บนตึกของสมาคม นอกจากห้องของคุณหนูสาวใช้แล้ว ลั่วชิวรู้ว่าโยวเย่ยังมีตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่อยู่หลังหนึ่ง
ด้านในเต็มไปด้วยเสื้อผ้าหลายแบบหลายชุด แน่นอนว่าชุดที่คุณหนูสาวใช้ใส่บ่อยที่สุดก็ยังเป็นชุดทำงานของเธออย่างชุดเมด
แต่ดูเหมือนจะไม่เคยมี…ชุดแต่งงาน
“สวยไหมค่ะ” โยวเย่ยกกระโปรงหางปลาที่ดูคล้ายจะหนักแต่ความเป็นจริงนั้นเบามาก หมุนตัวอยู่ตรงหน้าของลั่วชิว
ช่วงเวลานี้ดูเหมือนจะเพียงพอที่จะทำให้เจ้าของสมาคมจดจำไปตลอด ลั่วชิวเกิดความคิดแปลกประหลาดบางอย่างขึ้นมา แต่ยิ่งสงบความคิดนี้ก็หายไปอย่างรวดเร็ว
เขากลับคืนสู่ท่าทางคล้อยตาม ยิ้มและพูดว่า “สวยจริงๆ”
เขาและเธอเพียงแต่มองกัน ดูเหมือนภายในดวงตาจะไม่มีอะไรอื่นอีก
…
ถึงแม้แม่สื่อเริ่นจะพอใจกับความ ‘สัมพันธ์’ ระหว่างสองคนนี้ แต่ความสงบที่เหนือความคาดหมายของเจ้าของสมาคมลั่วกลับทำให้เธอรู้สึกผิดหวัง
แม่สื่อเริ่มเริ่มคิดเรื่องอะไรบางอย่างขึ้นมา คงไม่เป็นอย่างที่หลีจื่อพูดจริงๆ หรอกนะ ว่าสองคนนี้ล้วนแต่มีนิสัยจืดชืดเย็นชา
เรื่องในหัวเริ่มซับซ้อนขึ้นมา
ในค่ำคืนที่โรแมนติกคืนหนึ่ง มีแสงจากเทียนและกลีบดอกไม้อยู่บนเตียงกำมะหยี่นุ่ม ลั่วชิวและโยวเย่ที่เพิ่งได้รับพรจากญาติและเพื่อนกลายเป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย ต่อจากนั้นควรดำเนินภารกิจหลักของมวลมนุษยชาติ แต่สองคนนี้กลับไม่ถอดเสื้อผ้า เพียงแค่กุมมือนอนลงบนเตียงเงียบๆ ท่ามกลางกลีบกุหลาบ รับรู้ถึงเสียงหัวใจระหว่างกัน
เพลโต งดงามนั้นงดงามมากอยู่…แต่จะสร้างคนได้ยังไง
ทันใดนั้นเริ่นจื่อหลิงก็ตื่นเต้นขึ้นมา พูดออกไปว่า “ไม่ได้ๆ ฉันจะไม่ยอมให้สถานการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นเด็ดขาด”
“สถานการณ์อะไรเกิดขึ้น” ลั่วชิวถามอย่างแปลกใจ
เริ่นจื่อหลิงหัวเราะ แต่กลับผลักลั่วชิวและพูดว่า “ไม่มีอะไร อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้เลย นายก็ไปเปลี่ยนชุดเถอะ บัตรนี้ยังมีถ่ายภาพรูปแต่งงานฟรีด้วย อย่างให้เสียเปล่า”
อืม…ดูแล้วต้องรีบเอายาให้ลูกที่สืบทอดต่อกันมาของหลีจื่อมาโดยเร็ว
ดังนั้นเจ้าของสมาคมลั่วจึงถูกบังคับให้ใส่สูทชุดหนึ่ง ขึ้นไปยังสตูดิโอถ่ายภาพบนชั้นสองของร้านขายชุดแต่งงานและเริ่มทุกข์ใจจากการถูกจัดการไปมาหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ
