ทว่าเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว อวิ๋นจิ่นก็ขัดขวางไว้
“พระองค์คิดจะทำอย่างไร? คิดจะใช้พลังสยบมังกรเพื่อดึงพิษกระชากวิญญาณออกมาจากร่างของนางหรือ? ”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วเล็กน้อย “ทำไม่ได้หรือ? ”
“ทำไม่ได้! ” อวิ๋นจิ่นตอบอย่างรวบรัด ทั้งยังขมวดคิ้วมุ่นยิ่งกว่าซูจิ่นซีเสียอีก
ซูจิ่นซีไม่เข้าใจ “ในร่างกายของข้าไม่เพียงมีพลังสยบมังกรเท่านั้น ทว่ายังมีพลังของศิลาปี้ลั่วอีกด้วย เหตุใดข้าจะทำไม่ได้”
อวิ๋นจิ่นรู้สึกจนปัญญา “พระชายารับรู้ถึงพลังของศิลาปี้ลั่วที่อยู่ในพระวรกายของพระองค์หรือไม่? พระชายาทรงทราบหรือไม่ว่า พลังของศิลาปี้ลั่วมีไว้เพื่ออันใด? ”
ซูจิ่นซียังไม่ทันตอบข้อสงสัย อวิ๋นจิ่นก็พูดขึ้นอีกครั้งว่า “พลังศิลาปี้ลั่วในพระวรกายของพระองค์ ใช้อายุขัยนับสิบปีของท่านอ๋องเพื่อสนับสนุน พระชายาอย่าลืมว่า พลังวิญญาณของพระองค์ยังไม่สมบูรณ์ อายุขัยสิบปีในพระวรกายของพระองค์ก็ยังไม่มั่นคง หากเกิดปัญหาใดขึ้นกับศิลาปี้ลั่ว สิ่งที่ท่านอ๋องทำมาทั้งหมดก็จะสูญเปล่า”
ความจริงทั้งหมดนี้ ตอนที่ออกมาจากผาเก็บดาว เจ้าหุบเขาได้กำชับอย่างชัดเจนแล้ว
ซูจิ่นซีพูดไม่ออก ทว่าครู่หนึ่งก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหรี่ตาถามอวิ๋นจิ่น “หมอหลวงอวิ๋น เจ้าขัดขวางข้าเช่นนี้ คงมีวิธีที่ดีกว่าใช่หรือไม่? ”
อวิ๋นจิ่นไม่ได้ตอบซูจิ่นซีในทันที เขาหยิบขวดแก้วที่มีเลือดจิ้งจอกน้อยมาจากมือของซูจิ่นซี “เรื่องนี้มอบให้กระหม่อมเป็นผู้ลงมือเถิด! กระหม่อมจะให้คำตอบที่น่าพอใจแก่พระชายา! ”
ในที่สุด อวิ๋นจิ่นก็ยอมลงมือ!
ซูจิ่นซีรู้อยู่แล้วว่า จากทักษะทางการแพทย์ของอวิ๋นจิ่น หากเขายอมทำให้ ย่อมทำได้ดีกว่านาง
แท้จริงแล้ว นางไม่มีวิธีนำพิษกระชากวิญญาณออกจากร่างขององค์หญิง เมื่อครู่นางเพียงจงใจกระตุ้นอวิ๋นจิ่น นางรู้ดีว่า เพียงนางทำสิ่งที่เป็นอันตรายต่อชีวิตตนเอง อวิ๋นจิ่นจะไม่นิ่งดูดายอย่างแน่นอน
เป็นดั่งที่คิดไว้ นางทำสำเร็จ
ซูจิ่นซียืนนิ่งอยู่ที่เดิม และมองร่างสีขาวราวหิมะของอวิ๋นจิ่นเดินไปยังข้างเตียงขององค์หญิงอย่างเชื่องช้า เขาเทเลือดจากขวดแก้วลงบนหน้าผากขององค์หญิง ซูจิ่นซีรู้สึกเพียงว่า ร่างสีขาวราวกับหิมะนั้น ทำให้ดวงตาของนางร้อนผ่าวด้วยความเจ็บปวด
นางไม่รู้ว่าคนอย่างอวิ๋นจิ่นที่ ‘ไม่อาจยืนดูดาย’ ได้นั้น เป็นโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่
เมื่อหยดเลือดลงบนหน้าผากขององค์หญิง อวิ๋นจิ่นก็วางฝ่ามือลงบนหยอดเลือดนั้น จากนั้น แสงเจิดจ้าก็แผ่ออกมาจากฝ่ามือของอวิ๋นจิ่นอย่างเชื่องช้า มันค่อยๆ ไหลเข้าสู่ร่างขององค์หญิงในจุดที่เขาหยดเลือดลงไป
ลำแสงไหลเข้าสู่ร่างขององค์หญิงมากขึ้นเรื่อยๆ ร่างขององค์หญิงเริ่มเปล่งแสงราวกับหิ่งห้อย และค่อยๆ ลอยขึ้นไปกลางอากาศ
