‘ถ้า…ถ้าหากได้เจอกันอีกครั้ง ฉันจะเป็นยังไง ฉันจะเป็นยังไง ฉันควรจะทำท่าทางยังไง…ส่วนเธอจะมีท่าทางยังไง’
ปีนั้นหลังจากจบมัธยมปลาย เซวียเซ่าใช้เวลาทั้งฤดูร้อนครุ่นคิดถึงปัญหานี้ แม้เขาจะรู้ว่าคงไม่ได้คำตอบก็ตามที
เพราะเด็กสาวคนแรกในชีวิตเขาได้หายตัวจากชีวิตเขาไปตลอดกาล อีกทั้งยังไม่เหลือข่าวคราวใดๆ…ไม่มีวิธีติดต่อ ยิ่งไม่รู้ว่าเธอไปอยู่ประเทศไหน
ต่อมาก็เริ่มไม่คิดถึงปัญหานั้นอีก เพราะชีวิตยุ่งวุ่นวายมาก เพราะเวลาผ่านไปยาวนานมาก เพราะหากไม่ได้อยู่ด้วยกันทุกเวลาแล้ว
เวลาก็จะชำระล้างทุกอย่าง
ตอนเรียนมหาวิทยาลัย เซวียเซ่าได้ยินว่าเวลาที่ผู้หญิงเผชิญกับเรื่องเช่นนี้นั้นมักจะเป็นเติบโตผู้ใหญ่ได้ไวกว่าผู้ชาย
ตอนที่พวกเธอเริ่มเจ็บปวดร้องให้อยู่นั้น พวกเขากำลังร้องโหวกเหวกไปทั่ว
ตอนที่พวกเธอเริ่มยอมรับชีวิตใหม่นั้น พวกเขากลับเริ่มนอนไม่หลับ
เช่นนั้น…สุดท้ายแล้วฉันจะทำท่าทางอย่างไร
ในตอนที่พบเธออีกครั้ง
…
สุดท้ายเซวียเซ่าก็ยืนอยู่ที่เดิม สายตาขยับตามการเคลื่อนไหวของหญิงสาว…เขามองไม่เห็นว่าสายตาของหญิงสาวมองมาที่ตนเอง เขาเพียงมองเห็นเธอลากกระเป๋าเดินทางไปที่โต๊ะแผนกต้อนรับส่วนหน้าของโรงแรม
ดูเหมือนจะเช็คอิน
ดูเหมือน…จะจำไม่ได้
ทันใดนั้นเขาก็หวั่นใจขึ้นมา
เซวียเซ่าเอาโทรศัพท์ออกมา เปิดกล้องหน้าสำรวจท่าทางของตนเองบนจอโทรศัพท์ ถามตัวเองว่า…เขาเปลี่ยนไปมากเลยเหรอ
ดูเหมือนจะแก่ไปมาก…ทรงผมก็ไม่เหมือนเดิม…อ้วนกว่าแต่ก่อนหน่อยงั้นเหรอ ที่แท้ก็เปลี่ยนไปเยอะจนจำไม่ได้เลยเหรอ…
เขากำลังมองหาเหตุผลจากร่างกายของตนเองที่จะสามารถเบี่ยงเบนความรู้สึกและทำให้ตนเองหยุดสนใจได้
คนขับรถที่ไปเช็คอินกลับมาส่งการ์ดห้องให้เซวียเซ่า จากนั้นก็พูดคำสองคำก่อนจากไปอย่างเร่งรีบ เขาบอกว่าดึกมากต้องกลับบ้านแล้ว ภรรยากำลังรอเขาอยู่
เซวียเซ่าไม่ได้มองดูคนขับรถจากไป มองแค่เพียงแผ่นหลังที่หน้าโต๊ะแผนกต้อนรับส่วนหน้า ลังเลว่าควรจะเข้าไปเองหรือไม่ การกระทำนี้ทำให้เซวียเซ่าถึงถึงอดีต
หัวหน้าห้องพูดว่าตอนเขาแอบชอบเด็กสาวนั้น เขาก็ไม่กล้าไปเผชิญหน้ากับเธอและก็ไม่สามารถเข้าไปพูดกับเธอก่อนอย่างเป็นธรรมชาติได้ แม้จะเป็นเพียงประโยคเดียวก็ยังครุ่นคิดอยู่นาน แต่ก็มักพูดเรื่องอะไรที่ไม่มีจุดสิ้นสุดออกไป
