ตอนที่ 704 เปลี่ยนแปลง

บุตรอสูรบรรพกาล

ตอนที่ 704

เปลี่ยนแปลง

“ยอดเลย ได้ยินหรือเปล่าอาณาจักรไป๋จะมอบรางวัลพิเศษให้กับหลี่เซียนด้วยนะ”ในงานเลี้ยงช่วงหัวค่ำ เจียนหู่ที่อยู่ร่วมงานกล่าวด้วยท่าทีดีใจเป็นอย่างมาก ไม่นึกเลยว่างานนี้แม้แต่อาณาจักรไป๋ยังชมออกนอกหน้า ถึงขั้นจะส่งรางวัลมาให้หลี่เซียนในภายหลังอีกต่างหาก แบบนี้มันน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว

“นั่นสิ รางวัลนั่นจะเป็นอะไรนะ”สือหลงว่าพลางมองมาทางหลี่เซียนด้วยท่าทีแซวๆ รางวัลจากพระญาติของจักรพรรดิอาณาจักรไป๋งั้นเหรอ ไม่ว่าใครก็ต้องตาลุกวาวทั้งนั้นเมื่อได้ยินคำนี้

“ไม่เห็นจะน่าสนใจเลย มันก็แค่ของรางวัลไม่ใช่หรือไง”อวิ๋นฉางตอบด้วยท่าทีไม่สนใจ มันไม่สนใจของมีค่าหรือตำแหน่งสูงส่งอะไร มันเป็นพวกชอบความแข็งแกร่งเท่านั้น

“บางทีอาจจะเป็นยอดวิชาของอาณาจักรไป๋ก็ได้นะ แบบนั้นหลี่เซียนคงเก่งขึ้นไปอีก บางทีอาจจะทิ้งเจ้าไม่เห็นฝุ่นเลยก็ได้”สือหลงว่าพลางหันมายิ้มให้อวิ๋นฉางด้วยท่าทีหยอกล้อ หากถามว่าในกลุ่มรองแม่ทัพของกองทัพราชสีห์คลั่งนั้นใครเก่งกาจที่สุด เรื่องนี้ก็ต้องดูกันว่าระหว่างอวิ๋นฉางกับหลี่เซียนใครจะพลาดก่อนกัน เพราะทั้งสองนับเป็นคนที่เก่งกาจที่สุดและสูสีกันที่สุดเป็นรองแต่เพียงท่านแม่ทัพสมัยก่อนเท่านั้น หรือก็คือตอนนี้พวกมันทั้งสองนับเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในกองทัพราชสีห์คลั่งแล้วนั่นเอง

“ว่าไงนะ”ทันทีที่ได้ยินคำแหย่ของสือหลง อวิ๋นฉางก็หันไปมองหลี่เซียนด้วยท่าทีหาเรื่องทันที หากรางวัลจะทำให้หลี่เซียนแข็งแกร่งขึ้นเช่นนั้นมันก็คงยอมไม่ได้หรอก แต่หากมันเป็นเช่นนั้นจริงมันก็จะฝึกฝนจนกว่าจะชนะหลี่เซียนในตอนนั้นได้นั่นเอง

“ประตูสู่ระดับเจ้าสวรรค์ ฟังดูน่าสนใจไม่ใช่หรือไง”สือหลงยังคงแหย่อวิ๋นฉางไม่เลิก ในอาณาจักรจินเป่ยทุกคนยังมาหยุดอยู่ระดับเทียนเซียนเท่านั้น การเปิดประตูเข้าไปในระดับเจ้าสวรรค์ช่างเป็นเรื่องยากเย็นเสียเหลือเกิน ต่างกับคนของอาณาจักรไป๋ที่มีทั้งทรัพยากรและวิชาสูงล้ำที่เกิดจากการผสมผสานวิชาของมนุษย์เข้ากับวิชาของอสูร ทำให้คนระดับเจ้าสวรรค์เพิ่มขึ้นมากในหลายปีหลังมานี้

