บทที่ 6 บทที่ 131-1 ดังนั้นเจอกันที่นี่

สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด

หลินเฟิงพยุงผู้ชายที่ล้มบนบันไดขึ้นมา จากนั้นก็มองผู้คนบนอัฒจันทร์ 

 

วุ่ยวายจริงๆ… 

 

แต่ใครกันที่ทำเรื่องแบบนี้ออกมาได้…จุยเฟิง เป็นใคร 

 

หลินเฟิงส่ายหน้าคิดจะรีบไปรวมตัวกับหม่าโฮ่วเต๋อ เขาเพิ่งดูรายการถึงครึ่งหนึ่งก็ได้รับโทรศัพท์จากเริ่นจื่อหลิงอย่างกะทันหัน เธอบอกว่าเป็นคำสั่งของเซ่อร์หม่าจึงรีบบอกลาแฟนสาว ออกมาตามหาคน 

 

แต่ก็โชคดีที่ได้รับโทรศัพท์จากคุณเริ่น ไม่เช่นนั้นคงไม่อาจคิดถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นได้…ต่อไปจะไม่นัดเพื่อนสาวทางอินเทอร์เน็ตออกมาสุ่มสี่สุ่มห้าแล้ว 

 

เพียงแค่คนสองคน แต่รู้สึกเหมือนโดนโจมตีหมื่นจุด…ยังดีที่มีโทรศัพท์นี้เข้ามา 

 

เพียงแต่เขาเดินหามาตลอดทางก็ไม่เห็นเด็กหญิงที่ดูคล้ายกับที่ให้ตามหาเลย…ในระหว่างทางยังถูกเพลงของเฉิงอี้หรานที่ขึ้นเวทีตอนสุดท้ายทำให้มึนจนหยุดโดยไม่รู้ตัวอีก…เรื่องนี้ ไม่รายงานจะดีกว่า  

 

อา… 

 

 “แปลกจริง ทำไมโทรหาเซอร์หม่าไม่ติด” หลินเฟิงขมวดคิ้ว จากนั้นก็ใช้วิธีที่หากไม่จำเป็นจะไม่ใช้ 

 

เพราะเขาเป็นคู่หูของเซอร์หม่า เพื่อรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดคิด โทรศัพท์ของทั้งสองจึงได้ติดตั้งโปรแกรมระบุตำแหน่งเอาไว้ 

 

 “ทางนั้นเหรอ” หลินเฟิงมองตำแหน่งบนโทรศัพท์และคลำทางไป 

 

บ้าชิบ…เหยียบโดนแมลงสาบตาย 

 

… 

 

ตอนที่หม่าโฮ่วเต๋อตื่นขึ้นมานั้นก็เผชิญหน้ากับคนที่มีใบหน้าน่ากลัวผิดปกติ…มีรอยมีดมากมาย 

 

ผ่านอะไรมากันแน่ถึงมีบาดแผลที่น่ากลัวเช่นนั้น…แต่หม่าโฮ่วเต๋อก็ไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องที่มาของรอยแผลเป็น ได้แต่รีบสำรวจสถานการณ์ของตนเอง 

 

ถูกมัดด้วยเชือกป่าน ไม่สามารถขยับได้…ส่วนตำแหน่งก็คือ…ห้องน้ำ ห้องน้ำชาย 

 

ส่วนที่นี่ ทั้งบนพื้น บนผนังหรือแม้แต่ในอ่างล้างมือเต็มไปด้วยรอยเลือด และที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือมีชิ้นส่วนแขนขา 

 

มีจำพวกแขนขาดและขาขาด 

 

หม่าโฮ่วเต๋อขนลุก ความรู้สึกเย็นเฉียบไหลจากเท้าขึ้นมาบนหัวของเขา มีปัญหาไม่หยุด…”นายเป็นใครกันแน่” 

 

ชายฉกรรจ์ที่มีรอยแผลเป็นเต็มใบหน้ายิ้มบางๆ ถึงจะเป็นรอยยิ้มแต่กลับดูน่ากลัวเหมือนผีร้าย 