เซวียเซ่ารู้ว่าเวลานั้นตนเองคงจะเขินอายและไม่กล้า แต่คิดไม่ถึงว่าสิบเอ็ดปีผ่านมาแล้วตนเองยังเป็นแบบนั้นอีก
เห็นได้ชัดว่าวันแดดร้อนในฤดูหนาวได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการแล้ว เห็นได้ชัดว่าหลังฤดูหนาวเทอมสุดท้ายตอนมัธยมหกก็เดินผ่านมาด้วยกัน
แต่สุดท้ายเขาก็ยังไม่มีความกล้าจะเดินเข้าไป จนมองเห็นเธอเช็คอินเสร็จเดินออกจากโต๊ะแผนกต้อนรับส่วนหน้าไปยังลิฟต์ เขาถึงได้เดินตามไปโดยไม่รู้ตัว
เดินเข้าไปในลิฟต์เดียวกันและแยกออกไปยืนคนละฝั่ง…เซวียเซ่ารู้สึกว่าหัวใจของตนเองเต้นแรง รู้สึกว่าเวลาสั้นๆ นี้ช่างยาวนานเหลือเกิน
จากนั้นเธอก็ถึงชั้นที่ต้องการ ออกจากลิฟต์ เดินไปยังห้องของตนเอง เซวียเซ่าคล้ายกับผีที่ติดตามไปไม่ยอมเลิกรา
จนกระทั่งเธอหยุดอยู่หน้าประตูห้องห้องหนึ่งและหันหน้ากลับมาในที่สุดพร้อมพูดเบาๆ ว่า “ฉันคิดว่านายจะทักฉันก่อนเสียอีก แต่ว่านายยังเหมือนกับเด็กไม่มีผิด”
เซวียเซ่าชะงัก มองรอยยิ้มของหญิงสาวแล้วก็ได้สติในทันใด เธอจำเขาได้ตั้งแต่แรก
“ไม่เจอกันนานนะ”
“ไม่เจอกันนาน”
ไม่ทิ้งเวลาไปมากกว่านี้และไม่พูดคุยมากกว่านี้ ไม่มีแม้แต่คำพูดที่เต็มไปด้วยความรู้สึกเหล่านั้น หลังจากไม่เจอกันสิบเอ็ดปีเซวียเซ่ากับเด็กสาวมาเจอกันอีกครั้งกลับพูดแค่คำว่า ‘ไม่ได้เจอกันนาน’
เธอยิ้มและชี้ไปที่หมายเลขห้องของตนเองจากนั้นก็ผลักประตูเข้าไป
เซวียเซ่ามองแวบหนึ่ง แอบจำหมายเลขห้องเอาไว้ จากนั้นก็กลับไปที่ห้องของตนเองและนอนหลับไป
…
…
เซวียเซ่าหลับสบาย ตอนตื่นขึ้นมาในตอนเช้าก็ยังมึนงงเล็กน้อย เขาลงไปทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม เฝ้าดูทางเข้าอย่างเงียบๆ ต่อมาก็ไม่มีอะไรเลยจึงรีบไปที่ห้องแถลงข่าว
ห้องนั้นอยู่ที่ชั้นหนึ่งของโรงแรม
“ต่อจากนี้ เป็นผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาโดยบริษัทของเราเป็นที่แรก ก่อนอื่นขอผมแนะนำก่อนว่าผลิตภัณฑ์นี้แตกต่างจากรุ่นก่อนหน้าตรงไหนบ้าง…”
เขานอนทั้งคืนจนลืมเตรียมงานก่อนการประชุม แต่เขาก็มีความสามารถพอที่จะจัดการกับประชุมการแถลงข่าวผลิตภัณฑ์นี้ อีกทั้งยังได้รับคำชมอย่างเหนือความคาดหมายอีกด้วย