“ข้ากลับล่ะ”อวิ๋นฉางได้ยินเช่นนั้นก็ทำท่าจะกลับทันที ไม่ใช่เพราะมันโมโหที่โดนแหย่ แต่เพราะคิดว่าหากหลี่เซียนแข็งแกร่งระดับเจ้าสวรรค์แล้วมันจะรับมือไม่ได้ ต้องกลับไปฝึกให้เร็วที่สุด

“ใจเย็นสิ ข้าแค่ล้อเจ้าเล่นแค่นั้นเอง กลับมาก่อน”สือหลงยิ้มเจื่อนๆก่อนจะลากอวิ๋นฉางกลับมา งานเลี้ยงนี้มีผู้หลักผู้ใหญ่มากันเยอะแยะขืนตัวหลักอย่างแม่ทัพและรองแม่ทัพของกองทัพราชสีห์คลั่งไม่อยู่มีหวังงานกร่อยแน่ๆ

“ว่าแต่เจ้านั่น ไหวหรือเปล่า”เจียนหู่ถามพลางมองไปทางหลี่เซียนที่กำลังโดนรุมล้อมด้วยเหล่าแขกของงานเลี้ยงฉลอง งานนี้จัดขึ้นโดยองค์จักรพรรดิทำให้มีแขกเป็นขุนนางชั้นสูงหลายคน เพียงแต่องค์จักรพรรดิไม่ได้มาร่วมงานเพราะนิสัยไม่ชอบคนเยอะเท่านั้นเอง แต่นี่ก็เป็นงานฉลองใหญ่ครั้งแรกของหลี่ซานที่มีคนมามากมายขนาดนี้ มันไม่เหมือนกับงานฉลองในกองทัพที่มีแต่คนกันเอง แต่ที่นี่กลับมีแต่คนแปลกหน้าเต็มไปหมด แถมยังเป็นคนแปลกหน้าที่ห้ามล่วงเกินอีกต่างหาก

“ท่านนี่ยอดไปเลย ปัญหาโจรชายแดนกลุ่มนั้นเป็นปัญหาเรื้อรังมานานแล้ว แบบนี้เรากับอาณาจักรไป๋ก็วางใจกันได้เสียที”ขุนนางท่านหนึ่งกล่าวพลางเดินเข้าไปชื่นชมหลี่เซียนอย่างเป็นมิตร

“ขะ ขอรับ ด้วยความยินดีขอรับ”หลี่เซียนโค้งตัวงอเป็นกุ้งเพราะความสูงที่มากกว่าปกติ มันกลัวว่าหากยังยืนตัวตรงมันจะเหมือนกำลังค้ำหัวท่านทั้งหลายอยู่นี่สิ

“สมแล้วที่กำจัดพวกโจรได้ ท่านต้องแข็งแกร่งมากแน่ๆ”ภรรยาของขุนนางคนหนึ่งพูดพลางมองมัดกล้ามของหลี่เซียนด้วยท่าทีชื่นชม แต่แค่นั้นก็มากพอจะทำให้หลี่เซียนอายแล้ว มันไม่ชินกับการพูดคุยกับผู้หญิงเลย ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นสาวงามหรือผู้อาวุโสก็ตาม

“แน่นอนเจ้าค่ะ ท่านหลี่เซียนแข็งแกร่งมาก ตอนที่สู้กับพวกโจรท่านจัดการได้ด้วยการวาดดาบครั้งเดียวเลยนะเจ้าคะ”ชิวซุยเดินเข้าไปหาหลี่เซียนก่อนจะเป็นฝ่ายรับหน้าและพูดคุยกับเหล่าแขกอย่างเป็นมิตรแทนหลี่เซียนเสียอย่างนั้น นางที่เป็นบุตรสาวตระกูลไป๋เคยชินกับการรับแขกเช่นนี้ดี ไม่นานชิวซุยก็ตอบรับแขกทั้งหมดและแยกตัวหลี่เซียนออกมาได้ในที่สุด

“สมแล้วที่เจ้าเคยเป็นแม่ค้ามาก่อน ข้าหัวหมุนไปหมดไม่รู้จะตอบอะไรเลย”หลี่เซียนว่าพลางถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน

