GGS:บทที่ 847 อะไรกัน

 

หลังจากที่ซูจิ้ง ซูหยา และถังเสี่ยวหยู ได้เห็นว่าส่วนหัวของตุ๊กตากระดาษรูปเห็ดระเบิดออกจนเป็นประกายไฟกระจายไปทั่ว ซักพักใหญ่ก็ได้มีภาพสะเก็ดไฟรูปดอกไม้ที่อยู่เป็นฉากปรากฎขึ้นมา

พวกมันกำลังเต้นระบำ และระยิบระยับ ตัดกับผืนท้องทะเลที่เป็นฉากหลัง ราวกับว่ากลายเป็นดินแดนแห่งเทพนิยายก็ว่าได้

ในตอนนี้ทั้งสามกำลังนิ่งอึ้งกันไปอยู่ พวกเขาเองก็ได้จ้องมองไปทั้งที่อึ้งๆอย่างนั้นไปจนกระทั่งฉากสุดท้าย

เป็นภาพผีเสื้อกำลังโบยบินออกจากดอกไม้และลอยไปท่ามกลางอากาศ และในตอนนั้นฉากทั้งหมดก็ได้ค่อยๆหายไปราวกับสะเก็ดไฟได้มอดดับลง จึงได้สติกลับมากัน

 

ซูหยาประหลาดใจจนต้องพูดออกมาว่า “ช่างสวยเหลือเกิน ไหนพี่บอกว่าเป็นแค่พลุไฟล่ะ นี่มันระดับเทศกาลดอกไม้ไฟชัดๆ ห้ะ”

ถังเสี่ยวหยูเองก็พูดออกมาเหมือนกันว่า “นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ได้เห็นดอกไม้ไฟชุดที่สวยงามแบบนี้ นี่ขนาดยังมีแสงอยู่นะยังเห็นได้ชัดขนาดนี้ ถ้าได้เห็นตอนกลางคืนล่ะก็ต้องสวยมากแน่ๆ”

ซูหยาได้ถามต่อว่า “พี่ใหญ่ ดอกไม้ไฟนี่มาจากไหนกันน่ะ หนูไม่เห็นเคยได้ยินดอกไม้ไฟที่ทำได้ขนาดนี้เลยนะ”

“ถังเสี่ยวหยูเองก็พยักหน้าก่อนที่จะพูดออกมาว่า “นี่เทคนิคการทำดอกไม้ไฟของชาดติเรานี่ไปถึงระดับไหนกันเนี่ย”

ทั้งสองต่างก็ประหลาดใจและแปลกใจไปพร้อมๆกัน ดอกไม้ไฟที่สามารถเปลี่ยนรูปร่างได้ในระดับที่ว่าสวยงามและน่าจะจับจ้องขนาดนี้พวกเธอไม่เคยได้ยินมาก่อน

อย่าว่าแต่ได้ยินเลย เท่าที่พวกเธอรู้ดอกไม้ไฟที่ดีที่สุดยังไม่ทำได้ขนาดนี้เลยด้วยซ้ำ

“นี่…” ซูจิ้งอ้ำอึ้งไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดี เขาเองก็มึนงงไม่ต่างกับอีกสองคน เขาคิดเพียงว่ามันเป็นเพียงระเบิดสัญญาณควัน แต่เขานั้นไม่คิดว่ามันจะกลายเป็นดอกไม้ไฟแบบนี้

ยิ่งไปกว่านั้น มันยังกลายดอกไม้ไฟที่ฉายภาพผีเสื้อบินกลางอากาศที่แสนสวยงามได้นานสองนานแบบนี้ ทำไมไม่แค่ระเบิดตูมเดียวไปเลยฟะ

ซูจิ้งพยายามสงบอารมณ์ตัวเองก่อนที่จะพูดออกมาว่า “อืมมม เอาจริงๆเจ้านี่มันตัวต้นแบบที่พวกพี่กำลังพัฒนามันอยู่น่ะ จริงๆนะ”

“สุดยอดไปเลยพี่ พี่นี่เก่งที่สุดเลย” สายตาของซูหยาและถังเสี่ยวหยูในตอนนี้เห็นซูจิ้งราวกับพระเจ้าเลยก็ว่าได้ โดยไม่รู้สึกแปลกๆในเหตุผลของซูจิ้งเลยสักนิด