คนของบริษัทสาขาทางนี้บอกว่าครั้งนี้เขาอธิบายได้ดีมาก เซวียเซ่าได้เพียงพูดตอบตามมารยาทไม่กี่คำว่าเป็นเพราะจัดเตรียมข้อมูลได้ดี เป็นผลงานของคนจัดเตรียมข้อมูล
มีงานมากมายที่ต้องทำหลังจากการประชุม เซวียเซ่ายังต้องยุ่งกับการจัดการคนของบริษัทสาขาทางนี้ รวมไปถึงบรรดาลูกค้าที่สนใจผลิตภัณฑ์ ถ้าหากไม่มีอะไรเหนือความคาดหมายล่ะก็ อีกสองสามวันต่อจากนี้ น่าจะต้องมีการติดต่อกับลูกค้าในระดับที่ลึกลงไปอีก
แน่นอนว่ากิจกรรมกินเลี้ยงเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ขาดไม่ได้ของการทำงานนอกสถานที่
จนกระทั่งสองทุ่มกว่าๆ เซวียเซ่าถึงมีเวลาว่างคุยกับวั่นจื่อซานทางโทรศัพท์ ได้ยินเธอบอกว่าทางนั้นยังคงมีฝนตก เธอพูดว่าวันนี้เธอไปที่โรงแรมเพื่อดูและกำหนดรายการอาหาร
ได้ยินเธอพูดเรื่องจิปาถะบ้างแต่เซวียเซ่าก็ไม่เคยรู้สึกหงุดหงิดมาก่อน
แต่ครั้งนี้เขากลับรู้สึกอยากวางสายเร็วหน่อยเพราะเริ่มรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย…ไม่ใช่หงุดหงิดกับการคุยโทรศัพท์นี้ แต่หงุดหงิดกับตนเอง
เซวียเซ่าตั้งใจจะไปสงบใจที่สระว่ายน้ำของโรงแรม
…
เซวียเซ่าคิดไม่ถึงว่าตนเองกับสวี่เจียอี้ที่เพิ่งพบเจอกันหลังไม่ได้เจอกันมาสิบเอ็ดปีจะมาเจอกันอีกเป็นครั้งที่สองในสระว่ายน้ำภายในอาคารของโรงแรม
ดูเหมือนเธอจะมาได้สักพักแล้ว
เธอกำลังว่ายน้ำอยู่ในสระว่ายน้ำเหมือนนางเงือก เธอไม่ใช่เด็กอีกแล้ว เธอเติบโต เติบโตพอที่จะดึงดูดให้คนหลงใหล
เซวียเซ่าอยู่ขอบสระตามเงาร่างของนางเงือกที่กำลังเคลื่อนไหวตนนี้ รู้ว่าพวกเขาจะพบกันอีกในจุดสิ้นสุด หญิงสาวโผล่ขึ้นมาจากน้ำและละอองน้ำกระเซ็นออกมา
เธอใช้สองมือรวบผมของตนเอง ลูบน้ำออกและลืมตาขึ้น มองไปยังเซวียเซ่าที่อยู่ด้านบนและพูดว่า “โง่หรือไง ยังไม่ลงมาอีก น้ำไม่เย็นนะ”
อีกครั้งแล้วที่หญิงสาวเริ่มพูดกับเขาก่อน
เธอมักเริ่มก่อนเช่นนี้เสมอ
เซวียเซ่ามองแสงบนน้ำระยิบระยับ เหมือนได้กลับไปยังฤดูหนาวเมื่อตอนสิบเอ็ดปีก่อนอีกครั้ง ช่วงปิดเทอมฤดูหนาว มีวันหนึ่งเด็กสาวยืนพิงต้นไม้ข้างถนนมองตรงไปที่ประตูร้านเค้กตรงหน้า
เธอมองเห็นเขาเดินมาจึงพูดขึ้นว่า ‘เซวียเซ่า นายอยากซื้อเค้กเลี้ยงฉันไหม’
ใช่แล้ว อยู่ใต้ต้นไม้แห่งความปรารถนาต้นนั้น เขาซื้อเค้กให้เธอ
เริ่มต้นโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว
ตูม!