ยิ่งลำแสงจากฝ่ามือของอวิ๋นจิ่นไหลเข้าสู่ร่างขององค์หญิงมากเท่าใด แสงที่ล้อมรอบตัวองค์หญิงก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น มันห่อหุ้มร่างกายอันบอบบางขององค์หญิงไว้ตรงกลาง ทำให้แก้มของนางสว่างมากยิ่งขึ้น
สุดท้าย ควันสีดำดั่งสีหมึกก็ทะลุผ่านร่างขององค์หญิงออกมาเป็นเส้นยาวเหมือนงู มันพุ่งออกมาจากหน้าอกขององค์หญิง จากนั้น หยดเลือดบนหน้าผากก็ซึมเข้าสู่ร่างขององค์หญิงทันที
ซูจิ่นซียืนอยู่ด้านข้าง ถือกล่องผ้ารอไว้ เมื่อเห็นควันสีดำหนาทึบ นางก็รีบเดินไปข้างหน้าและใช้กล่องผ้าเก็บควันสีดำเอาไว้ อวิ๋นจิ่นค่อยๆ ถอนพลังภายในกลับมา จากนั้น ร่างขององค์หญิงก็ค่อยๆ ลอยลงสู่เตียงอย่างมั่นคง
แก้มอันงดงามไม่มีร่องรอยซีดขาวจากอาการป่วยอีกต่อไป มองดูแล้ว นางมีท่าทีดีขึ้นมาก
ควันสีดำหนากลายเป็นเม็ดยาสีดำขนาดเท่าไข่ห่าน ซูจิ่นซีเหลือบมองอวิ๋นจิ่น ก่อนจะปิดฝา
นางหันไปพูดกับองค์ชายว่า “พิษกระชากวิญญาณในร่างขององค์หญิงถูกขับออกจนหมดแล้ว”
ใบหน้าขององค์ชายเปี่ยมไปด้วยความสุข เขารีบเดินไปยังข้างกายองค์หญิง
องค์หญิงค่อยๆ ลืมตาขึ้น แววตาอ่อนล้าพลันสดใส
“อาจวิน… ”
องค์หญิงต้องการพูดอันใดบางอย่าง ทว่ากลับถูกองค์ชายห้ามไว้ องค์ชายใช้มือแตะไปที่ริมฝีปากขององค์หญิง พลางส่ายศีรษะแผ่วเบา “อาอิน ไม่ต้องพูดสิ่งใด ข้าเข้าใจ! ข้าเข้าใจทุกอย่างแล้ว! เรื่องราวทั้งหมดในอดีตล้วนไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคืออนาคต ไม่ว่าอย่างไร พวกเราจะไม่แยกจากกัน”
แววตาสดใสขององค์หญิงถูกแทนที่ด้วยประกายระยิบระยับราวกับผลึกแก้ว นางเม้มริมฝีปากแน่น มุมปากสั่นเทาเล็กน้อย และไม่อาจเอื้อนเอ่ยสิ่งใดได้ ทำได้เพียงโอบกอดองค์ชาย องค์ชายประคองร่างขององค์หญิงไว้ในอ้อมแขนด้วยความอ่อนโยนอย่างสุดซึ้ง
ซูจิ่นซีและอวิ๋นจิ่นหันหลังเดินกลับออกไป ขณะที่อาจูและอาอวี่ยืนนิ่งอยู่ด้านหน้าประตู
ท้องฟ้าเริ่มสว่าง กลายเป็นสีขาวแห่งรุ่งอรุณ
อาอวี่ถามซูจิ่นซี “แม่นางซู อาการประชวรขององค์หญิง… เป็นอย่างไรบ้าง”
ซูจิ่นซีเหลือบมองกล่องผ้าในมือ “พิษกระชากวิญญาณถูกกำจัดออกจากร่าง องค์หญิงของเจ้าไม่เป็นอันใดแล้ว”
“เป็นเช่นนั้นก็ดี! ”
อาอวี่มีท่าทางเป็นห่วงอาการขององค์หญิงมากกว่าองค์ชายเสียอีก
ซูจิ่นซีพูดอย่างตรงไปตรงมา “นำทางไปเถิด! พวกเราจะออกจากเมืองอวิ๋นหุนไปยังโลกเขตแดน”
อาอวี่ตกใจเล็กน้อย “ไปตอนนี้หรือ? องค์ชายและองค์หญิงยังไม่ออกมา รอให้ทั้งสองพระองค์ออกมาก่อน ค่อยกล่าวอำลาก่อนจากไปไม่ดีกว่าหรือ? ”
ซูจิ่นซีแย้มยิ้มเล็กน้อยและส่ายศีรษะ “คงไม่ได้พบกันอีก เรื่องนั้นจึงไม่จำเป็น พวกเราต้องรีบเดินทาง”
แท้จริงแล้ว ซูจิ่นซีต้องการพูดว่า หากเป็นไปได้ สถานที่อย่างเขาเมฆา รวมถึงอาณาจักรโลกเขตแดนอันใดเทือกนั้น ชั่วชีวิตนี้ นางไม่ต้องการกลับมาอีก
หากสามารถแก้ไขความเกลียดชังระหว่างราชวงศ์ต้าฉินกับสกุลมู่หรงได้ นางต้องการอยู่กับเยี่ยโยวเหยาตลอดชีวิต จับมือกันมองดูทิวทัศน์ที่งดงาม อาศัยอยู่ในสวนตี้เหมยเมืองเหยาเฉิงตลอดไป
