ตอนที่ 150-3 คิดจะแย่งชิงผู้ชายของข้า รนหาที่ตาย

จำนนรักชายาตัวร้าย

“เขาคือสามีของข้า คือผู้ชายของข้าคนที่ละเมอเพ้อพก และคิดจะแย่งเขาไม่จากข้า ตาย!” 

 

 

“พวกเจ้าคงจะยังไม่รู้จักนิสัยของข้าสินะ มีใครอยากจะทดสอบก็ดาหน้าเข้ามาได้เลย ถึงตอนนั้นพวกเจ้าก็จะรู้เองว่าข้าเป็นคนอย่างไร!” 

 

 

ท่าทางอันทรงอำนาจของอวี้เฟยเยียนทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนดีใจจนแทบบ้า เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา เป็นเขาทั้งนั้นที่เป็นฝ่ายแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของนางอย่างหนักแน่นชัดเจน ส่วนอวี้เฟยเยียนเป็นเพียงฝ่ายรับเท่านั้น 

 

 

คนพวกนี้กระตุ้นอวี้เฟยเยียน ทำให้เขาได้เห็นอีกด้านของนางที่เขาไม่เคยได้เห็นในเวลาปกติ 

 

 

นี่นางให้ความสำคัญกับเขาถึงเพียงนี้เชียว! 

 

 

“แมวน้อย พี่ชอบเจ้า พี่รักเจ้า!” ซย่าโหวฉิงเทียนมีความสุข จึงยกอวี้เฟยเยียนด้วยความดีอกดีใจ ในเมื่อเขายินดีที่จะรักนางโปรดปรานนาน นางก็ยิ่งจะต้องแสดงให้ใครๆได้เห็นได้รับรู้ 

 

 

ภาพที่ปรากฏตรงหน้า ทำให้บรรดาหญิงสาวที่พากันมาห้อมล้อมซย่าโหวฉิงเทียนรู้สึกอิจฉายิ่งนัก  

 

 

หากว่าพวกนางคือหญิงในอ้อมกอดของเขา จะดีสักเพียงใดกันนะ! 

 

 

แม้ว่าอวี้เฟยเยียนจะเล่นบทโหดกล่าววาจารุนแรงออกไป ทว่ากลับยังมีหญิงที่ไม่กลัวตายเข้ามาหาเรื่องอีกจนได้ 

 

 

หลังจากที่ซุนซินเห็นภาพซย่าโหวฉิงเทียนแสดงความรักที่มีต่ออวี้เฟยเยียนแล้ว นางจากที่เดิมทีกำลังสองจิตสองใจ ลังเลๆ ก็ตัดสินใจได้ในที่สุด ว่านางจะต้องประลองกับอวี้เฟยเยียนเพื่อตัดสินแพ้ชนะกันให้รู้แล้วรู้เริดสักครั้ง 

 

 

“ประลอง?” หลังจากที่อวี้เฟยเยียนได้ฟังข้อเสนอของซุนซินแล้วจึงเหลือบมองไปยังคนอีกยี่สิบกว่าคนที่ยืนอยู่เบื้องหลังซุนซิน 

 

 

“ใช่! นอกเสียจากเอาชนะข้าให้ได้ มิเช่นนั้นข้าจะไม่มีทางล่าถอยไปอย่างแน่นอน!” คำพูดของซุนซินได้รับการสนับสนุนจากบรรดาสาวน้อยที่อยู่ด้านหลัง 

 

 

นางจะไม่ขวัญเสียเพราะอวี้เฟยเยียนเด็ดขาด! 

 

 

“ตกลง——”อวี้เฟยเยียนผละออกจากอ้อมกอดของซย่าโหวฉิงเทียน แล้วก้าวออกมา 

 

 

“แต่ว่า ข้าขอบอกเอาไว้ก่อนนะว่า ข้าไม่เคยทำศึกพ่ายแพ้มาก่อน มีเพียงตายกันไปข้างหนึ่งเท่านั้น พวกเจ้า เตรียมตัวเตรียมใจพร้อมสำหรับที่จะไปตายแล้วหรือยัง?” 

 

 

“เจ้าอย่ามาข่มขวัญพวกเราหน่อยเลย! พวกเราไม่เกรงกลัวเจ้าเลยสักนิด! เจ้าห้ามหาผู้ช่วย แม้แต่สุนัขก็ไม่ได้!” 