“ท่านก็แค่ไม่ชินเท่านั้นเจ้าค่ะ ถ้าท่านชินแล้วก็คงพูดได้สบายเหมือนกัน”ชิวซุยตอบพลางพาหลี่เซียนไปนั่งที่เก้าอี้ตัวหนึ่งในงานเลี้ยง ตอนนี้เหล่ารองแม่ทัพคนอื่นเริ่มเข้าไปพูดคุยกับแขกแล้วยกเว้นอวิ๋นฉางที่แอบออกไปตอนไหนก็ไม่ทราบ แต่แค่เจียนหู่กับสือหลงก็ช่วยต้อนรับแขกได้ดีเยี่ยมแล้ว แน่นอนว่าท่านแม่ทัพอั้งจินเป่าเองก็ทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยม ท่านพาแขกอาวุโสทั้งหลายไปร่วมโต๊ะฉลองกันเรียบร้อยแล้ว

“ชินงั้นเหรอ ข้าจะทำได้หรือเปล่านะ”หลี่เซียนว่าพลางพิงเก้าอี้ด้วยท่าทีไม่มั่นใจ

“ทำได้สิเจ้าคะ ตอนแรกท่านยังไม่กล้าแตะตัวข้าเสียด้วยซ้ำ”ชิวซุยว่าพลางยื่นมือไปแตะมือของหลี่เซียนเบาๆ มันมีท่าทีตกใจและหน้าแดงทันที แต่ก็ไม่ได้สะดุ้งอย่างกับโดนไฟลนเหมือนตอนแรกๆ

“ข้าก็ยังไม่ชินเสียหน่อย”หลี่เซียนหน้าแดงก่ำพยายามเอามือออกจากมือของชิวซุย ใบหน้าเขินอายเพราะโดนหยอกล้อเช่นนี้ทำเอาชิวซุยอดยิ้มด้วยท่าทีมีความสุขไม่ได้เลย

“งั้นท่านนั่งพักก่อนเถอะ ข้าจะไปหาเครื่องดื่มมาให้นะ”ชิวซุยว่าพลางลุกขึ้นไปหาเครื่องดื่มมาให้หลี่เซียนและปล่อยให้ตัวมันพักผ่อนไปก่อน

“ท่านรองแม่ทัพเจียนหู่กับสือหลงนี่ยอดไปเลยนะ น่าเสียดายที่คนล้อมพวกท่านเยอะไปหน่อยไม่อย่างนั้นพวกเราคงเข้าไปทักทายแล้ว”เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งดังแว่วเข้ามาในหูของชิวซุยอย่างแผ่วเบา และเมื่อมองไปตามเสียงชิวซุยก็พบว่าพวกนางคือกลุ่มที่นินทาหลี่เซียนอยู่ที่หน้าวังนั่นเอง นี่พวกนางตามมากรีดพวกเจียนหู่ด้วยงั้นหรือ

“ดูสิ รองแม่ทำคนนั้นอยู่คนเดียวแนะ ท่าทางจะไม่มีคนอยากคุยด้วยแน่ๆ”หญิงสาวคนหนึ่งพูดพลางชี้ไปทางหลี่เซียน หารู้ไม่ว่าหลี่เซียนพึ่งหนีออกมาจากพวกขุนนางเสียด้วยซ้ำ

“มันไม่มีบารมีของรองแม่ทัพเลย ดูแล้วเหมือนพวกทหารใช้กำลังอยู่แนวหน้ามากกว่า”หญิงสาวอีกคนพูดพลางหัวเราะออกมาด้วยท่าทีดูถูก พวกนางจะชื่นชมรองแม่ทัพทั้งสองก็ไม่ผิดอะไรหรอก แต่ทำไมต้องมาดูถูกหลี่เซียนด้วยก็ไม่ทราบ

“หน้าตาแบบนั้นคงไม่มีสาวมาแลหรอก สงสัยจริงๆว่าจะมีผู้หญิงที่ไหนจะไปสนใจ”หญิงสาวในกลุ่มถามพลางหัวเราะคิกคักด้วยท่าทีขบขัน