อาอวี่ถามอีกครั้ง “หรือออกเดินทางหลังอาหารเช้าดีหรือไม่? ”
ซูจิ่นซีและอวิ๋นจิ่นไม่พูดสิ่งใด อาอวี่เข้าใจความต้องการของพวกเขาดี จึงไม่ขัดขวางอีก ก่อนจะนำทหารองครักษ์หลายนาย พาซูจิ่นซีและอวิ๋นจิ่นออกไปด้วยตัวเอง
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่พวกเขาเดินออกจากประตูเมือง องค์ชายและองค์หญิงก็ขี่ม้าไล่ตามพวกเขามา “แม่นางซู คุณชายอวิ๋น โปรดรอก่อน! รอก่อน! ”
ซูจิ่นซีและอวิ๋นจิ่นหยุดฝีเท้า องค์ชายและองค์หญิงจึงลงมาจากรถม้า และเดินมายืนอยู่เบื้องหน้าพวกเขา
พิษกระชากวิญญาณถูกกำจัดออกจากร่างขององค์หญิงแล้ว สีหน้าของนางจึงดีขึ้นมาก นางเดินมาด้านหน้าซูจิ่นซี และแสดงความขอบคุณซูจิ่นซีด้วยตนเอง “แม่นางซู ขอบคุณท่านที่ช่วยชีวิตข้า ก่อนหน้านี้… หากข้าทำสิ่งใดไม่ถูกต้อง แม่นางซูโปรดอย่าใส่ใจ”
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากเล็กน้อย “เรื่องในอดีต ข้าลืมไปหมดแล้ว” ซูจิ่นซีหยุดพูดชั่วครู่ ดวงตาเคร่งครึมของนางเหลือบมององค์ชาย ก่อนจะพูดว่า “พวกเราเพียงช่วยถอนพิษกระชากวิญญาณออกจากร่างขององค์หญิง จึงไม่อาจรับบุญคุณครั้งนี้ได้ ในเมื่อองค์หญิงเป็นคนของเผ่าสวรรค์ ท่านควรเข้าใจว่าชีวิตของท่านอยู่ในมือของท่านเอง แม้เขาเมฆาจะกว้างใหญ่ ทว่าท้ายที่สุดแล้ว มันก็ไม่ใช่สถานที่สำหรับองค์หญิง”
คนเผ่าสวรรค์ที่อาศัยอยู่ในเขาเมฆาเป็นเวลานาน พลังจิตวิญญาณจะค่อยๆ หายไป และถูกเขาเมฆาทำลายพลังหยินจนต้องตายไปในที่สุด
สิ่งที่ทำลายชีวิตขององค์หญิง หาใช่พิษกระชากวิญญาณ แต่เป็นเขาเมฆา
อย่างไรก็ตาม ไม่คิดว่าองค์หญิงจะเผยรอยยิ้มแห่งความสุข นางถอยหลังไปหนึ่งก้าว และจับมือองค์ชายแน่น “แม้เขาเมฆาจะไม่ยินยอมให้ข้ามีชีวิตอยู่ได้นาน ทว่าแผ่นดินกว้างใหญ่ มีเพียงเขาเมฆาเท่านั้นที่เป็นสถานที่ปลอดภัยของข้า ขอบคุณแม่นางซูสำหรับคำเตือน ข้าจะจดจำไว้ในใจ”
ซูจิ่นซีมองปฏิกิริยาขององค์ชายอีกครั้ง ท่าทางของเขาไม่มีความผิดปกติใดๆ เห็นได้ชัดว่าองค์หญิงและองค์ชายมีความคิดเห็นอย่างเดียวกัน
ทั้งที่รู้ว่าความรักจะนำไปสู่ความตาย ทว่ายังยึดมั่นในความรัก ยึดมั่นที่จะอยู่ด้วยกัน ความรักเช่นนี้ คือความรักจวบจนวันตายอย่างนั้นหรือ?
ซูจิ่นซีคิดว่าความรักแบบนี้ มีเพียงผู้ที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันเท่านั้น จึงจะสามารถเข้าใจได้
องค์ชายยื่นกล่องใบหนึ่งให้ซูจิ่นซี “แม่นางซู เจ้าและคุณชายอวิ๋นช่วยอาอินเอาไว้ บุญคุณครั้งนี้ เผ่าอวิ๋นหุนของข้าจะไม่มีวันลืม ข้าขอมอบของขวัญชิ้นนี้ให้แม่นางและคุณชายอวิ๋น นับเป็นน้ำใจเพียงเล็กน้อยของเผ่าอวิ๋นหุน หวังว่าท่านทั้งสองจะยอมรับไว้ ”
“มันคือสิ่งใด? ” ซูจิ่นซีไม่ได้รับมาในทันที
ใบหน้าขององค์หญิงยังคงปรากฏรอยยิ้มเมตตา “นี่คือหินเซิ่งอวิ๋น!”