 

ทันใดนั้นเขาก็แทงกรรไกรขนาดใหญ่ลงบนพื้นและย่อตัวลง หรี่ตา ยื่นมือไปหยิบตราแสดงตัวของหม่าโฮ่วเต๋อที่คอขึ้นมา “ที่แท้ก็คือนายตำรวจหม่า ดีใจที่ได้เจอ” 

 

เสียงเหมือนเกียร์ขึ้นสนิมสีกัน ไม่น่าฟังอย่างมาก 

 

หม่าโฮ่วเต๋อยังถือว่าสงบนิ่ง คิดหาวิธีหนีไปพร้อมกับพูดว่า “นายชื่ออะไร ทำไมถึงอยู่ที่นี่ ที่นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้น” 

 

ชายฉกรรจ์หน้าบากพูดอย่างเย็นชาว่า “พวกตำรวจล้วนแต่ชอบถามทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วงั้นเหรอ ยังต้องถามอีกเหรอ หรือของเหล่านี้ไม่ได้ทำให้นายเข้าใจงั้นเหรอ อา ไม่ต้องรีบ อีกเดี๋ยวนายก็จะกลายเป็นแบบพวกเขา” 

 

พูดแล้ว ชายฉกรรจ์ก็ยืนขึ้น ใช้สองมือถือกรรไกรขนาดใหญ่ ตัดฉับๆ “นายว่าฉันเริ่มจากตัดคอนายก่อนหรือเริ่มจากท้องนาย…หรือเริ่มจากตัดขาของนายก่อนดี” 

 

หม่าโฮ่วเต๋อมองกรรไกรขนาดใหญ่ค่อยๆ เข้าใกล้ตนเองเข้ามาเรื่อยๆ แล้วก็เหงื่อแตก “นาย…นายฆ่าคนมากี่คนแล้ว” 

 

 “อา จำไม่ได้แล้ว” ชายฉกรรจ์หรี่ตายิ้มและพูดว่า “จำเป็นต้องจำด้วยงั้นเหรอ ฆ่าแล้วสบายใจก็ได้แล้วนี่” 

 

กรรไกรขนาดใหญ่…ชิ้นส่วนแขนขาตรงนี้ ทันใดนั้นหม่าโฮ่วเต๋อก็คิดออก หลุดปากออกไปว่า “ศพคนเร่ร่อนไร้หัวครั้งก่อนก็เป็นฝีมือนายงั้นเหรอ” 

 

 “อา คนเร่ร่อน” ชายฉกรรจ์ชะงัก จากนั้นถึงได้พูดว่า “นายพูดถึงเจ้านั่นเหรอ…ฉันคิดออกแล้ว” 

 

ชายฉกรรจ์หน้าบากยิ้มเยาะและพูดว่า “เจ้านั่นก็เป็นสวะเหมือนกันชัดๆ แต่กลับมาว่าฉันอัปลักษณ์ ชิ ฉันเลยตัดหัวเขาซะ แล้วก็เผา ฮ่าๆ เหมือนรสเนื้อเผา คุณตำรวจ นายเคยลองหัวคนเผาไหม” 

 

 “นายมัน…บ้า” หม่าโฮ่วเต๋อเบิกตากว้าง ตั้งแต่ทำงานมา เขาไม่เคยเห็นคนที่โหดเ**้ยมถึงขนาดนี้มาก่อน “คนงานในสนามกีฬาแห่งนี้นายก็เป็นฆ่าใช่ไหม” 

 

ชายฉกรรจ์หน้าบากพูดว่า “นายถามมากเกินไปแล้ว ฉันจะทำอะไรหรือชอบทำอะไรก็เป็นเรื่องของฉัน นายไม่ต้องมายุ่ง…นายสนใจเรื่องของตัวเองจะดีกว่า” 

 