“คุณผู้ชาย ช่วยยิ้มหน่อยค่ะ ใช่แล้ว เข้าใกล้เจ้าสาวอีกหน่อย ใช่…เข้าใกล้อีกหน่อยได้ไหม เอาเป็นโอบเอวดีกว่า…เอาล่ะ ท่าต่อไป ถ่ายรูปที่ใกล้ชิดกว่าหน่อยดีไหม เจ้าบ่าวจูบเจ้าสาวหน่อย”
เมื่อได้ยินคำขอนี้ เจ้าของสมาคมลั่วก็ชะงักไปชั่วขณะ เขาหันไปมองคุณหนูสาวใช้ของตนเองโดยไม่รู้ตัว
เหมือนเขารู้สึกได้ถึงความคิดภายในดวงตาสีฟ้าเข้มของเธอ
ดวงตาสีฟ้าเข้มสั่นไหวเล็กน้อย แต่ไม่ใช่คาดหวัง แต่เป็นร่องรอยของความหวาดกลัวเหมือนตกใจ
แต่เริ่นจื่อหลิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ช่างถ่ายภาพเบิกตากว้าง เหมือนตื่นเต้นขึ้นมาอย่างฉับพลัน เหลือแค่เพียงไม่ได้หายใจแรงจนพ่นลมออกมาจากจมูกก็เท่านั้น
คงจะคาดหวังมากจนอยากจะเพิ่มขาไก่ให้กับช่างถ่ายภาพสินะ บางทีอาจจะยกนิ้วโป้งให้ช่างถ่ายภาพอยู่ในใจแล้ว ไนซ์
‘นายท่าน…’
เจ้าของสมาคมได้ยินเสียงของคุณหนูสาวใช้ แต่นอนว่าเป็นการสื่อสารภายในใจ
เหตุการณ์แบบนี้ทำให้คุณหนูสาวใช้ผู้ทำได้ทุกอย่างทำตัวไม่ถูก ดังนั้นเสียงในใจจึงดูสับสน
ดูแล้วหากวันนี้ไม่ทำให้พึงพอใจสักหน่อยล่ะก็…คงจะไม่ยอมจบแน่ ทันใดนั้นลั่วชิวก็ถอนหายใจ ยื่นมือออกไปเปิดผ้าคลุมหน้าของโยวเย่ออกเล็กน้อย
‘นายท่าน’
‘อย่ากลัว หลับตาเดี๋ยวก็ดีเอง’
โยวเย่พยักหน้า ซ่อนนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มเอาไว้หลังเปลือกตา ลั่วชิวยิ้ม ยื่นมือออกไปปัดผมบนหน้าผากของโยวเย่ออกและแนบปากลงไป
จูบเบาๆ ตรงนั้น
แสงแฟลชสว่างวาบขึ้นในพริบตา
…
…
ชั้นล่างของร้านขายชุดแต่งงาน
วั่นจื่อซานกับเซวียเซ่าลองชุดของตนเองเสร็จนานแล้ว วั่นจื่อซานกำลังคุยกับพนักงานร้านขายชุดแต่งงานว่าต้องการแก้จุดเล็กๆ บางจุด ส่วนเซวียเซ่าก็มองดูห้องโถงของร้านขายชุดแต่งงานแห่งนี้
ชายหนุ่มคนนั้นไปแล้วเหรอ
“อืม สุดท้ายยังมีตรงแขนเสื้อ เล็กลงนิดหน่อยก็ดีแล้ว แค่นี้แหละ”
“ได้ค่ะ คุณวั่น พวกเราจดความต้องการคุณเอาไว้หมดแล้วค่ะ”
วั่นจื่อซานกอดแขนเซวียเซ่า ดูเหมือนจะพึงพอใจกับการลองชุดครั้งนี้มากจนยิ้มไม่หุบเลย
“มีความสุขขนาดนั้นเชียว” เซวียเซ่าบีบจมูกของวั่นจื่อซานเบาๆ
“ว่าไป ตอนที่นายเข้าไปลองชุด ฉันเห็นผู้หญิงที่สวยมากๆ คนหนึ่งด้วย” วั่นจื่อซานพูดอย่างตื่นเต้น “สวยเกินไปจริงๆ ถ้าไม่เห็นตัวคนเป็นๆ ตีฉันให้ตายฉันก็ไม่เชื่อว่าจะมีผู้หญิงที่สวยสมบูรณ์แบบขนาดนี้อยู่ด้วย”
