เมืองมักมีฝนตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงครึ่งปีหลังและดูเหมือนว่าคนในเมืองจะคุ้นชินกับมันแล้ว
ในช่วงบ่ายดวงอาทิตย์ยังส่องแสง เมื่อใกล้ค่ำยังไม่ถึงหนึ่งทุ่ม พายุพัดเข้ามาฝนก็ตกหนัก
ลมพายุมาเร็วและก็ไปเร็ว ประมาณสองทุ่มครึ่งฝนก็เริ่มซาลงกลายเป็นฝนปรอย
แต่หาจุดสิ้นสุดของฝนปรอยไม่ได้เลย
…
ความหนาวเย็นทำให้เซวียเซ่าตื่นขึ้นมาจากโต๊ะทำงาน ก่อนหน้านี้เขาลางานครึ่งวันไปเป็นเพื่อนวั่นจื่อซาน ดังนั้นช่วงบ่ายจึงต้องรีบกลับบริษัทและต้องทำงานล่วงเวลาถึงจะสามารถทำงานในมือให้เสร็จลงได้
หลังทำงานหนักถึงประมาณหกโมงกว่าๆ เพราะเหนื่อยมากจึงตั้งใจจะพักครู่เดียว แต่กลับหลับไปโดยไม่รู้ตัว
แต่เซวียเซ่ากลับฝัน เป็นความฝันที่ยาวนานมาก
วันเกิดของเขา เด็กสาวในความทรงจำคนนั้นกลับไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลยตลอดทั้งวัน แต่ในตอนที่เขาผิดหวังเพราะคิดว่าเธอไม่รู้อยู่นั้น เด็กสาวก็เขย่งเท้าขึ้นมาจูบเบาๆ บนใบหน้าของเขาในพริบตาก่อนจากลากัน
เด็กสาวพูดว่า ‘นี่ยังไม่ถือว่าเป็นของขวัญวันเกิดนะ อันนี้ถึงจะใช่’ จากนั้นเด็กสาวก็ล้วงเอาสร้อยออกมาห้อยบนคอให้เขาเองกับมือ บอกว่านี่เป็นของที่แม่ของเธอมอบให้เธอและบอกให้เขาใส่ไว้ตลอด
ความฝันจบลงตรงนี้เพราะเขาตื่นแล้ว
เซวียเซ่านั่งอยู่คนเดียวในสำนักงานที่มีแสงจากหน้าจอโน๊ตบุ๊คเล็กๆ เครื่องเดียว เขาหมุนเก้าอี้ดูสายฝนด้านนอก ลูบหน้าอกของตนเองโดยไม่รู้ตัว
ตรงนี้มีสร้อยอยู่เส้นหนึ่งที่เขาไม่เคยให้ห่างกาย สร้อยไม่ใช่ของมีค่าอะไร เป็นแค่จี้ร้อยด้วยเชือกธรรมดา…ส่วนจี้ก็เป็นรูปจันทร์เสี้ยวสีน้ำตาล
เซวียเซ่ามองน้ำฝน…ดูเหมือนฝนตกจะสามารถยกระดับความโศกเศร้าได้
เขาอดถามตนเองไม่ได้ว่า ผู้ชายทุกคนเป็นเหมือนเขาหรือเปล่า…ที่มักนึกถึงรักในอดีตอย่างควบคุมไม่ได้
โดยเฉพาะรักแรก…ที่จบลงโดยไม่มีความผิด
บางทีอาจจะไม่ใช่แค่ผู้ชาย ผู้หญิงก็คงเป็นเช่นกัน…มักนึกไปถึงเรื่องบางอย่างโดยที่ควบคุมไม่อยู่ แม้จะไม่ยินยอม แต่ก็ไม่อาจห้ามปรามความหวานและความขมขื่นที่เกิดขึ้นมาอย่างกะทันหันได้
เวลาผ่านไปนานแล้ว เซวียเซ่าคิดว่าตนเองลืมมันไปแล้ว หรือไม่ก็ได้ฝังมันไว้ส่วนลึกสุดของความทรงจำแล้ว รอ…เมื่อเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ มีคุณสมบัติเพียงพอ สามารถยิ้มอย่างเข้าอกเข้าใจได้แล้วถึงจะปล่อยมัน
เขาตั้งใจไว้เช่นนี้ เพราะเขาปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาจริงใจกับคู่หมั้นในปัจจุบันของเขา