หม่าโฮ่วเต๋อเห็นว่าตนเองไม่มีโอกาสหนี ใบหน้าฉายความไม่ยินยอม กัดฟันเอ่ยว่า “รอเดี๋ยว ฉันรู้ว่าฉันจะตายแล้ว แต่ฉันต้องการตายอย่างหมดข้อสงสัย…อย่างน้อยนายก็บอกฉันว่านายชื่ออะไร ถ้าฉันได้เกิดใหม่ก็จะได้ตามหานายเพื่อล้างแค้นได้ถูก” 

 

 “เป็นผีก็จะไม่ยอมปล่อยฉันไปงั้นเหรอ” ชายฉกรรจ์หัวเราะ “แต่ฉันชอบ ฉันจะบอกนายให้นะ…จำไว้ว่าข้าชื่อจุยเฟิงผู้ยิ่งใหญ่” 

 

ตอนนี้กรรไกรลดลงจนถึงส่วนคอของหม่าโฮ่วเต๋อแล้ว เซอร์หม่ามองอย่างโมโห พริบตาที่กรรไกรขนาดใหญ่กำลังประกบเข้ามานั้นก็เกิดเสียงดังขึ้น 

 

หลังได้ยินเสียงประตูห้องน้ำกระแทกกับผนัง ก็มีเสียงคำรามดังขึ้นอีก “เซอร์หม่า ผมมาช่วยคุณแล้ว!” 

 

หลินเฟิง 

 

ตอนนี้ในมือของหลินเฟิงถือไม้ถูพื้น ในพริบตาที่พูดก็ฟาดไม้ถูพื้นลงไปบนหัวของชายฉกรรจ์ 

 

เหมือนชายฉกรรจ์จะถูกฟาดจนมึนงง เซไปมา พิงไปที่อ้างล้างมือ เซอร์หลินผู้เชี่ยวชาญในการรบไม่หยุดเพียงเท่านี้รีบไล่โจมตีทันที 

 

ชายฉกรรจ์พยายามขัดขืน วาดกรรไกรขนาดใหญ่เข้ามา ใบมีดอันแหลมคมเกือบตัดชุดนอกของหลินเฟิง 

 

แต่หม่าโฮ่วเต๋อกลับฉวยโอกาสเหยียดเอวออก ยกขาขึ้นถีบไปที่หลังเอวของชายฉกรรจ์ เซอร์หม่าคำรามว่า “แม่งเอ้ย! ลองขากรรไกรเอาชีวิตของฉันดู” 

 

แรงถีบจากหม่าโฮ่วเต๋อ ทำให้ชายฉกรรจ์เสียสมดุล หลินเฟิงเห็นโอกาสก็ฟาดไม้ถูพื้นลงมาอีกครั้ง ครั้งนี้ฟาดอย่างรุนแรงจนไม้ถูกพื้นหัก 

 

ชายฉกรรจ์มึนไปชั่วขณะ ล้มลงบนพื้น หลินเฟิงพุ่งเข้ามาพลิกสองมือของชายฉกรรจ์มาไว้ด้านหลังจากนั้นก็กดมันเอาไว้ ใช้แขนรัดคอชายฉกรรจ์…จนกระทั่งชายฉกรรจ์สลบลงไปแล้ว เขาถึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก 

 

… 

 

 “เกือบไปแล้ว เซอร์หม่า คุณไม่ได้รับบาดเจ็บใช่ไหม” หลินเฟิงรีบคลายเชือกให้หม่าโฮ่วเต๋อ 

 

เซอร์หม่าเช็ดเหงื่อและเอ่ยว่า “แม่งเอ๊ย! ฉันเกือบต้องตายอยู่ที่นี่แล้ว ยังดีที่นายมาทัน” 

 

 “ผมโทรหาคุณไม่ติดเลยตามตำแหน่งมา…เกือบไปแล้วจริงๆ” หลินเฟิงพยักหน้าเอ่ยว่า “แต่เจ้าบ้านี่เป็นใครกัน” 

 