“พวกเจ้านี่ไม่รู้อะไรเลยนะ”ชิวซุยพูดพลางเดินเข้าไปในกลุ่ม ก่อนจะถอดผ้าคลุมหน้าออกช้าๆ ใบหน้าที่สืบทอดความงามมาจากท่านยายและท่านแม่ของชิวซุยนั้นงดงามเกินกว่าหญิงสาวเหล่านี้จะเทียบได้ แม้พวกนางจะเป็นบุตรสาวขุนนางที่มีความงามเหลือเฟืออยู่แล้วก็ตาม

“อะไรกัน เจ้าจะบอกว่าเจ้าสนใจรองแม่ทัพขี้เหร่คนนั้นหรือไง”ทันทีที่มีคนพูดแทรกพวกสาวๆก็หันไปหาชิวซุยด้วยท่าทีไม่พอใจ แม้นางจะงดงามแต่พวกนางที่เป็นบุตรสาวขุนนางไม่เคยพบเจอชิวซุยมาก่อน นางจึงไม่ใช่ลูกหลานของขุนนางท่านไหนแน่ๆ แสดงว่าชิวซุยไม่ได้เป็นคนในกลุ่มชนชั้นสูงของอาณาจักรจินเป่ยเช่นพวกนางนะสิ

“ถ้าพูดตามตรงละก็….ใช่”ชิวซุยตอบพลางยิ้มออกมาด้วยใบหน้าเขินอายเล็กน้อย ช่วยไม่ได้นี่นาก็นางชอบใบหน้าของหลี่เซียนมากเลยนี่นาทั้งตอนเขินอายเวลาโดนนางหยอกล้อ หรือตอนตั้งใจจะปกป้องนางหรือเวลาที่มันเป็นห่วงนาง นางชอบใบเวลาหลี่เซียนทำหน้าแบบนั้นมากๆ จะว่านางสนใจหลี่เซียนก็ไม่ผิดนัก

“จะ เจ้าตาถั่วหรือยังไง หมอนั่นมีอะไรดีกัน”พวกสาวๆต่างๆมีท่าทีประหลาดใจกันมาก หญิงงามอย่างชิวซุยแม้ไม่ใช่บุตรสาวขุนนางมีชื่อ แต่พวกชายหนุ่มที่เป็นบุตรขุนนางมีชื่อคงอยากจะเข้าหานางกันทั้งนั้นแน่ๆ ทำไมถึงไปเลือกผู้ชาหน้าตาธรรมดาอย่าหลี่เซียนกัน

“ก็….ท่านหลี่เซียนมีอะไรดีๆซ่อนเอาไว้ตั้งเยอะนี่นา”ชิวซุยตอบพลางยิ้มด้วยใบหน้ามีลับลมคมใน ทำเอาเหล่าสาวๆหน้าแดงกันถ้วนหน้า แน่นอนว่าชิวซุยไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้นหรอก แต่ที่นางพูดคือส่วนของนิสัยและความซื่อของหลี่เซียนต่างหาก แต่ท่าทางพวกสาวๆจะคิดไปเรื่องอื่นเสียแล้ว

“ชิวซุย อาจะกลับอาณาจักรไป๋แล้ว เจ้าจะอยู่ที่นี่ต่องั้นหรือ”ระหว่างที่พวกสาวๆกำลังอึ้ง หลิวซุนไห่ก็เดินเข้ามาหาชิวซุยเพื่อจะบอกลา วันพรุ่งนี้มันมีงานใหญ่ต้องทำมัวแต่มาร่วมงานเลี้ยงไม่ได้หรอก

“ท่าน….”เหล่าสาวๆต่างเป็นบุตรสาวของขุนนาง แขกคนสำคัญอย่างหลิวซุนไห่มีหรือจะไม่รู้จัก บิดามารดาของพวกนางกำชับนักหนาว่าห้ามทำท่านผู้นี้เสียอารมณ์ และห้ามไปล่วงเกินเด็ดขาดเพราะท่านเป็นถึงพระญาติของจักรพรรดิของอาณาจักรไป๋ แต่ชายผู้นี้กลับเดินมาทักชิวซุยอย่างสนิทสนมแล้วยังเรียกตัวเองว่าอาอีกงั้นหรือ