เซวียเซ่าล้อเล่นว่า “จริงเหรอ ฉันไม่เห็นน่าเสียดายเกินไปใช่ไหม”
วั่นจื่อซานแลบลิ้นและพูดว่า “ดูทำไม คนเขาพูดกันแล้วว่าเจ้าสาวถึงจะสวยที่สุด แต่นั่นเป็นเจ้าสาวของคนอื่น เพราะงั้นรีบพูดมาว่าฉันสวยที่สุดในสายตาของนาย”
“หน้าหนาได้มากกว่านี้อีกเปล่าเนี่ย” เซวียเซ่าส่ายหน้าและถอนหายใจ
“รีบพูดสิ ฉันสวยที่สุด” วั่นจื่อซานทำท่าเหมือนจะงอแง ซึ่งมันเป็นเพียงความสนุกสนานระหว่างคนรักเท่านั้น
เธอรู้ เขาเองก็รู้และยินดีจะร่วมมือกับเธอ
ทั้งสองคนงอแงกันอยู่หน้าประตูครู่หนึ่ง ทันใดนั้นสายตาของเซวียเซ่าก็เหลือบไปมองอีกฟากหนึ่งของถนนและพูดว่า “เธอรอฉันอยู่ตรงนี้แป๊บหนึ่งนะ ฉันไปดูทางนั้นหน่อย”
พูดแล้วเซวียเซ่าก็เดินข้ามถนนไปอีกฟากหนึ่ง รถเทศบาลยังไม่ไป พนักงานไม่กี่คนกำลังนั่งดื่มน้ำพูดคุยกันอยู่ข้างต้นไม้เหมือนกำลังพักผ่อน
“ขอถามหน่อยครับ จะตัดต้นไม้แห่งความปรารถนานี้แล้วเหรอครับ” เซวียเซ่าถามพนักงานที่นั่งอยู่ที่นั่น
ลุงคนหนึ่งพยักหน้าและพูดว่า “ใช่แล้ว ไม่มีทางเลือก มันใหญ่เกินไป คนพักอยู่ชั้นบนร้องเรียนแล้ว อีกอย่าง ปีนี้มีลมพายุมาก ไม่มีใครรู้ว่ามันจะถูกลมพัดหักไหม ถึงตอนนั้นถ้าขวางทางก็จะลำบาก”
เซวียเซ่าขมวดคิ้ว เงยหน้าหน้ามองกิ่งไม้ที่ปกคลุมสายตาของเขา มันกั้นคนไม่ให้มองเห็นท้องฟ้าสีฟ้าและเมฆสีขาว แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นร่มเงาขนาดใหญ่
เซวียเซ่าพูดว่า “ตัดกิ่งซ่อมแซมเอาไม่ได้เหรอครับ ตัดพวกกิ่งที่ยาวออกมาก็น่าจะได้แล้ว”
ลุงคนนั้นส่ายหน้าและพูดว่า “เจ้าหนุ่ม ต้นไม้ต้นนี้อยู่มาตั้งแต่ก่อนฉันเกิด ความจริงแล้วฉันเองก็อาลัยอาวรณ์ที่จะตัด แต่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ นายดูละแวกนี้ปลูกแต่ต้นไม้เขียวกันหมด มีแค่ที่นี่ พวกที่ทำเรื่องจัดระเบียบบอกว่าแบบนี้ไม่น่าดูและก็จัดการได้ยาก อีกอย่างดูเหมือนต้นไม้ต้นนี้ก็ป่วย ช่วยไม่ได้…อา เบื้องบนพูดอะไร พวกเราก็ต้องทำตามนั้น”
“อีกเดี๋ยวก็จะตัดแล้วเหรอครับ” เซวียเซ่ามองลุง
“อ๋อ วันนี้ทำรั้วกั้นเท่านั้น ยังไม่ตัด” ลุงพูด “ต้นไม้ต้นนี้โตเกินไป อุปกรณ์บนรถมีไม่พอ อาจเปลี่ยนเป็นวันพรุ่งนี้หรือวันถัดไป ไม่แน่นอน พวกเราเองก็ทำตามคำสั่ง”