พวกเธอเชื่อคำพูดของเขาอย่างหมดใจและได้บอกเขาว่าให้จุดอีกทีในตอนกลางคืน แต่ซูจิ้งก็เลือกที่จะโกหกไปว่าไม่มีอีกแล้ว ยังไงซะดอกไม้ไฟแบบนี้ไม่มีทางที่เขาจะยอมให้ใครได้เห็นง่ายๆอีก

นอกจากเรื่องที่ดอกไม้ไฟนี่ฉายภาพอันแสนวิเศษแบบนี้ออกมาได้แล้ว ต้องไม่ลืมว่าดอกไม้ไฟนี่มีรูปร่างทรงเห็ดแต่ภาพที่ฉายออกมากลับเป็นผีเสื้อ ไม่มีทางเลยที่ดอกไม้ไฟอันอื่นจะฉายภาพออกมาเป็นรูปผีเสื้อเหมือนกัน พวกมันเองก็น่าจะเป็นดอกไม้ไฟที่ไม่สมควรมีอยู่ในโลกนี้ด้วยเหมือนกัน

“สุดยอดดอกไม้ไฟพันธุ์นี้อยากรู้จริงๆว่าขยะห้วงเวลาฯกองนี้มาจากห้วงเวลาฯไหนกันแน่ ช่างน่าสนใจจริงๆ” ซูจิ้งนึกออกมาในใจ หลังจากนั้นจึงได้โทรหาเฉิงหนานให้ตามหานักทำดอกไม้ไฟเก่งให้เขาสักคน

 

หลังจากนั้นสักพัก เฉิงหนานได้โทรกลับมาและพูดออกมาว่า “หัวหน้าคะ ในประเทศมีหลายบริษัทที่ถือได้ว่าเป็นสุดยอดในการผลิดดอกไม้ไฟ  ถ้าหากดูจากประสบการณ์และความเก่งกาจแล้วถือได้ว่าบริษัทดอกไม้ไฟหลิวหยางที่ตั้งอยู่ในเมืองหลิวหยางเป็นบริษัทที่เก่งที่สุดค่ะ  พวกเขานั้นยังมีใบอนุญาตและได้รู้จักกันดีในประเทศนี้ หลายปีก่อนเมืองหลิวหยางได้ทำการปฏิรูปเมืองใหม่โดยมุ่งเน้นไปในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวของกับดอกไม้ไฟ จนทำให้ตอนนี้เกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่เกี่ยวกับดอกไม้ไฟออกมามากมาย อีกทั้งพวกเขายังพัฒนาด้วยเทคโนโลยีและวัตถุดิบที่ไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย แน่นอนว่าที่บริษัทดอกไม้ไฟหลิวหยางเองก็มีนักวิจัยชั้นยอดที่วิจัยด้านดอกไม้ไฟโดยเฉพาะ และถือได้ว่านำหน้าบริษัทอื่นไปคนละระดับกัน ว่าแต่หัวหน้าถามเรื่องนี้ทำไมหรือคะ”

“ไม่มีอะไรหรอกน่า ว่าแต่ผลประกอบการของบริษัทดอกไม้ไฟหลิวหยางนี่เป็นยังไงมั่งน่ะ” ซูจิ้งเลี่ยงตอบโดยใช้การถามคำถามแทน

“เอาจริงๆเรื่องนี้ข้อมูลไม่ชัดเจนค่ะ ถ้าดูจากรายงานล่ะก็ปีนี้ทางบริษัทควรจะได้รายได้จากส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 20 หมื่นล้านหยวน และคาดการณ์ได้ว่าในปี 2020 ผลกำไรของพวกเขาน่าจะได้ 35 หมื่นล้านหยวน” เฉิงหนานพูดออมา

เมื่อได้ยินดังนั้นซูจิ้งถึงกับตื่นเต้นจนเห็นได้ชัดเมื่อได้ยินจำนวนเงินที่หมุนเวียนในธุรกิจดอกไม้ไฟสูงขนาดไหน

แต่เมื่อเขาลองได้คิดดูแล้วก็ดูสมเหตุสมผลดีนั่นก็เพราะว่าหลายๆคนในประเทศนี้ต่างก็ต้องการใช้ดอกไม้ไฟในงานเฉลิมฉลองของพวกเขา

แทบจะบอกได้ว่ามีการซื้อขายในทุกวันที่เป็นงานเลี้ยงสังสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นงานปีใหม่ งานครบรอบต่างๆ แม้แต่วันหยุดธรรมดาก็ยังจุดเล่นเพื่อการผ่อนคลาย