“ข้าขออยู่ที่นี่สักพักนะเจ้าคะ แล้วก็ท่านอา…..”ชิวซุยว่าพลางเดินเข้าไปหาหลิวซุนไห่ด้วยใบหน้าจริงจัง

“ถ้าท่านพูดเรื่องนี้กับครอบครัวข้าละก็ ข้าจะโกรธท่านมากๆเลย”ชิวซุยว่าพลางจ้องหลิวซุนไห่อย่างเอาจริงเอาจังสุดๆ ทำเอาหลิวซุนไห่เหงื่อตกทันที

“รู้แล้วน่า อาต้องกลับไปทำงานไม่ได้แวะไปหาครอบครัวของเจ้าหรอก”หลิวซุนไห่ตอบพลางบอกลาชิวซุยอีกครั้งแล้วขอตัวออกจากงานเลี้ยงไป

“งั้น ข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ”ชิวซุยหันไปมองพวกสาวๆเล็กน้อยก่อนจะเดินจากไปปล่อยให้พวกนางอ้าปากค้างทำอะไรไม่ถูกไปอีกสักพัก

“แย่แล้ว…..”ชิวซุยยังเดินกลับไปไม่ถึงที่นั่งของหลี่เซียน อยู่ๆชายคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาในงานก่อนจะเข้าไปหาท่านเสนาธิการที่เข้ามาร่วมงานตั้งแต่แรก

“มีอะไร”ท่านเสนาธิการถามพลางมองชายที่วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อนจนทำเอางานเลี้ยงต้องหยุดชะงักไป

“ทะ ทีวี…..เปิดทีวีเร็วเข้าขอรับ”ชายคนนั้นพูดพลางชี้ไปที่ทีวีซึ่งติดตั้งอยู่ในห้อง ตอนนี้มันถูกใช้เป็นบรรเลงเพลงอยู่เลยไม่มีอะไรแปลก แต่ทันทีที่เปลี่ยนช่องเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นสภาพในงานฉลองก็เปลี่ยนไปทันที

“ณ วินาทีนี้เป็นต้นไป ธงของอาณาจักรไป๋ได้ปลดลงแล้ว และในคืนนี้จักรพรรดิหลิวซีได้เชิญธงเก่าแก่ของอาณาจักรหลิวขึ้นแทนและประกาศการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในรอบร้อยปี อาณาจักรไป๋สูญสิ้นแล้ว นับแต่นี้ไปมีเพียงอาณาจักรหลิวเท่านั้น”เสียงประกาศจากทีวีทำเอาเหล่าขุนนางรวมถึงแม่ทัพคนอื่นๆชะงักค้างไปตามๆกัน พวกมันไม่ทราบเรื่องแผนการของไป๋จูเหวินจึงพึ่งได้รู้พร้อมกันเอาตอนนี้เอง สำหรับชิวซุยแล้วมันก็แค่การประกาศตามแผนที่วางเอาไว้ ก็แค่รู้เสียทีว่าทำไมท่านอาถึงรีบร้อนนัก แม้จะเตรียมการล่วงหน้าเอาไว้แล้วแต่การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ก็ต้องมีงานตามมาอีกมากมาย แต่….

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น”ท่านเสนาธิการพูดด้วยท่าทีหวาดกลัว สำหรับคนนอกแล้วการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เต็มไปด้วยความสับสน อาณาจักรไป๋รักความสงบและไม่รุกรานอาณาจักรอื่นๆทำให้พวกมันสบายใจได้แม้จะอยู่ติดกับอาณาจักรที่มีกำลังทัพมหาศาลและน่าหวาดกลัวเช่นอาณาจักรไป๋ก็ตาม แต่เมื่อมันเปลี่ยนไปแล้วมีใครรับประกันได้ว่าอาณาจักรหลิวนั้นจะยังคงเป็นมิตรหรือไม่