หม่าโฮ่วขมวดคิ้วและเอ่ยว่า “เขาบอกว่าตัวเองชื่อว่าจุยเฟิง แต่ฉันคิดว่าอาจจะเป็นชื่อปลอมที่ตั้งขึ้นมาเอง…มีความเป็นไปได้สูงที่เจ้านี่จะเป็นนักโทษในคดีฆาตกรรมหลายๆ คดีที่ผ่านมา อีกอย่างก่อนที่เขาจะลงมือดูเหมือนจะฆ่าคนมาหลายคนแล้ว” 

 

หลินเฟิงก็มองฉากนองเลือดในห้องน้ำอย่างหวาดกลัว “ใช้กรรไกรใหญ่ขนาดนี้เป็นอาวุธ…เจ้าบ้านี่โหดเ**้ยมขนาดไหนกัน” 

 

 “เมื่อครู่นี้ฉันคุยกับเขา” หม่าโฮ่วเต๋อพูดอย่างจริงจัง “เจ้านี่จะต้องเป็นพวกต่อต้านสังคมและจิตไม่ปกติ อันตรายมาก ต้องจับกลับไป…ใช่แล้ว ด้านนอกเป็นไง หาระเบิดพบไหม” 

 

 “ระเบิดอะไร” หลินเฟิงชะงัก จากนั้นก็เล่าเรื่องฉากแมลงสาบที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไม่นานให้ฟัง 

 

 “ในเมื่อไม่ใช่ระเบิด…ข้าคือจุยเฟิงผู้ยิ่งใหญ่งั้นเหรอ” หม่าโฮ่วเต๋อส่ายหน้า “อย่าเพิ่งสน รอเจ้าบ้านี่ตื่นแล้วก็ใช้วีธีเค้นคอรอบหนึ่ง จะต้องให้เขาพูดทุกอย่างตั้งแต่ต้นให้ฟังให้ได้” 

 

 “ฉันเรียกให้พวกพี่น้องมาแล้ว” หลินเฟิงพยักหน้าพูดว่า “มาถึงกันหมดแล้ว คนของพวกเรากับคนของหน่วยดับเพลิง” 

 

หม่าโฮ่วเต๋อลูบคอตัวเอง…แม่ง ยังดีที่ฉันดวงแข็ง 

 

… 

 

… 

 

 “เก๋อชง เก๋อชง นายอยู่ที่ไหน เก๋อชง” 

 

หญิงสาวเดินบนระเบียงทางเดินอย่างรีบร้อน เดินไปตะโกนเรียกชื่อไปด้วย ขณะเดียวกันก็มองโทรศัพท์มือถือของตนเองอย่างหงุดหงิด ความสับสนวุ่นวายที่เกิดขึ้นเมื่อครู่มีคนชนเธอจนโทรศัพท์ตกและยังถูกเหยียบซ้ำอีกซึ่งทำให้เธอไม่สามารถเปิดเครื่องได้ 

 

นับตั้งแต่เก๋อชงบอกว่าปวดท้องวิ่งไปห้องน้ำแล้วก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย…หญิงสาวหมดหนทางจึงมาเดินหาบนระเบียงชั้นนี้ 

 

แต่เธอไปดูที่ห้องน้ำชายที่ใกล้ที่สุดแล้ว เรียกตั้งนานก็ไม่มีเสียงตอบรับ 

 

 “เก๋อชง เก๋อชง นายอยู่ที่ไหน เจ้าอ้วน นายออกมาเดี๋ยวนี้” เด็กสาวร้องไห้ “นายทิ้งฉันไม่สนใจแล้วเหรอ เจ้าอ้วน” 

 

 “เจ้าอ้วนเหรอ” 

 

ทันใดนั้นเด็กสาวก็ได้ยินเสียงที่แฝงด้วยความสงสัย จึงหันไปมอง มองเห็น…จะพูดอย่างไรดี เป็นคนหนุ่มที่ดูสบายๆ คนหนึ่ง 

 

