คิ้วเป็นทรงสวยของเวินฉิงขมวดขึ้นเบาๆ เธอสูดหายใจลึกแล้วพูดว่า “โอเค ฉันเชื่อว่าเสี่ยวโม่ไม่หลอกฉันหรอก งั้นฉันจะไปลองดู”

“อืม” เฉินโม่พิงโซฟาด้านหลัง ยกแขนสองข้างขึ้นมารองหัว มองเวินฉิงด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มบางๆ เขารู้ว่าเวินฉิงยังไม่เชื่อ เธอแค่ลองดูสักตั้งแม้รู้ว่าเรื่องไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้แล้ว แต่ก็ยังมีความหวังอยู่เล็กน้อย

แต่นี่ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย แค่เวินฉิงไปถึงธนาคารต้ารุ่ย ก็สามารถยืนยันได้ว่าเฉินโม่ไม่ได้พูดโกหก

“ใช่สิ เรื่องนี้อย่าเพิ่งบอกแม่ก่อน ผมกลัวว่าเขาจะคิดไปเรื่อย” เฉินโม่พูดกำชับ เขากลัวว่าถ้าหลี่ซู่เฟินรู้ว่าจู่ๆ เขาหาเงินห้าหมื่นล้านมาได้ เธอจะสอบสวนเขาอีก

แน่นอนว่าเวินฉิงเข้าใจความรู้สึกเฉินโม่ แต่ยังไงในใจเธอก็ยังไม่ค่อยเชื่อเฉินโม่ ห้าหมื่นล้านเชียวนะ นั่นเกือบเท่ากับทรัพย์สินทั้งหมดของเหม่ยหวา กรุ๊ปเลยนะ หยกแขวนอันเล็กๆ จะทำได้เหรอ

“โอเค งั้นตอนนี้ฉันจะไปธนาคารต้ารุ่ย!” เวินฉิงคิดในใจ ถ้าเฉินโม่กำลังล้อเล่น ก็รีบเปิดโปงคำโกหกของเขา

แน่นอนว่าถ้าเฉินโม่พูดจริง……ตอนนี้เวินฉิงยังไม่ได้คิดอย่างนั้น

ธนาคารต้ารุ่ยเป็นธนาคารที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ โดยทั่วไปแล้วเป็นสถานที่ที่คนรวยอันดับต้นๆ ของโลกฝากเงินไว้ มีมาตรฐานที่เข้มงวด มาฝากเงินที่ธนาคารต้ารุ่ย ต้องเริ่มต้นที่พันล้าน

เงื่อนไขของธนาคารต้ารุ่ยสูงขนาดนี้ แน่นอนว่าการบริการของธนาคารก็ระดับต้นๆ ของโลกเช่นกัน มาฝากเงินที่นี่ คุณจะได้สัมผัสถึงอะไรที่เรียกว่าทำให้แขกรู้สึกเสมือนอยู่ที่บ้านอย่างแท้จริง

เวินฉิงไม่ได้บอกหลี่ซู่เฟินตามที่เฉินโม่บอก เธอมาที่ธนาคารต้ารุ่ยสาขาฮ่านหยางเพียงคนเดียว

ล็อบบี้ธนาคารสร้างอยู่บนทำเลทองที่แพงที่สุดในฮ่านหยาง อีกทั้งยังครอบคลุมพื้นที่ทั้งชั้นหนึ่งของอาคาร เห็นถึงความร่ำรวยของธนาคารต้ารุ่ย

เพราะเงื่อนไขในการเข้ามาจำกัดอยู่ที่พันล้าน ดังนั้นลูกค้าของธนาคารต้ารุ่ยจึงน้อยมาก ล็อบบี้ว่างเปล่า ผ่านไปนานก็ไม่เห็นใครสักคน

เวินฉิงผลักประตูเข้ามา ผู้จัดการที่ดูแลตรงล็อบบี้ รีบโค้งคำนับพร้อมรอยยิ้มบางๆ “สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าคุณต้องการทำธุรกรรมอะไรครับ”

เจอกับผู้จัดการที่ดูแลตรงล็อบบี้แสนสุภาพ จู่ๆ เวินฉิงรู้สึกไม่มั่นใจขึ้นมา หรือเรียกว่าความเชื่อใจที่เธอมีต่อเฉินโม่ยังไม่มากพอ

แต่นึกถึงสิ่งที่เฉินโม่กำชับไว้ เวินฉิงเป็นคนที่เจออะไรมาเยอะ ไม่นานเธอใจเย็นลง จากนั้นยิ้มบางๆ อย่างมีมารยาทแล้วพูดว่า “ฉันมาหาคนที่ชื่ออู๋หวาค่ะ”

“หา คุณรอสักครู่ครับ!” เมื่อได้ยินเวินฉิงพูดชื่ออู๋หวา สีหน้าของผู้จัดการที่ดูแลตรงล็อบบี้นอบน้อมขึ้นอีก

“อืม” เวินฉิงพยักหน้า เดินไปนั่งตรงที่นั่งพักผ่อนข้างๆ มองผู้จัดการที่ดูแลตรงล็อบบี้ เดินเข้าไปในห้องที่อยู่ข้างๆ

ไม่นาน ผู้ชายรูปร่างมีน้ำมีนวล อายุประมาณ 50 กว่าปีเดินออกมา

เขาสวมสูทสีดำ สวมหยั่นจิ้งกรอบทอง ดูสะอาดสะอ้านเป็นอย่างมาก

เขาเดินมาข้างเวินฉิง ยิ้มให้เวินฉิงบางๆ แล้วโค้งคำนับ “สวัสดีครับ ผมอู๋หวา”

เวินฉิงรีบลุกขึ้นยืน พูดอย่างสุภาพว่า “สวัสดีค่ะ คุณรู้จักสิ่งนี้ไหมคะ”

พูดพลาง เวินฉิงเอาหยกแขวนรูปมังกรที่เฉินโม่ให้เธอออกมา

วินาทีที่เห็นหยกแขวนอันนั้น รอยยิ้มบางๆ บนใบหน้าอู๋หวาหายไป ถูกแทนที่ด้วยสีหน้านอบน้อม

“ลูกค้าผู้มีเกียรติ คุณรอสักครู่นะครับ แม้ผมรู้จักสิ่งมงคลอันนี้ แต่เพื่อความรอบคอบ ผมจำเป็นต้องนำมันเปรียบเทียบสักครู่ครับ”

“คุณโปรดอนุญาต!”

เห็นอู๋หวาจริงจังขนาดนี้ เวินฉิงรู้สึกกังวลใจ “อย่าบอกนะว่าเสี่ยวโม่พูดจริง หยกแขวนอันนี้เอาเงินห้าหมื่นล้านมาได้จริงเหรอ”

เวินฉิงยื่นหยกแขวนให้อู๋หวา “คุณเอาไปดูเถอะค่ะ!”