เวลาเกือบจะเที่ยงคืนแล้ว
ระเบียงทางเดินของโรงพยาบาลค่อนข้างมืดเพราะฝนตก ที่นี่ยังเงียบเป็นพิเศษ ชายหนุ่มคนหนึ่งเพิ่งเสร็จจากการแอบบสูบบุหรี่ในห้องน้ำชายและตอนนี้กำลังเดินขึ้นไปชั้นบน
แต่ไม่นานเขาก็หยุดลงและมองขึ้นไปเห็นขาคู่หนึ่งที่สวมถุงเท้าสีขาวบางกำลังเดินลงมาจากบันได
นี่เป็นนางพยาบาลที่เข้าเวร เธอคงไม่รู้ว่าตอนนี้มีสายตากำลังจ้องส่วนซ่อนเร้นของตนเองอยู่ เธอที่รีบเดินตรวจตึก เดินตรวจเสร็จไปชั้นหนึ่งอย่างรวดเร็ว
“จุ๊ๆ ไม่เลวจริงๆ” ชายหนุ่มหัวเราะอย่างพอใจ จากนั้นก็รีบเดินขึ้นบันไดตรงไปถึงห้องผู้ป่วยที่อยู่สุดทางเดินระเบียงอย่างรวดเร็ว
คนที่พักอยู่ที่นี่คืออาจารย์ของเขา คนในยุทธภพเรียกว่าปรมาจารย์หวง หลังชายหนุ่มได้รับโทรศัพท์จากโรงพยาบาลแล้วก็ตกใจแทบตาย ยังดีที่ตัวคนไม่เป็นอะไร
แต่อาจารย์ของตนเองนั้นดูแลรักษาสุขภาพมาโดยตลอด ทำไมอยู่ดีๆ ถึงสลบลงไปได้ ทั้งยังกระอักเลือดอีกด้วย
“อาจารย์ คุณตื่นแล้ว”
คิดไม่ถึงว่าตนเองเพียงออกไปสูบบุหรี่แป๊บเดียวกลับมา เหล่าหวงก็ตื่นแล้ว ตอนนี้เขานั่งอยู่บนเตียงมองออกไปนอกหน้าต่าง ดูเงียบขรึมเล็กน้อย
“ผมตกใจแทบตาย” ชายหนุ่มคนนั้นเดินไปนั่งลงข้างเตียงของอาจารย์หวง “อยู่ดีๆ ก็สลบไป”
“เฉินเอ้อร์” เหล่าหวงพูดขึ้นในตอนนี้ว่า “นายไปยกเลิดนัดของฉันทั้งหมด หนึ่งปีต่อจากนี้ฉันจะไม่พบแขก”
ชายหนุ่ม…เฉินเอ้อร์ชะงัก พูดทันทีว่า “อาจารย์ ลูกค้าที่นัดไว้พวกนั้นล้วนแต่เป็นคนใหญ่คนโต ยกเลิกแล้วไม่กลัวว่า…”
เหล่าหวงถอนหายใจ มองดูลูกศิษย์ของตนเอง พูดอย่างมึนงงว่า “จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังคิดไม่ออกว่าทำไมตนเองถึงสลบไป เพียงแต่คลับคล้ายคลับคลาว่าเดิมทีวันนี้ต้องไปพบลูกค้าเพื่อดูดวง…ฉันน่าจะดูแล้วหรือยังไม่ดูกันแน่ แต่ทำไมฉันถึงคิดไม่ออก”
“อาจารย์ คงไม่ใช่…เกิดอุบัติเหตุอะไรกระทบกระเทือนสมองหรอกนะ ได้ยินว่าอาจลืมเรื่องบางอย่างไป แต่ก็เป็นแค่ชั่วคราวเท่านั้น”
อาจารย์หวงส่ายหน้าและถอนหายใจ “ถ้าทำงานสายพวกเรา หากเป็นคนที่มีความสามารถจริงๆ ก็ล้วนแต่กำลังเปิดเผยความลับของสวรรค์…ไม่ช้าก็เร็วต้องได้รับกรรมสนอง พวกเราสามารถดูดวงให้คนอื่นแต่กลับไม่อาจดูดวงให้ตนเองได้ ฉันไม่ได้เกิดอุบัติเหตุกระทบกระเทือนสมองอะไร แต่เกรงว่าจะไปคำนวณเรื่องอะไรที่ไม่สมควรคำนวณเข้า…ที่ไม่ตายคงเป็นเพราะอาจารย์บรรพบุรุษคุ้มครอง”