ดูไม่เหมือนผู้คนที่กำลังแตกตื่น…ทั้งยังรู้สึกคุ้นเหมือนเคยเจอที่ไหน 

 

แต่เด็กสาวไม่ทันได้สนใจเรื่องเหล่านี้ รีบเดินเข้าเข้ามา “ใช่แล้ว อ้วนมาก เขาชื่อว่าเก๋อชง คุณเจอเขาบ้างไหม” 

 

คนหนุ่มกะพริบตาและพูดว่า “จะชื่อเก๋อชงหรือเปล่าฉันไม่รู้ แต่ว่าค่อนข้างอ้วน…เมื่อกี้นี้ฉันเห็นตรงทางเลี้ยวข้างหน้า พิงอยู่ข้างตู้หยอดเหรียญ ใส่เสื้อคลุมสีเหลือง เป็นคนที่เธอกำลังหาหรือเปล่า” 

 

 “ใช่ๆ สวมเสื้อคลุมสีเหลือง” เด็กสาวพยักหน้าอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณมาก ใช่แล้ว…พวกเราเคยเจอกันที่ไหนหรือเปล่า” 

 

คนหนุ่มยิ้มและพูดว่า “ไปหาคนที่เธอหาเถอะ น่าจะเป็นคนสำคัญใช่ไหม เด็กสาวร้องไห้แล้วไม่น่าดูนะ” 

 

เด็กสาวรีบเช็ดน้ำตา…คนหนุ่มคนนี้ให้ความรู้สึกลึกลับและอ่อนโยน 

 

ถ้าไม่ใช่ว่ามีเก๋อชงแล้วละก็…คงจะใจสั่นเล็กน้อย ถ้าเป็นเมื่อก่อน แต่ตอนนี้ไม่แล้ว ชาตินี้นอกจากเจ้าอ้วนแล้วเธอจะไม่รักใครอีก 

 

เด็กสาวรีบพยักหน้าและวิ่งจากไป 

 

คนหนุ่มยิ้มและค่อยๆ หายไปจากระเบียง 

 

เด็กสาวไปตามคำบอกของคนหนุ่มและหาเก๋อชงที่พิงอยู่ข้างตู้หยอดเหรียญเจออย่างรวดเร็ว…ตอนนี้เก๋อชงพิงอยู่ข้างตู้หยอดเหรียญ แต่เมื่อเห็นเด็กสาวเดินเข้ามาแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไปในทันที 

 

เด็กสาวโมโหและพูดว่า “เจ้าอ้วน นายมาซ่อนอยู่ที่นี่ทำไม นายรู้ไหมว่าฉันตามหานายลำบากแค่ไหน” 

 

พูดแล้วเด็กสาวก็พุ่งเข้าไปหาเก๋อชง…คิดไม่ถึงว่าเก๋อชงจะรีบโบกไม้โบกมือและเอ่ยว่า “อย่า อย่าเข้ามา อย่าเข้ามาเด็ดขาด อย่าเข้ามานะ” 

 

 “เก๋อชง…นาย…ทำไมนาย…” เด็กสาวสีหน้าเปลี่ยน ดูคล้ายจะร้องไห้ 

 

 “ไม่ใช่แบบที่เธอคิด เป็นเพราะ เพราะ…” เก๋อชงพูดอย่างเศร้าสร้อยว่า “ถ้าเธอเข้ามา เธอจะต้องเสียใจ จะต้องเสียใจแน่ๆ” 

 

เด็กสาวขมวดคิ้ว ทันใดนั้นจมูกก็ขยับและเอ่ยว่า “เก๋อชง…กลิ่นอะไร เหม็น…เหม็นอะไร นายหันหลังมาให้ฉันดูเดี๋ยวนี้” 

 

เก๋อชงส่ายหน้า “ไม่ ให้ตายก็ไม่หัน” 

 