 

 

ซุนซินยื่นเงื่อนไข นางไม่เห็นอวี้เฟยเยียนอยู่ในสายตา เมื่อครู่ถือเป็นผลงานของเจ้าสุนัขสีดำตัวยักษ์นั่น ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับอวี้เฟยเยียนแม้แต่น้อย 

 

 

“ตกลง! ไม่มีปัญหา! อวี้เฟยเยียนรับคำท้า” 

 

 

เมื่อได้ฟังคำพูดโง่เขลาของซุนซิน หานจื่อก็แสยะยิ้ม จนมองเห็นเขี้ยวฟันอันคมกริบที่สะท้อนวาววับออกมา 

 

 

“พวกโง่! อย่างน้อยข้าก็ยังให้พวกเจ้าได้ตายอย่างสบาย แต่แม่นางน้อยจะทำให้พวกเจ้าทรมานยิ่งกว่าตาย!” 

 

 

เมื่อได้คำสัญญาจากปากของอวี้เฟยเยียน ซุนซินก็กัดฟันหันไปกล่าวกับซย่าโหวฉิงเทียนว่า 

 

 

“ท่านปราชญ์ราชันย์จื่ออวิ๋น ขอเพียงข้าสามารถเอาชนะฮูหยินของท่านได้ ท่านก็จะยอมรับพวกเราใช่หรือไม่?” 

 

 

จนกระทั่งถึงบัดนี้ซุนซินก็ยังคงรู้สึกว่าอวี้เฟยเยียนหญิงที่โหดเ**้ยมดุร้ายผู้นี้ ไม่คู่ควรกับประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นเลยจริงๆ คนที่จะอยู่เคียงข้างประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นครจะเป็นดอกไม้งามที่ทั้งอ่อนโยนอ่อนหวานเช่นนาง 

 

 

ความคิดของซุนซินแทนความในใจของบรรดาหญิงสาวมากมาย 

 

 

พวกนางต่างก็คิดว่าความรักจริงที่มีเพียงหนึ่งเดียวของตนต่างหากจึงเหมาะสมกับประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นโดยไร้ที่ติ 

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนต้องอดทนแล้วอดทนเล่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับพวกโง่งมเหล่านี้ 

 

 

หากมิใช่แมวน้อยต้องการเก็บกวาดคนพวกนี้ด้วยตัวเองละก็ เขาคงจะลงมือจัดการพวกนางไปนานแล้ว 

 

 

“พวกเจ้าจะเอาชนะข้า?” อวี้เฟยเยียนราวกับได้เรื่องที่น่าขำขันครั้งใหญ่อย่างไรอย่างนั้น 

 

 

“จะเอาชนะข้า ฝันเฟื่องทั้งเพ! อย่าเสียเวลาอีกเลย พวกเจ้าเข้ามาพร้อมๆกันเลย!” 

 

 

ถูกอวี้เฟยเยียนท้าทายเช่นนี้ หญิงสาวราวยี่สิบกว่าคนจึงเข้าล้อมกรอบอวี้เฟยเยียนเอาไว้ 

 

 

เมื่อเห็นว่าเป็นการต่อสู้ที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มรุมคนเพียงคนเดียว หญิงสาวที่เมื่อครู่ขลาดกลัวจนหัวหดไปจึงค่อยๆก้าวออกมา สุดท้ายหญิงที่เข้ามาล้อมกรอบอวี้เฟยเยียนเอาไว้มีจำนวนประมาณแปดสิบกว่าคนเห็นจะได้ 

 

 

“มีจำนวนเพียงเท่านี้เองหรือ? มีใครยอยากจะเข้าร่วมอีกหรือไม่?” อวี้เฟยเยียนกวาดตามองไปรอบๆ 

 

 

“ไม่ต้องพูดมาก! ทุกคนลุยพร้อมกันเลย!” 