เสียงน้ำทั้งยังรู้สึกสำลักน้ำ ตอนที่เซวียเซ่าได้สตินั้นก็พบว่าตนเองถูกลากลงไปในสระว่ายน้ำแล้ว เขาพยายามตีแขนว่ายน้ำถึงโผล่ศีรษะออกมาจากน้ำได้และรู้สึกเหมือนว่าเกือบจะจมน้ำตาย
ตอนนี้หญิงสาวกำลังหัวเราะอยู่ตรงหน้าของเขา
“เธอยังชอบแกล้งเหมือนเดิมเลย”
“ไม่รู้เพราะอะไร ทุกครั้งที่เห็นนายก็อยากจะแกล้งสักหน่อย”
“อยู่ดีๆ ก็จากไป ไม่เหลืออะไรไว้เลยก็เพราะอย่างนี้ด้วยเหรอ” เซวียเซ่าถามออกไปอย่างกะทันหัน…ในที่สุดเขาก็รวบรวมความกล้าได้
หญิงสาวไม่พูดอะไร เพียงปล่อยให้ร่างกายของตนเองลอยไปบนผิวน้ำ ให้สายน้ำค่อยๆ พาเธอลอยออกไปไกล
“สวี่เจียอี้ บอกฉันมา!” เขาว่ายน้ำตามไปและตะโกนถาม
เธอค่อยๆ เอียงหน้ามามองดูเซวียเซ่าที่มีสีหน้าจริงจังและพูดอย่างฉับพลันว่า “พรุ่งนี้นายมีเวลาว่างไหม ทั้งวัน”
เซวียเซ่าชะงัก สุดท้ายแล้วก็พยักหน้า
…
…
พรุ่งนี้…
เซวียเซ่าคิดถึงปัญหาพรุ่งนี้ กลับไปในห้องของตนเอง อีกครั้งแล้วที่เขาไม่สามารถพูดคุยกับเธอได้มากกว่านั้น เหมือนคำพูดเหล่านั้นจะถูกหยุดไว้เพียงเพราะรอยยิ้มของเธอ
เขาคิดว่าตนเองบ้าไปแล้วหรือเปล่าในระหว่างที่กลับมา เพราะเขาได้ยกเลิกนัดในวันพรุ่งนี้ไปเพื่อนัดกับเธอ…บอกว่าตนเองไม่สบายต้องการพักผ่อน
เซวียเซ่าเปิดประตูห้องทันใดนั้นก็ตกใจ ด้านในมีคนแปลกหน้าอยู่คนหนึ่ง
หรือจะไม่ใช่คนแปลกหน้าเพราะเขาเคยพบเจ้าของสมาคมผู้นี้แล้ว
เจ้าของสมาคมผู้นี้เปิดม่านหน้าต่างมองออกไปข้างนอก…ดูเหมือนรอเขากลับมาได้สักพักแล้ว
เซวียเซ่ากลืนน้ำลายโดยไม่รู้ต้ว ฝ่ามือจับบนผนัง เดินไปข้างหน้าอย่างกล้าๆ กลัวๆ “คุณ…คุณเข้ามาได้ยังไง”
“คุณลูกค้า ของที่คุณต้องการ ผมได้ส่งให้แล้ว” เจ้าของสมาคมหันหน้ามา “ไม่รู้ว่าคุณพอใจหรือเปล่า”
เซวียเซ่าชะงักและตกใจ พูดในทันใดว่า “ทุกอย่างนี้ล้วนแต่เป็นพวกคุณจัดการงั้นเหรอ แม้แต่เรื่องที่ผมออกมาทำงานนอกสถานที่ก็ใช่เหรอ”
เจ้าของสมาคมลั่วพยักหน้า “คำขอของคุณลูกค้าคือไม่ให้ส่งผลกระทบต่องานแต่งงานของตัวเองและหลังแต่งงาน…เพราะงั้นถ้าเจอกันที่เดิมแล้ว ผมคิดว่าอาจจะมีร่องรอยอะไรบางอย่าง แต่หากเป็นที่นี่ก็คงไม่มี เพราะคนที่อยู่ที่นี่ล้วนแต่ไม่รู้จักคุณ ไม่ใช่เหรอ”
“คุณ…พวกคุณทำได้ยังไง” เซวียเซ่าอดถามไม่ได้
“มีวีธีอยู่บ้าง” ลั่วชิวเอ่ย
เซวียเซ่าขมวดคิ้ว “คุณ…คุณตั้งใจมาเอาสร้อยใช่ไหม”
ลั่วชิวส่ายหน้าและพูดว่า “ไม่รีบ ถึงเวลาค่อยจ่ายก็ไม่มีปัญหาอะไร ผมเพียงแค่มาดูว่าคุณลูกค้าพอใจกับสินค้าชิ้นนี้หรือไม่ก็เท่านั้น ตอนนี้ดูแล้ว คุณลูกค้าคงพอใจอยู่ อย่างนั้น…”
ลั่วชิวโค้งตัวเล็กน้อยและพูดว่า “…ขอให้สนุกกับการเดินทางในครั้งนี้”
เจ้าของสมาคมหายตัวไปจากห้อง
เซวียเซ่ากลัวจนนั่งลงกับพื้น…คิดว่านี่คือมายากล นี่คือนักต้มตุ๋น…ความคิดบนเครื่องบินทำให้เขาเกิดอาการไร้เรี่ยวแรงไปชั่วขณะ