“บางทีอาจจะเป็นเพราะใกล้แต่งงานแล้ว…เพราะใกล้จะเข้าสู่สถานะที่แตกต่างไปแล้วงั้นเหรอ” เซวียเซ่าถอนหายใจ “แต่ว่า…”
เซวียเซ่าจับจี้จันทร์เสี้ยวเล็กๆ ผ่านเสื้อผ้า
แต่ว่า…เพราะกำลังจะเข้าสู่ขั้นอื่นแล้ว เขาไม่อยากให้ตัวเองมีความคิดแบบนี้อีก “หยุดหลบเลี่ยงได้แล้ว ตัดสินใจเถอะ”
ทันใดนั้นเซวียเซ่าก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมา รอครู่หนึ่ง “ฮัลโหล หัวหน้าห้อง ผมเอง เซวียเซ่า”
“เซวียเซ่าเหรอ มีอะไรถึงโทรหาฉันเวลานี้”
“ไม่มีอะไร…ฉันใกล้จะแต่งงานแล้วใช่ไหมล่ะ” เซวียเซ่าเอ่ย “ตอนนี้กำลังเขียนการ์ดเชิญ…แต่มีบางคนที่ติดต่อไม่ได้ ใช่แล้วหัวหน้าห้อง ยังมีวิธีติดต่อสวี่เจียอี้ไหม เจอคนในห้องตั้งเยอะมีแต่เธอที่ฉันหาไม่เจอ”
“สวี่เจียอี้เหรอ…อา เหมือนจะไม่ได้ยินถึงชื่อนี้มานานแล้ว” ทันใดนั้นหัวหน้าห้องก็หัวเราะและพูดว่า “เฮ้ ฉันจำได้ว่าตอนเรียนนายแอบชอบเธอมาตลอดไม่ใช่เหรอ ทำไม ยังไม่ลืมอีกเหรอ อยากเจอคนรักเก่าก่อนแต่งงาน ให้มาเป็นเพื่อนรักงั้นเหรอ”
“หัวหน้าห้อง หยุดล้อได้แล้ว” เซวียเซ่ารีบพูด “ฉันตั้งใจจะเขียดการ์ดเชิญจริงๆ…อืม ถึงจะไม่เขียนแต่ก็อยากบอกสักหน่อย”
“เอาล่ะๆ ไม่ล้อนายแล้ว ทุกคนรู้ว่านายเป็นอะไร ผู้ชายที่ใกล้จะสูญพันธ์ ครั้งนั้นพวกเราไปห้องคาราโอเกะ แต่ละคนมีผู้หญิงกันหมด แต่นายกลับออกไปร้องข้างนอกทั้งคืน นายทำให้ฉันต้องควบสองบินเดี่ยวได้ลงคอ นายทำได้ยังไง ฉันยังสงสัยว่านายไร้สมรรถภาพทางเพศไปแล้ว”
“หัวหน้าห้อง”
“ได้ๆๆ ไม่พูดแล้วๆ”
หัวหน้าห้องหยุดไปชั่วขณะ “แต่ฉันไม่มีวิธีติดต่อสวี่เจียอี้ งานเลี้ยงรุ่นตอนปีใหม่ ไม่รู้ได้ยินใครพูดว่าเธอบินไปรอบโลก เหมือนจะหาตัวไม่พบแล้ว ฉันกลัวว่าคงช่วยนายไม่ได้”
“แบบนั้นเหรอ…งั้นก็แล้วไปเถอะ ไม่มีวิธีแล้วนี่” เซวียเซ่าพูด “หัวหน้าห้อง อย่าลืมรับการ์ดเชิญนะ มาตรงเวลาด้วย ถ้านายไม่มา พวกเราก็ไม่ต้องติดต่อกันไปเลยตลอดชีวิต”
“ให้ตายเถอะ…ถึงต้องคลานไปฉันก็จะคลานไปให้ถึง”
“ไม่คุยแล้ว ฉันเลิกงานกลับบ้านแล้ว”
เซวียเซ่าวางสายและเผยรอยยิ้มขมขื่น
…
ตอนออกมาจากบริษัท เซวียเซ่าโทรรายงานวั่นจื่อซานตามปกติ…แต่เขาไม่รู้ว่าความกระสับกระส่ายมาจากไหนจึงไม่ได้ขับรถกลับบ้านเลย
แต่กลับไปที่ใต้ตึกบ้านของเด็กสาวในความทรงจำคนนั้น
เขาเงยหน้าขึ้นไปบนชั้นหก…ห้องที่ใกล้กับถนน เวลานั้นบ้านของเขาก็อยู่ในละแวกใกล้เคียง
เป็นเหมือนที่หัวหน้าห้องพูด เขาแอบรักผู้หญิงคนนั้นมาโดยตลอด ก่อนที่จะเริ่มต้นด้วยซ้ำ