 “งั้นนายก็พูดกับฉันสิว่าเกิดอะไรขึ้น” เด็กสาวพูดว่า “ถ้าไม่พูดให้ชัดเจน ฉันจะทิ้งนายไว้ที่นี่แล้วกลับบ้าน นายคิดหาวิธีกลับเอาเองเถอะ” 

 

 “อย่าๆๆ…ฉันพูดแล้ว” 

 

เก๋อชงหน้าเปลี่ยนสีและพูดว่า “เมื่อกี้ฉันไปหาห้องน้ำ จากนั้น…จากนั้นไปไม่ทันเลย…เลย…อา แรงระเบิดปะทุ ฉันไม่คิดว่า มันเป็นเหตุสุดวิสัยนะ จากนั้น…จากนั้นฉันก็ทำได้แค่มาซ่อนตัวอยู่ที่นี่ก่อน” 

 

 “ทำไมนายไม่บอกฉัน” เด็กสาวโมโห 

 

เก๋อชงก้มหน้าและพูดว่า “เพราะ เพราะว่ามันเหม็นเกินไป…ฉันจะพูดออกไปได้ยังไง” 

 

เด็กสาวหัวเราะและพูดว่า “เอาละ จริงๆ เลย…ฉันคิดว่านายจะเป็นอะไรไปซะอีก นายนี่” 

 

 “เรื่องนั้น…ฉันไม่ได้ตั้งใจจะไม่สนใจเธอนะ” เก๋อชงรีบอธิบาย 

 

เด็กสาวส่ายหน้าเล็กน้อย “ขอแค่นายไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” 

 

เก๋อชงมองเด็กสาวอย่างรักใคร่ ยืดตัวไปข้างหน้า กลืนน้ำลาย คิดจะเข้าไปจูบเด็กสาว…ถึงแม้จะเคยจูบหลายครั้งแล้ว แต่ก็ยังอดใจไม่ได้ 

 

คิดไม่ถึงว่าเด็กสาวจะบีบจมูกและหลบหลีก ทำสีหน้ารังเกียจและเอ่ยว่า “อย่าเพิ่งเข้ามาตอนนี้” 

 

 “ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ…” เก๋อชงร้องไห้แต่ไร้น้ำตา 

 

เด็กสาวหน้าแดงขึ้นอย่างฉับพลัน พูดเบาๆ ว่า “อย่างน้อย อย่างน้อยก็รอกลับบ้านและอาบน้ำก่อน นายอยากจะทำยังไง…ก็ได้” 

 

โอ้ๆๆๆ โอ้ๆๆๆ 

 

… 

 

… 

 

ตอนที่หลงซีรั่วหากุยเชียนอีพบนั้นก็พบว่าเต่าเฒ่ายืนอยู่หน้าประตูทางเข้าแห่งหนึ่ง 

 

 “ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ พวกเขาล่ะ” หลงซีรั่วเดินไปข้างหน้า ขมวดคิ้วและก็มองเข้าไปในประตู 

 

สิ่งที่ทำให้เธอแปลกใจก็คือ เธอมองเห็นจุยเฟิงตั้งแต่แวบแรก…แน่นอนว่านอกจากจุยเฟิงแล้วยังมีชีส นีนี่ เสี่ยวเจียง ซูเสี่ยวซูและคนอื่นๆ 

 

 “ใต้เท้าหลง อย่าเพิ่งรบกวนพวกเขาจะดีกว่า” กุยเชียนอีพูดเบาๆ 

 

หลงซีรั่วพยักหน้า 

 

เธอมองเห็นจุยเฟิงคุกเข่าอยู่บนพื้นและโขกหัว พูดเสียงดังว่า “ขอโทษจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะฉันคงไม่เกิดเรื่องมากมายเช่นนี้ ขอโทษด้วย พวกนายด่าหรือทุบตีฉันได้เต็มที่จนกว่าจะหายโกรธ”  

 

นีนี่และเสี่ยวเจียงที่พูดขึ้นมามองไปทางชีส เห็นชีสมีสีหน้าเรียบเฉยและพูดว่า “นายคิดว่าพูดคำขอโทษไม่กี่คำและให้พวกเราทุบตีแล้วจะถือว่าหายกันไปงั้นเหรอ”  