“อาจารย์ อาจารย์ต้องอายุยืนยาวถึงร้อยปี อย่าขู่ตัวเองให้กลัวไปเองสิ”
“เฉินเอ้อร์” เหล่าหวงพูดขึ้นในทันใดว่า “ฉันต้องกลับภูเขาบู๊ตึ๊งสักหน่อย นายอยู่ที่นี่ ดูแล ‘เรือนหลิงเทียน’ แทนฉันให้ดี ถ้าพวกลูกค้าพวกนั้นมาหา นายก็บอกปัดให้ฉัน แต่จำไว้ว่าอย่าหาประโยชน์อะไรจากพวกเขา”
“ภูเขาบู๊ตึ๊ง?” เฉินเอ้อร์ชะงัก…เขารู้ว่าอาจารย์ของตนเองเคยอยู่ในภูเขาบู๊ตึ๊ง แต่เฉินเอ้อร์กลับไม่เคยไปที่นั่นเลยสักครั้ง
จากคำพูดในบางครั้งของเหล่าหวงทำให้เฉินเอ้อร์รู้ว่าความสามารถของอาจารย์ท่านนี้ได้มาจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนั้น
“อาจารย์ ให้ผมไปเป็นเพื่อนท่านเถอะ” เฉินเอ้อร์พูด “ผมก็อยากเปิดหูเปิดตาบ้าง”
เหล่าหวงส่ายหน้า “ยังไม่ถึงเวลา นายอยู่ที่นี่เถอะ”
เฉินเอ้อร์พยักหน้าและไม่พูดอะไร
ดีนี่ตาเฒ่า ติดตามมาตั้งนานแล้วยังไม่ยอมสอนอะไรให้ฉันสักที ทั้งยังบอกปัดลูกค้าใหญ่ตั้งมากมายอีก
…
…
ช่วงเวลาทานอาหารเที่ยง
“ออกทำงานนอกสถานที่?” วั่นจื่อซานมองเซวียเซ่าอย่างตกใจเล็กน้อย “กะทันหันขนาดนี้เชียว”
ที่นี่เป็นร้านอาหารแห่งหนึ่งในย่านตึกธุรกิจมากมาย ระยะห่างระหว่างบริษัทของวั่นจื่อซานกับเซวียเซ่าไม่ไกลเท่าไหร่ บางครั้งหากงานไม่ยุ่งมากพวกเขาก็จะนัดกันออกมาทานอาหารเที่ยงด้วยกัน
“ใช่แล้ว”
เซวียเซ่าพูดอย่างหมดทางเลือกว่า “วันนี้เช้ากลับไปบริษัทก็ถูกกำหนดลงมาแล้ว ตอนแรกรองประธานของบริษัทคนหนึ่งจะไปเข้าร่วมประชุมแสดงผลิตภัณฑ์ แต่เมื่อคืนเป็นไส้ติ่งอักเสบต้องเข้าโรงพยาบาลอย่างกะทันหัน เขาเสนอชื่อฉัน…ฉันเองก็แปลกใจ ฉันไม่ได้เป็นลูกน้องสายตรงของเขา ทำไมเขาถึงเสนอชื่อฉันได้”
“อืม…” วั่นจื่อซานครุ่นคิดครู่หนึ่งและพูดว่า “แต่ยังไงนายก็เป็นรองผู้จัดการของแผนกวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ เสนอนายก็ดูเหมือนจะเหมาะสมไม่ใช่เหรอ แต่การไปก็ถือเป็นเรื่องดี แสดงว่าบริษัทให้ความสำคัญกับนาย ไม่แน่ต่อไปอาจจะสามารถเข้าไปได้อย่างเต็มตัว…ว่าแต่ต้องไปกี่วัน”
“ไปวันนี้ ตอนบ่ายสี่โมงก็บินแล้ว วันศุกร์กลับมา…ประมาณสี่วัน”
“ด่วนขนาดนั้นเลยเหรอ”
“อา” เซวียเซ่าถอนหายใจและพูดว่า “แผนการเดินทางเดิมของรองประธานก็คือวันนี้เช้า”
วั่นจื่อซานเบิกตากว้างและพูดว่า “แบบนั้นนายยังมาทำตัวว่างกินข้าวอยู่กับฉันอีกเหรอ รีบกลับไปเก็บของสิ”
