุทรอุดรเหมันต์และเขตแดนทุ่งน้ำแข็งอุดร ถ้าหากต้องการจะข้ามระหว่างเขตแดนโดยเลือกจากระยะทางใกล้ที่สุด ผู้คนจำเป็นจะต้องเดินทางผ่านเมืองฉาง
  ชิงสุยจึงไม่รอช้าเร่งรีบออกเดินทางทั้งที
  เมืองฉาง
  ทันทีที่ย่างก้าวเข้าไปในเมืองฉาง เห็นไม่ชัดเลยว่าเมืองแห่งนี้ดูยกระดับเหนือยิ่งกว่าเมืองหิมะอุดรและเมืองต้าฉาง ตามคำกล่าวอธิบายในตำราบอกว่าเมืองแห่งนี้มี 4 ฤดูกาลที่แตกต่างกัน แต่ช่วงเวลาร้อนก็ไม่ได้ร้อนอบอ้าวเกินไป และช่วงเวลาเย็นก็ไม่หนาวจัดเกินไป ถือว่าเป็นฤดูกาลที่สมดุล
  ผู้คนที่เข้าออกประตูเมืองเรียกได้ว่ามีปริมาณมหาศาล บ้านแต่ละหลังมีลักษณะที่แตกต่างกันไป มองเห็นรูปทรงได้ตั้งแต่หมู่บ้านของชาวประชาชน ไปจนถึงหมู่บ้านของผู้สืบสายเลือดราชวงศ์ อาคารใหญ่ที่ขนาบข้างทางเดินสูงตระหง่านมั่นคง
  เทวรูปเทพเจ้าฉาง
  เมื่อเดินผ่านถนนสายหลัก ชิงสุ่ยก็มาถึงด้านหน้าของเทวรูปหินขนาดยักษ์ ที่วางตระหง่านอยู่กลางสี่แยก รูปปั้นมีความสูงเกือบ 500 เมตร และเกิดจากการแกะสลักก้อนหินเพียงแค่ก้อนเดียว
  เทวรูปเทพเจ้าค้าขายเป็นตัวแทนของสัญลักษณ์การค้าในอดีตกาล เขาคือยอดจอมยุทธผู้มาจากตระกูลฉาง อย่างไรก็ตามในโลก9 มหาทวีปสถานะของพ่อค้าก็ไม่ได้มีค่าโดดเด่นไปกว่ายอดยุทธ เขาจึงถูกตระกูลดูแลเลี้ยงดูภายใต้การฝึกฝนวิทยายุทธ และให้ฝึกหัดทำการค้าเพื่อพยุงชีพ
  เทพแห่งการค้าออกจากบ้านและหวังจะเดินทางรอบโลกเพื่อฝึกฝนฝีมือพัฒนาความแข็งแกร่ง แต่เมื่อเขากลับมาถึงตระกูล เขาก็เพิ่งทราบข่าวว่าตระกูลของเขาถูกใครบางคนกำจัดทิ้ง
  สิ่งที่เกิดขึ้นสร้างผลกระทบจิตใจของเขาเป็นอย่างมาก และส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ในขณะเดียวกันเขาก็ได้บทเรียนมากมาย
  ต่อมา เขาจึงเริ่มทำการค้า ด้วยโชคหรือพรสวรรค์ การค้าของเขาขยายเติบโต จนนำพาให้เขากลายเป็นเทพเจ้าแห่งการค้า ในตอนนี้ตระกูลฉางได้กลับมาเป็นตระกูลที่ใหญ่ที่สุดณที่แห่งนี้ พวกเขาแข็งแกร่ง และมั่งคั่งอย่างไม่น่าเชื่อ
  เรื่องราวทั้งหมดถูกเขียนอธิบายไว้ในตำรา ชิงสุ่ยเองก็ไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องสืบเสาะหาความจริงเพราะมันไม่ใช่เรื่องสำคัญของเขา สิ่งที่สำคัญที่สุดคือตระกูลฉางก็ยังคงเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่ในเมืองฉาง
  ในขณะที่ชิงสุ่ยกำลังก้าวเดินไปตามแนวร้านค้าที่เต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย สายตาของเขามองไปเห็นร้านสมุนไพรที่อยู่บริเวณใกล้เคียง และกำลังจะเข้าไปตรวจสอบสมุนไพรที่ใช้ค้าขาย  ทันใดนั้น ชิงสุ่ยก็รับรู้ได้ว่าตัวของเขาเองกำลังถูกสะกดรอยตาม เขาก็เสแสร้งทำเป็นไม่เห็น และปลดปล่อยพลังปราณจิตที่แข็งแกร่งเพื่อตรวจจับเป้าหมายที่กำลังสะกดรอยตามเขา
  มันคือชายวัยกลางคนรูปร่างผอมเล็ก หลังโก่ง ร่างกายของเขาแทบจะกลืนไปกับบรรยากาศราวกับคนที่ไร้ตัวตน
  แต่ในขณะเดียวกันนั้น ชิงสุ่ยก็รับรู้ถึงกลิ่นอายที่แสนคุ้นเคย
  ผู้สืบทอดอสูรทำลาย!!
  ชิงสุ่ยค่อนข้างแปลกใจแต่เขาก็ยังคงก้าวเดินอย่างสงบ เขาไม่รู้ว่าทำไมชายคนนี้ถึงลอบติดตาม หรือว่าชายคนนี้สังเกตเห็นตัวตนที่แท้จริงของเขา และหมายจะสังหารเขา?
  ผู้สืบทอดแห่งจอมอสูรและผู้สืบทอดเทพสงครามเป็นศัตรูซึ่งกันและกัน ฉะนั้นทุกครั้งที่เผชิญหน้า มันจะเกิดการต่อสู้ชี้เป็นชี้ตาย ซึ่งถือเป็นรากฐานของผู้สืบทอดทั้งสองฝั่ง  ชิงสุ่ยยังคงเดินไปตามถนนสายหลัก ก่อนจะลัดเลาะเดินแยกออกไปยังบริเวณจุดมุมอับนอกถนนที่ไร้ผู้คน
  จากนั้นชิงสุ่ยก็หันหลังและพุ่งทะยานเข้าใจชายร่างผอมที่ลอบสะกดรอยตามเขา
  ชิงสุ่ยที่ว่ารวดเร็วแล้ว แต่ชายผู้นั้นก็ดูจะไม่ได้ช้าไปกว่าเขาเลย ชายร่างผอมหลบหลีกอย่างรวดเร็ว พร้อมกับแสดงสีหน้าประหลาดใจ เหตุใดชายที่เขาสะกดรอยตามถึงได้สังเกตเห็นเขา