“ขอบคุณครับลุง” เซวียเซ่าพยักหน้าและขอบคุณ
เขาเดินไปหน้าลำต้นของต้นไม้ ยื่นมือออกไปลูบมัน ลูบอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองกิ่งไม้บนหัวของเขา…มองไปที่กิ่งไม้กิ่งหนึ่ง
“เป็นอะไรเหรอ” วั่นจื่อซานอยู่ตลอดและได้ยินเซวียเซ่าคุยกับลุง ตอนนี้เธอเห็นคู่หมั้นของเธอดูใจลอยจึงอดถามไม่ได้ “นายไม่อยากให้ต้นไม้ต้นนี้โดนตัดงั้นเหรอ”
เซวียเซ่าถอนหายใจ พูดเรื่องเกี่ยวกับเขาและต้นไม้ต้นนี้เล็กน้อย “ตอนฉันยังเด็กมันก็อยู่แล้ว ตอนนั้นฉันชอบปีนขึ้นไปเล่นบนต้นไม้ ตอนนั้นซุกซนมากทีเดียว ชอบแอบปลดป้ายขอพรของคนอื่นทิ้งลงพื้น”
“นายยังมีช่วงที่ดื้อถึงขนาดนั้นด้วยเหรอ” วั่นจื่อซานหัวเราะ
เซวียเซ่าระลึกถึงความทรงจำและพูดว่า “มีครั้งหนึ่งที่ฉันตกจากบนต้นไม้…ตรงนั้นแหละ”
วั่นจื่อซานมองระดับความสูง ชั่วขณะนั้นก็รู้สึกกลัวและพูดว่า “นายเป็นยังไงบ้าง”
เซวียเซ่าหัวเราะ “บางทีฉันคงดวงแข็ง ตอนตกลงมาพอดีมีกิ่งหนึ่งที่หักและเกี่ยวเสื้อของฉันเอาไว้ทำให้ติดอยู่กิ่งนั้น จากนั้นจึงกระโดดลง ตัวฉันไม่เป็นอะไรมาก แต่ต่อมาแม่ของฉันตกใจมาก พร่ำบอกว่าสวรรค์คุ้มครองฉัน”
เซวียเซ่าส่ายหน้า ถอนหายใจและพูดว่า “ได้ยินว่ามันจะถูกตัดแล้วเลยรู้สึกใจหวิวๆ น่ะ”
วั่นจื่อซานจับมือของเซวียเซ่าและพูดว่า “อืม ใช่แล้ว มีความทรงจำตั้งมากมายขนาดนี้ พูดว่าจะตัดก็ตัดเลย น่าเสียดายจริงๆ”
“น่าเสียดาย…” เซวียเซ่าพึมพำ “น่าเสียดายงั้นเหรอ”
“เซวียเซ่า?”
“ไม่มีอะไร” เซวียเซ่าสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และพูดว่า “คิดถึงชีวิตคนก็เท่านั้น…หิวหรือยัง พวกเราไปหาที่กินข้าวกันเถอะ”
หญิงสาวพยักหน้า โอบแขนเซวียเซ่าเริ่มพูดคุยเปรียบเทียบราคาของอาหารว่าที่ไหนแพงกว่ากัน
สุดท้ายเซวียเซ่าก็มองต้นไม้แห่งความปรารถนาแวบหนึ่ง ทันใดนั้นสายลมก็พัดมา เขย่าใบไม้ พัดใบไม้สีเหลืองให้สาดกระจาย
พัดเอาความคิดของเขากับสัญญาบางอย่างที่เคยทำอยู่ที่นี่ไป
…
‘สูงเกินไปแล้ว นายอย่าปีนอีกเลย เดี๋ยวจะตก’
‘ไม่เป็นไร ฉันปีนต้นไม้ต้นนี้บ่อย’
‘โยนจากตรงนี้ก็ได้แล้วนี่’
‘ฉันอยากแขวนความหวังของฉันเอาไว้สูงที่สุด แบบนั้นฉันจะได้อยู่กับเธอไปตลอดกาล สำเร็จแล้ว เธอดูสิ ขอพรให้ฉันอยู่ด้วยกันกับเธอตลอดไป’
‘เจ้าโง่’
…
‘อย่าลืมนะ’