 

 

เมื่อซุนซินออกคำสั่ง ทุกคนก็พุ่งเข้าโจมตีอวี้เฟยเยียนพร้อมๆกัน พวกนางต่างก็อยากที่จะเป็นฮูหยินของประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นทั้งสิ้น ดังนั้นแต่ละคนจึงงัดวิชาที่ตนเองถนัดที่สุดออกมาต่อสู้ 

 

 

ซึ่งอวี้เฟยเยียนก็ไม่เคยใจอ่อนอยู่แล้วกับพวกที่มารนหาที่ตายถึงที่อยู่แล้ง 

 

 

พอดีกันกับที่นางเพิ่งจะคิดค้นปรุงยาพิษชนิดใหม่ขึ้นมาได้ ถือโอกาสนี้นำมาทดสอบยาเหมาะสมที่สุดแล้ว 

 

 

เมื่อดอกชีปะขาวสีม่วงอ่อนโรยปรายลงมาจากอากาศ บรรดาหญิงสาวกลุ่มเมื่อครู่ก็เริ่มร่างกายโคลงเคลงโงนเงนราวกับเมาสราอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

“ตัดนิ้วโป้งที่มือซ้ายของตัวเอง” อวี้เฟยเยียนออกคำสั่ง 

 

 

ทันใดนั้น หญิงสาวแปดสิบกว่าคนก็ตัดนิ้วโป้งมือซ้ายของตนเองจนขาดอย่างพร้อมเพรียงกัน มีบางคนถึงกับใช้ฟันกัดนิ้วโป้งของตนเองจนขาดสะบั้น และแม้กระทั่งนิ้วมือของพวกนางกำลังหลั่งเลือด แต่หญิงสาวเหล่านี้ราวกับต้องมนต์สะกดก็ไม่ปาน ไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกเจ็บเลยแม้แต่น้อย 

 

 

“ฆ่าคนที่อยู่ด้านซ้ายมือของตนเอง!” อวี้เฟยเยียนออกคำสั่งอีกครั้ง 

 

 

สงครามการสังหารหมู่ที่พิลึกพิลั่นจึงเริ่มต้นขึ้นที่หน้าโรงเตี๊ยมเซียนเค่อนั่นเอง เศษแขนขาขาดยังมีศีรษะเกลื่อนกลาดระเกะระกะบนพื้นที่ด้านหน้าโรงเตี๊ยมนั้น หญิงสาวแปดสิบกว่าคนฉับพลันคงเหลือเพียงครึ่ง 

 

 

“ฆ่าคนที่อยู่ทางด้านขวามือของเจ้า!” คำสั่งถัดไปตามมา 

 

 

ดังนั้น สี่สิบคนที่เหลือจึงเริ่มต้นการเข่นฆ่ารอบต่อไป จนสุดท้าย ยี่สิบคนที่ยังหลงเหลืออยู่ อวี้เฟยเยียนดีดนิ้วให้สัญญาณ 

 

 

“ตื่นได้!” 

 

 

“อ๊าก” เรียกร้องโอดครวญดังระงม ผู้ที่มีชีวิตเหลือรอดฟื้นคืนสติกลับมาจากเงื้อมือจอมปีศาจ 

 

 

และเมื่อทุกคนมองเห็นศพที่อยู่บนพื้น พร้อมกันกับที่รับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดที่ส่งมาจาร่างกาย ทุกคนก็ต้องกรีดร้อมขึ้นมาพร้อมๆกัน 

 

 

“เจ้า เจ้าใช้วิชามารอะไรกับพวกเรา?!” 

 

 

ซุนซินมองไปที่ยังอวี้เฟยเยียนท่าทางหวาดกลัว 

 

 

“วิชามาร?” อวี้เฟยเยียนหัวเราะเยาะน้อยๆ 

 

 

“หน้าโง่ ข้าเป็นหมอต่างหาก! รับมือกับพวกเจ้า ข้าย่อมต้องใช้วิธีการที่ข้าเชี่ยวชาญที่สุดนะสิ! หรือพวกเจ้าคิดว่าข้าจะใช้กำลังใช้มีดใช้ปืนต่อสู้กับพวกเจ้าอย่างนั้นหรือ?” 

 

 

“หมอ!” 

 

 

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ไม่ว่าคนที่ล้อมกรอบอวี้เฟยเยียนอยู่หรือว่าเหล่าชาวบ้านที่มามุ่งดูโดยรอบต่างก็ตกตะลึงไปตามๆกัน 

 

 

ในความคิดของทุกคนนั่นก็คือ อย่าไปล่วงเกินหมอง่ายๆเป็นอันขาด 

 

 

แม้ว่าวรยุทธ์ของพวกหมอจะไม่สูงเท่าไรนัก แต่ทว่า หมอ รู้เรื่องยา รู้เรื่องพิษ พวกเขาขยับตัวเพียงเล็กน้อยก็สามารถฆ่าคนได้ อวี้เฟยเยียนเพียงแค่ออกมือ ก็เพียงพอที่จะให้ผู้คนโดยรอบต้องตื่นตะลึง