ลืมวันที่นักเรียนใหม่เข้าเรียนวันนั้นไม่ลง ใบหน้าที่พบเจอหน้าประตูโรงเรียน ลืมใบหน้าที่ประดับรอยยิ้มบางๆ ดวงนั้นไม่ได้…ลืมภาพตอนที่ผมของเด็กสาวปลิวไสวไปตามลมไม่ได้
เขาเคยมาที่นี่และมองหน้าต่างบานนั้นเงียบๆ หวังว่าบางทีเด็กสาวอาจจะโผล่หน้าออกมา
ตอนนี้ห้องเก่าห้องนั้นไม่เปิดไฟอีกแล้ว บนระเบียงมีคราบสนิม บนหน้าต่างไม่มีม่าน…เป็นเพียงห้องว่างๆ ห้องหนึ่งเท่านั้น
ไม่อาจเปิดกล่องอันนั้นโดยพลการจริงๆ
ยืนในสถานที่เงียบและมืด…ไม่ควรเปิดกล่องที่ซ่อนอยู่ในใจกล่องนั้นโดยพลการจริงๆ
“สวี่เจียอี้ เธอไปทั้งอย่างนี้เลยเหรอ พูดว่าจะไปต่างประเทศก็ไปเลยเหรอ…แม้แต่ช่องทางติดต่อก็ไม่ให้ฉันเอาไว้” เซวียเซ่ายื่นมือออกไปนอกร่มปล่อยให้ฝนกระทบบนฝ่ามือและพึมพำว่า “แม้แต่…สักประโยคก็ไม่พูดกับฉันเลยงั้นเหรอ”
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และหันกายจากไป
หันไปยังที่ที่เขาจอดรถ…ไม่ไกล ห่างไปเพียงร้อยกว่าเมตรเท่านั้น
เซวียเซ่ายิ้มอย่างขมขื่น…บางทีวันนี้ไม่สมควรถามเรื่องต้นไม้แห่งความปรารถนา เพราะได้ยินว่ามันจะถูกตัดแล้วถึงได้รู้สึก…ไม่ปกติ
เขาเดินถือร่มไปเงียบๆ
บนเสาไฟข้างทางมีไฟที่เรียบง่ายสองดวงส่องแสงอยู่
“ที่นี่…มีร้านแบบนี้อยู่ด้วยงั้นเหรอ” เซวียเซ่าขมวดคิ้ว มองไปยังประตูร้านที่ค่อนข้างมืดทึบแห่งนั้น
เขาไม่ได้สังเกต…ว่าถนนรอบด้านไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เขาสังเกตได้เพียงว่ามันเงียบ…เงียบจนผิดปกติ
เขาเดินไปถึงหน้าประตูโดยไม่รู้ตัวเหมือนมีอะไรดึงดูด
เซวียเซ่าเก็บร่ม สลัดน้ำฝนบนร่มเล็กน้อย ลองผลักประตูโดยไม่สนหน้าร้าน
เสียงกระดิ่งดังขึ้น
มีแสงอันอบอุ่น
ทันทีที่เข้ามา ดูเหมือนเซวียเซ่าจะไม่รู้สึกถึงความเย็นของฝนตกด้านนอกอีกต่อไป ในนี้อบอุ่นมาก
“ยินดีต้อนรับ มีอะไรที่เราสามารถช่วยคุณได้ไหมครับ คุณลูกค้า”
…
“อย่างนั้น…คุณลูกค้าต้องการพบหน้ารักแรกอีกสักครั้ง ใช่ไหมครับ” เจ้าของสมาคมถามเบาๆ
“ผม…ผมไม่แน่ใจ” เซวียเซ่าส่ายหน้า อีกทั้งยังมองดูทุกอย่างตรงหน้าอย่างแตกตื่น
เขารู้เรื่องบางอย่างของร้านนี้แล้ว…อีกทั้งยังต้องเชื่อเรื่องบางอย่างหลังเจ้าของสมาคมที่ลึกลับผู้นี้แสดงฝีมือให้ดูอีก
แต่เขายังคงใจสั่น ทำไมเขาถึงได้เจอสถานที่แปลกๆ แบบนี้
สิ่งเดียวที่ทำให้เซวียเซ่าสงบลงไม่ได้ตื่นกลัวเกินไปก็คือ…ที่นี่ไม่ได้ดูน่ากลัว ไม่เหมือนสถานที่ของปีศาจในหนังหรือนิยาย ที่มีเขี้ยวมีเขางอก มีเปลวไฟนรก มีเลือด ถึงเจ้าของสมาคมจะใส่หน้ากากที่ดูน่ากลัว แต่ก็ดูสุภาพมาก
ให้ความเคารพตลอดเวลา ปฏิบัติตัวต่อเขาผู้เป็น ‘ลูกค้าที่เคารพ’ อย่างมีมารยาท