 

จุยเฟิงเงยหน้าขึ้นและพูดอย่างแน่วแน่ว่า “ฉันรู้ว่าฉันเลว แต่…ฉันก็อยากให้พวกนายให้อภัยฉัน ลงโทษฉันตามที่พวกนายเห็นสมควร ถ้าทำแบบนั้น อย่างน้อยก็จะทำให้ฉันสบายใจขึ้นหน่อย” 

 

ชีสชกเข้าที่ใบหน้าของจุยเฟิงอย่างแค้นเคือง จุยเฟิงไม่ตอบโต้ ถูกชกหนึ่งหมัดจนล้มลงกับพื้น แต่ก็ไม่ร้องเจ็บ ภายในดวงตาฉายแววโล่งใจ 

 

ชีสยื่นมือออกมาให้จุยเฟิง “ลุกขึ้นมาเถอะ ตีก็ตีแล้ว” 

 

 “ชีส นาย…ทำไมนาย…” 

 

ชีสพูดเบาๆ ว่า “เจ้าโง่…วันนี้ทุกคนเหนื่อยกันหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นนาย ฉันหรือแม่ฉัน ยังมีนีนี่และเสี่ยวเจียง พวกเราเหนื่อยกันหมดแล้ว ทำไมไม่ผ่อนคลายหน่อย ฉันยังต้องกลับบ้านเพื่อเปลี่ยนผ้าอ้อมให้น้องๆ ของฉันอีก ไม่มีเวลามาอัดนายอยู่ที่นี่หรอกนะ” 

 

 “ชีส…ฉัน…ฉันขอโทษ” จุยเฟิงตาแดง 

 

 “เห็นแก่ที่นายเคยช่วยฉันครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ฉันให้อภัยนาย” เสี่ยวเจียงสบถ “แต่ ต่อไปนายห้ามเขกหัวฉันอีก” 

 

 “เสี่ยวเจียง…” 

 

 “ฉันไม่ยอมให้อภัยนายง่ายๆ หรอกนะ” นีนี่พูดอย่างงอนๆ “ไม่ง่ายเลยที่จะได้นัดในคืนนี้…ยังมีอีกอย่าง จุยเฟิง ฉันจะบอกนายให้ ถ้านายไม่คีบตุ๊กตาคิตตี้ให้ฉันสิบ…ไม่สิ ยี่สิบตัวละก็ ฉันก็จะไม่พูดกับนายอีก” 

 

 “นีนี่…” 

 

ชีสหัวเราะขึ้นในตอนนี้ “ยังนิ่งอยู่ทำไม ยืนขึ้นมาสิ…หัวหน้า” 

 

 “หัวหน้า” 

 

 “หัวหน้า” 

 

 “…” จุยเฟิงเช็ดใบหน้าของตนเองอย่างแรง พยายามเช็ด แต่กลับพูดอย่างโมโหว่า “พวกนาย…พวกนาย…ฉันคือจุยเฟิงผู้ยิ่งใหญ่นะ” 

 

… 

 

ไม่รู้เพราะอะไร หลงซีรั่วหัวเราะ หัวเราะอย่างเข้าอกเข้าใจ เธอพูดกับตัวเองว่า “หวังว่าต่อไปพวกเขาจะสามารถเติบโตขึ้นได้จริงๆ จดจำเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้และจูงมือกันก้าวเดินต่อไป” 

 

กุยเชียนอีถอนหายใจและเอ่ยว่า “ถึงความเจ็บปวดจะคงอยู่ไปตลอด แต่ว่า…ก็เพราะมีความเจ็บปวดถึงทำให้ใส่ใจและรู้คุณค่าของสิ่งที่อยู่ตรงหน้า พูดให้ชัดเจนก็คือ เหตุการณ์ในครั้งนี้เป็นประสบการณ์และบททดสอบที่ดีของพวกเขา เพราะได้ลิ้มรสความเจ็บปวดถึงมองเห็นอนาคตได้ชัดเจนยิ่งขึ้น วัยหนุ่มนี้ดีจริงๆ…” 