ถ้าทำการตลาดดีๆล่ะก็บอกได้เลยว่าในช่วงวันหยุดเทศกาลและงานปีใหม่จะทำผลกำไรได้สูงทะยานฟ้าอย่างแน่นอน

แน่นอนว่าหากเขาต้องการมีส่วนแบ่งในผลิตภัณฑ์ดอกไม้ไฟล่ะก็ ต้องทำให้แม้แต่กลุ่มธุรกิจดอกไม้ไฟในหลิวหยางก็จำเป็นที่จะต้องซื้อดอกไม้ไฟจากเขาให้ได้

“ยังไงก็ต้องศึกษาตุ๊กตากระดาษดอกไม้ไฟพวกนี้ก่อนล่ะนะว่าสามารถทำเลียนแบบอีกได้รึเปล่า ถ้าเลียนแบบได้ล่ะก็เรื่องการได้ส่วนแบ่งทางการตลาดนี่ก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้ว” ซูจิ้งคิดในใจจนรู้สึกตื่นเต้นจนทนไม่ไหวและได้พูดออกมาว่า “ช่วยฉันอะไรฉันหน่อยสิ ฉันอยากให้เธอลองชวนนักวิจัยด้านดอกไม้ไฟมาสักหน่อย เอาเป็นจัดตั้งทีมวิจัยสักกลุ่มหนึ่งเลยละกัน”

 

ในเรื่องธุรกิจของซูจิ้งนั้น ธุรกิจที่เขาได้ผลกำไรมากที่สุดอย่างยิ่งก็คือแผงพลังงานแสงอาทิตย์ ตามมาด้วยผงเสริมความงาม(แป้งเม่ยหยาน) ผงเสริมทรวงอก และไวน์จิ้งจอกแดง

นอกจากธุรกิจทั้งสามอย่างนี้ยังอยู่ช่วงการพัฒนาแล้วก็ยังถือได้ว่ายังมีอนาคตได้อีกไกลเพระได้รับความนิยมอย่างมาก นั่นก็เพราะว่าผลิตภัณฑ์ทั้งสามนี้สำหรับเขาแล้วถือได้ว่าไม่มีคู่แข่งทางการตลาด

ส่วนธุรกิจอย่างอื่นของเขาอย่างธุรกิจม้าแข่ง สถาบันวิจัยฯ ธุรกิจท่องเที่ยว และอย่างอื่นๆนั้นถือได้ว่าเป็นไปได้ด้วยดีก็จริงแต่ก็ถือได้ว่าอยู่ในจุดอิ่มตัวแล้ว ซิ่งเขาเองก็เข้าใจในเรื่องนี้ดี

หากเขาสามารถวิจัยพัฒนาตุ๊กตากระดาษดอกไม้ไฟจนสามารถผลิตได้ล่ะก็ อย่าว่าแต่ในประเทศเลย ต่อให้ส่งขายไปทั่วทั้งโลกก็ยังได้

 

“ตั้งทีมนักวิจัยด้านดอกไม้ไฟเหรอคะ?” เฉิงหนานถึงกับรู้สึกงงจนหาคำตอบไม่ถูกในทันทีถึงกับคิดว่าซูจิ้งพูดเล่นซะด้วยซ้ำ

พลางคิดสงสัยไปว่าตอนแรกก็เห็นวุ่นๆอยู่กับศิลปะการป้องกันตัวและภาพเขียนพู่กันจีน อยู่ๆทำไมถึงมาสนเรื่องดอกไม้ไฟขึ้นมาได้ แถมยังสนใจขนาดที่ว่าตั้งทีมวิจัยเลยงั้นหรอ

“ช่ายยยย และต้องเป็นทีมระดับสุดยอดด้วยนะ ทุ่มไม่อั้นไปเลย” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยน้ำเสียงร่าเริง

“หัวหน้า เอาจริงหรอ” เฉิงหนานเองก็สงสัยจนต้องถามออกมายืนยันอีกครั้ง

“นี่ฉันเคยไม่จริงจังด้วยหรอ” ซูจิ้งพูดออกมา

“ได้ค่ะ” เฉิงหนานรับคำทันทีเพราะยังไงซะซูจิ้งก็ถือได้ว่าเป็นหัวหน้าของเธอ

 