สาวใช้ข้างกายของเจ้าของสมาคมผู้นี้ วั่นจื่อซานบอกว่าเธอเห็นผู้หญิงที่งดงามสมบูรณ์แบบ แต่เขารู้สึกว่าผู้หญิงตรงหน้าเขาต่างหากถึงจะสมกับคำว่าสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง
เพียงแต่…เย็นชาไปหน่อย
“ไม่แน่ใจเหรอ”
เจ้าของสมาคมลั่วครุ่นคิดและพูดว่า “คุณลูกค้า ถ้ายังไม่แน่ใจจะไม่สามารถทำการค้าขายได้ ดังนั้นขอให้คุณคิดอย่างละเอียดรอบคอบก่อน เพราะเมื่อทำการค้าขายเรียบร้อยแล้วจะไม่สามารถเปลี่ยนได้”
“ผมขอรู้ราคาก่อนได้ไหม” เซวียเซ่าถามอย่างเย็นชา “ผมไม่ขายความแข็งแรง ชีวิตหรือความรู้สึกและอื่นๆ ของตัวเอง…ถึงผมอยากจะปรับความเข้าใจกับเธอยังไง แต่ผมก็จะไม่ทำเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อคู่หมั้นของผมเพราะความเห็นแก่ตัวของตัวเองอย่างเด็ดขาด”
“คุณลูกค้ารักคู่หมั้นของคุณมาก” เจ้าของสมาคมพยักหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ทำไมต้องเอาเรื่องครั้งเก่าเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย”
เซวียเซ่ายิ้มอย่างขมขื่น “ไม่รู้ว่าคุณจะเข้าใจไหมว่าการจะลืมคนสักคนนั้น…มันเป็นเรื่องที่ยากและเจ็บปวดขนาดไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในตอนที่ยังไม่สามารถทำได้แต่ก็รู้ว่าตัวเองต้องรักคนใหม่ไปทั้งใจ”
“ดังนั้นคุณต้องการจบ”
เซวียเซ่าพยักหน้าและพูดว่า “ผมอยากจบ แต่ถ้าการจบนี้ส่งผลต่อชีวิตหลังแต่งงานแล้ว ผมเลือกไม่ต้องการจะดีกว่า…ดังนั้นผมจึงต้องการรู้ว่าราคาเท่าไหร่”
“อืม” เจ้าของสมาคมลั่วครุ่นคิดครู่หนึ่งก้อนพูดเบาๆ ว่า “ถ้าทำตามที่คุณลูกค้าต้องการล่ะก็ เกรงว่าบนตัวของคุณคงจะมีเพียงสิ่งเดียวที่เหมาะสม…เป็นสร้อยที่คุณใส่”
“สร้อยเหรอ” เซวียเซ่าตะลึง
‘นายต้องใส่มันไว้ตลอด เหมือนที่จะพาฉันไปด้วยตลอดนะ’
เจ้าของสมาคมลั่วพยักหน้าและพูดว่า “ถูกต้อง คุณค่าของสร้อยเส้นนี้เพียงพอที่จะทำให้คำขอของคุณเป็นจริงแล้ว”
“ไม่เอาของที่มีค่ามากที่สุดบนตัวของผมไป…แต่ก็เอาของที่สำคัญต่อผมไป” เซวียเซ่ายิ้มอย่างขมขื่น ทันใดนั้นก็ถอนหายใจยาวและพูดว่า “บนโลกนี้ไม่มีของฟรี ผมต้องการเพียงแค่จบ ผมต้องการจบกับเรื่องเก่าก่อน ในเมื่อต้องการจบ อย่างนั้นก็…คงไม่ต้องใส่แล้ว”
เขาถอดสร้อยบนตัวออกแล้ววางลงตรงหน้าของเจ้าของสมาคมลึกลับคนนี้
“ไม่ คุณเก็บเอาไว้ก่อน” เจ้าของสมาคมลั่วพูด “เซ็นสัญญาก่อน รอจนสินค้าถึงมือของคุณแล้ว พวกเราถึงจะเก็บสร้อยเส้นนี้ไปจากคุณ”
“พวกคุณ…” เซวียเซ่าพยักหน้า “ยุติธรรมดี”