“กินข้าวเสร็จก่อนเถอะ” เซวียเซ่ายิ้มและพูดว่า “ถึงรีบแค่ไหนก็ไม่เสียเวลาเพราะเรื่องแค่นี้หรอก”
วั่นจื่อซานพูดอย่างเป็นห่วงว่า “ดูพยากรณ์อากาศบอกว่าไม่กี่วันนี้จะมีฝนตก ไม่รู้ว่าเครื่องบินจะดีเลย์หรือเปล่า”
เซวียเซ่ามองออกไปนอกหน้าต่างแวบหนึ่ง ตอนนี้ฝนตกปานกลาง ช่วงเช้านั้นตกหนักกว่านี้หน่อย “น่าจะ…ไม่มั้ง”
…
แต่ความเป็นจริงนั้นดีเลย์…ไปประมาณหนึ่งชั่วโมง
แต่ดีเลย์แค่หนึ่งชั่วโมงก็ถือว่าโชคดี เซวียเซ่าถือกระเป๋าเดินทางแบบเรียบง่ายใบหนึ่งขึ้นไปบนเครื่องบิน ก่อนเครื่องบินขึ้นบินก็ปิดอุปกรณ์สื่อสารทุกชนิด
เขามองออกไปยังท้องฟ้าสีดำนอกหน้าต่างและเล่นกับจี้รูปจันทร์เสี้ยวบนตัวของเขาโดยไม่รู้ตัว ทันใดนั้นก็คิดไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้น
พูดว่าจะทำให้เขาเจอผู้หญิงคนนั้น…คงจะไม่ใช่เพียงแค่ล้อเขาเล่นเท่านั้นหรอกนะ
เมื่อเซวียเซ่านอนตื่นขึ้นมาก็คิดถึงเรื่องในคืนนั้นตลอด…ตอนนั้นเจ้าของสมาคมลึกลับคนนั้นยังแสดงฝีมือที่แปลกประหลาดออกมาด้วย แต่ตอนนี้มาคิดดูแล้ว อาจจะเป็นการแสดงมายากลที่ตนเองไม่รู้จักก็ได้ ทำมาเพื่อให้คนกลัวเล่นใช่ไหม
เพราะถึงอย่างไรก็ไม่มีการติดตามต่อเลย อีกทั้งตอนนี้เขาก็ยังบินออกมาทำงานนอกสถานที่อีก จะคิดยังไงก็เหมือนตนเองโดนแกล้ง
เซวียเซ่ายิ้ม โตจนเข้าสังคมแล้วยังถูกหลอกได้ง่ายๆ อย่างนี้อีก คงไม่มีใครโง่เหมือนเขาอีกแล้ว
เซวียเซ่าหลับตาและค่อยๆ หลับไป
ภายในฝัน เขากลับไปตอนที่เขามีอายุได้สิบเจ็ดสิบแปดปีอีกครั้ง
…
“คุณผู้ชาย ถึงแล้วค่ะ คุณผู้ชาย?”
เซวียเซ่ารู้สึกว่ามีคนตบบนไหล่เบาๆ เขาตื่นขึ้นมาและก็ไม่พูดอะไร เพียงแต่ออกจากเครื่องบินไปภายใต้สายตาอันมีมารยาทของแอร์โฮสเตส
บริษัททางนั้นเตรียมที่พักเอาไว้ให้เขาแล้ว ทั้งยังส่งคนขับรถมาคอยรับส่ง ซึ่งคนขับรถกำลังรออยู่นอกสนามบิน
เซวียเซ่าสูดหายใจเข้าลึกๆ มองสนามบินของเมืองที่ดูแปลกตา นั่งเครื่องบินมาตั้งหลายชั่วโมง เหนื่อยจริงๆ ตอนนี้เขาเพียงอยากถึงโรงแรมเร็วๆ และอาบน้ำ จากนั้นก็เตรียมเรื่องงานแถลงข่าวผลิตภัณฑ์ในวันพรุ่งนี้เช้า
“ผมลงจากเครื่องบินแล้ว ตอนนี้อยู่ในสนามบิน เตรียมจะไปโรงแรม”
เซวียวเซ่าถ่ายรูปตนเองที่เผยสีหน้าเหนื่อยล้ามากรูปหนึ่งจากนั้นก็ส่งไปให้วั่นจื่อซาน…แต่ถึงเวลานี้แล้วเธอน่าจะกำลังหลับอยู่
“อา ใช่ ผมคือเซวียเซ่า ผมจะไปเดี๋ยวนี้ ลำบากคุณรอนานแล้ว” เซวียเซ่าคุยกับคนขับรถที่รออยู่นอกสนามบินพร้อมหาทางออกไปด้วย