หลังจากซูจิ้งคุยเสร็จแล้ว เขาก็ได้อยู่เล่นเป็นเพื่อนกับสองสาวซักพัก หลังจากนั้นก็ได้ทำข้าวกลางวันให้พวกเธอกิน หลังจากลูกแมวน้อยทั้งสอง กิน ดื่ม และเล่นจนหนาใจแล้ว จึงปล่อยให้พวกเธอไปเล่นกับสัตว์เลี้ยงของเขา และเขาเองก็กลับเข้าไปยังสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯต่อ

“ขยะพวกนี้มาจากห้วงเวลาฯไหนกันแน่นะ” ซูจิ้งเมื่อเข้ามาแล้วเขาได้พยายามประเมินที่มาของขยะห้วงเวลาฯกองนี้ในขณะที่มองขยะทั้งหมดอย่างพินิจพิเคราะห์

ห้วงเวลาฯที่มีบรรยากาศโลกแฟนตาซีแบบตะวันตก และดอกไม้ไฟสุดวิเศษ ในขณะที่คิดไปนั้นซูจิ้งก็ปล่อยกระแสจิตตรวจสอบไปด้วย จนกระทั่งเขาพบอะไรบางอย่างที่น่าสนใจ

 

ในกองขยะผ้า ผ้าส่วนใหญ่นั้นดูๆไปแล้วมันสั้นๆเล็กๆจนดูเหมือนเสื้อผ้าเด็ก แต่ดูจากสไตล์แล้วมันก็ไม่ใช่ซะทีเดียว ซูจิ้งพลันนึกถึงคนแคระขึ้นมาพลางคิดไปว่าถ้าเสื้อผ้านี้เป็นเสื้อผ้าของคนแคระล่ะ

มีชิ้นหนึ่งเป็นหมวกทรงประหลาดที่แหลมสูงเหมือนหมวกจอมเวทย์

อีกชิ้นหนึ่งเป็นเกราะหนังที่มีลวดลายและขนาดใหญ่มาก

ตอนนี้กระบวนการความคิดของซูจิ้งกำลังวิ่งพล่าน แต่ด้วยข้อมูลที่ไม่เพียงพอเขานั้นจึงยังคิดไม่ออกว่าขยะห้วงเวลาฯกองนี้มาจากที่ใดกันแน่

 

เขาเดินกลับไปที่ขยะกองกระดาษอีกครั้ง ตอนนี้เขาพบว่าเสี่ยวไป๋ได้ซ่อมแซมกระดาษไว้ได้หลายชินแล้ว แต่การที่มันนิสัยขี้เกียจ เมื่อมันเห็นซูจิ้งหายไปได้พักใหญ่มันเลยเผลอหลับไป

เมื่อมันได้ยินเสียงของซูจิ้งกำลังมามันก็ได้เด้งตัวผึงและทำงานต่อและแกล้งทำงานด้วยความเหนื่อยล้า ซูจิ้งก็ไม่ได้ว่าอะไรได้เพียงแต่นึกเอ็นดูก่อนที่จะบอกมันว่าให้นอนต่อไปนั่นแหล่ะ แล้วค่อยทำงานต่ออีกทีตอนขี้เกียจจะนอนแล้ว

เพียงสิ้นเสียงซูจิ้งเสี่ยวไป๋กระโจนลงไปบนกองผ้าและสลบไปในทันทีจนดังออกมา ความจริงมันทำงานจนเหนื่อยจริงๆต่อฝืนไม่ให้หลับเพราะกลัวซูจิ้งมองไม่ดีเท่านั้นเอง

ซูจิ้งได้หยิบกระดาษที่ซ่อมแซมเสร็จออกมาดูทีละชิ้นทีละชิ้น ยิ่งเขาอ่านไปเรื่อยๆเขาก็ยิ่งได้ข้อมูลมากเท่านั้น

คำที่เขาเจอจากกระดาษมีมากมายอย่าง เอียซินเกอร์ ออร์ค ก็อบบลิน เอลฟ์ หอคอย ฮอบบิ อารากอน มอร์ดอร์ อีกทั้งภาพวาดแหวนอีก

ตอนนี้ซูจิ้งมีสายตาเป็นประกายจนราวกับลุกไหม้ เพียงเท่านี้ก็เพียงพอต่อเขาแล้วที่จะรู้ว่าขยะกองนี้มาจากห้วงเวลาฯใดกัน