 

หลงซีรั่วชะงัก คิดถึงคำพูดที่ตัวเองพูดกับเจ้าของสมาคมคนนั้นด้วยความโกรธเมื่อไม่กี่สิบนาทีก่อน…เพราะได้ลิ้มรสความเจ็บปวดถึงมองเห็นอนาคตได้ชัดเจนยิ่งขึ้น หลักการเช่นนี้ ทำไมเธอจะไม่เข้าใจ 

 

เพียงแต่ตอนนี้โมโหเกินไปหน่อย 

 

 “ไม่เข้าใจจริงๆ เป็นคนดีหรือไม่ดีกันแน่นะ…” หลงซีรั่วส่ายหน้า ดวงตาฉายแววสับสน 

 

 “ใต้เท้าหลง เมื่อครู่นี้ท่านได้…” ทันใดนั้นกุยเชียนอีก็ถามขึ้นมา 

 

หลงซีรั่วส่ายหน้า ทันใดนั้นก็ล้วงเอาหลอดทดลองเล็กๆ หลอดหนึ่งออกมาส่งมันให้กับกุยเชียนอี “กุยเชียนอี เจ้าเอาของนี้ให้น้องชายมนุษย์คนนั้นดื่ม จะทำให้เขาดีขึ้น” 

 

 “นี่คือ…” 

 

 “ของที่สามารถเสริมความแข็งแกร่งให้กับร่างกายเขา ทำให้เขาดีขึ้นได้” หลงซีรั่วเอ่ย 

 

 “อ๋อ” กุยเชียนอีหรี่ตาลง เขาเดาถึงที่มาของของสิ่งนี้ออก จากนั้นก็ถอนหายใจ “น้องชายผู้นี้มีวาสนาจริงๆ” 

 

ในตอนนี้เอง มีบอลแสงสีขาวโผล่ขึ้นมากลางอากาศ มันค่อยๆ ตกลงตรงหน้าของหลงซีรั่ว มังกรแท้จริงแห่งแผ่นดินเทพชะงัก มองบอลแสงสีขาวในใจกลางมือด้วยสีหน้าเคร่งขรึม 

 

 “นี่คือ…” ท่าทางของกุยเชียนอีเคร่งเครียดขึ้นมา 

 

หลงซีรั่วพูดเบาๆ ว่า “วิญญาณของซูโย่ว” 

 

 “ตายแล้ว คิดไม่ถึงจริงๆ” กุยเชียนอีตะลึง 

 

หลงซีรั่วส่ายหน้าและพูดว่า “อย่าเพิ่งบอกชีส…รอข้าคิดหาวิธีหาที่รองรับมันได้ก่อน แต่ก่อนข้าเคยคุยกับอวิ๋นจงจื่อ น่าจะมีวิธีทำร่างปลอมออกมาได้” 

 

กุยเชียนอียิ้มอย่างอ่อนโยน…พวกจุยเฟิงและชีสต่างมีทางเติบโตของตัวเอง 

 

องค์หญิงน้อยท่านนี้ก็เช่นเดียวกันมิใช่หรือ 

 

ก่อนหน้านี้มังกรแท้จริงแห่งแผ่นดินเทพจะไม่เสียงเวลาทำเรื่อง ‘เกินความจำเป็น’ เช่นนี้หรอก 

 

 “เจ้าเก็บไว้ก่อน ตอนนี้ข้ายังไม่มีวิธีเก็บมัน” หลงซีรั่วส่งบอลแสงไปที่มือของกุยเชียนอี จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ใช่แล้ว ยังมีอีกเรื่อง เจ้าช่วยข้าที” 

 

 “โปรดสั่งมาได้เลย” กุยเชียนอีพูดอย่างนอบน้อม