เพียงแต่เขาเพิ่งพูดได้เพียงครึ่งหนึ่งก็หยุดลง มือแข็งทื่อ ไม่สามารถละสายตาไปได้
มีหญิงสาวคนหนึ่งสวมกางเกงยีนส์และรองเท้าบูท เสื้อคลุมแขนยาวสีเทา ใส่หูฟัง ลากกระเป๋าเดินทางอยู่ไม่ไกลออกไป
ประมาณสิบห้าเมตร กำลังเดินลงบันไดเลื่อน
เด็กสาว…เด็กสาวในตอนนั้นกลายเป็นหญิงสาวเต็มตัวแล้ว
เธอยังคงผมยาว เธอ…
สวี่เจียอี้
เซวียวเซ่าพุ่งไปยังบันไดเลื่อนตามสัญชาติญาณ ตะโกนเรียกชื่อผู้หญิงคนนั้น เพียงแต่รีบร้อนเกินไปจนไปชนกับกระเป๋าเดินทางของนักท่องเที่ยวคนหนึ่ง ทำให้ล้มลงไปกับพื้น
“คุณผู้ชาย ไม่เป็นไรใช่ไหม” นักท่องเที่ยวพยุงเซวียเซ่าขึ้นมาอย่างเป็นห่วง
เพียงแต่ตอนที่สายตาของเขาหาบนบันไดเลื่อนนั้นก็ไม่เห็นร่องรอยของผู้หญิงคนนั้นอีกแล้ว
“ผม…คงเหนื่อยเกินไป”
เซวียเซ่าถอนหายใจ กวาดตามองภายในสนามบินอย่างหดหู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ออกไปจากสนามบิน นั่งลงบนรถของคนขับรถและไปยังโรงแรมที่พัก
แต่ไม่พูดจาเลยตลอดทาง
แม้จะเป็นเช่นนี้ คนขับรถก็ยังถือว่าเป็นมิตรมาก หลังจากถึงจุดหมายแล้วก็ช่วยเซวียเซ่าถือกระเป๋า “คุณเซวีย คุณนั่งรออยู่ที่นี่สักครู่เถอะ ผมจะช่วยเช็คอินให้คุณ ผมคุ้นเคยกับที่นี่ ตัวคุณไปอาจจะไม่สะดวกสักเท่าไหร่”
“แบบนั้นก็ขอรบกวนแล้ว” เซวียเซ่ารู้สึกผิดที่ตนเองเงียบมาตลอดทาง
มองดูคนขับรถที่รีบร้อนไปจัดการ…คงเป็นเพราะต้องทำงานให้ดี เซวียเซ่านั่งลงที่โซฟาในห้องโถงของโรงแรมและนวดดวงตาของตนเอง
วั่นจื่อซานไม่ได้ตอบเขากลับ…ดูเวลาแล้ว ตีหนึ่งกว่าๆ คงหลับอยู่แน่ๆ
เซวียเซ่ามองโทรศัพท์อย่างเบื่อหน่าย และมองไปรอบๆ…ดึกขนาดนี้มีคนมาโรงแรมไม่มากนัก แม้แต่พนักงานที่เข้ากะก็ยังมีน้อยมาก
มีเพียงยามรักษาความปลอดภัยนอกประตูโรงแรมที่ยังคงปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่
ทันใดนั้นยามรักษาความปลอดภัยก็ผลักประตู สายลมเย็นพัดเข้ามาปะทะใบหน้าของเซวียเซ่า เขามองไปที่หน้าประตูโดยไม่รู้ตัว…บริเวณประตูหมุนมีคนลากกระเป๋าเดินทางเดินเข้ามา
สายลมยามดึกพัดผมของเธอ เธอลูบผมเล็กน้อย บนใบหน้ามีรอยยิ้มบางๆ
เป็นเธอ
เซวียเซ่ายืนขึ้นทันที
เป็นเธอ
บนใบหน้าของผู้หญิงคนนี้มีรอยยิ้มบางๆ ท่าทางลูบผมนั้นเหมือนได้ซ้อนทับกับเมื่อหลายปีก่อน…ผ่านเลยเวลาไปสิบเอ็ดปีเต็มๆ
เธอและเธอซ้อนทับเข้าด้วยกัน
เหมือนได้…เจอกันครั้งแรก