เล่มที่ 24 เล่มที่ 24 ตอนที่ 691 เรื่องเสี่ยงตายไม่ทำแน่นอน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าซูจิ่นซีจะอยากรู้อยากเห็นมากเพียงใด ทว่าก็เป็นเรื่องของผู้อื่น นางไม่ควรซักไซ้ให้มากจนเกินงาม ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้นางยังมีเรื่องที่สำคัญกว่า

ดังนั้น นางจึงเหลือบไปมองสมุนไพรที่วางอยู่บนพื้น “จำไว้ว่ายาสมุนไพรเหล่านี้ต้องใช้ให้ตรงเวลา ยาสมุนไพรชนิดผง ต้องเปลี่ยนทุกวัน หลังจากสามวันผ่านไปให้เปลี่ยนยาทุกๆ สามวัน ส่วนยาเม็ดรับประทานวันละเม็ด”

ไม่รู้ว่าบุรุษผู้นั้นได้ฟังคำพูดของซูจิ่นซีหรือไม่ ใบหน้าของเขาดูสับสนเหม่อลอย

ซูจิ่นซีไม่มีแรงมาใส่ใจเรื่องนี้มากนัก นางหันหลังเดินไปได้สองก้าว ทันใดนั้น เสียงทุ้มต่ำของบุรุษก็ดังมาจากทางด้านหลัง “เจ้าเป็นคนของซีหวังหมู่แห่งเขาคุนหลุนใช่หรือไม่? ”

ซูจิ่นซีหยุดชะงัก และมองไปที่ร่างของเขาด้วยดวงตาเปล่งประกาย ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยปาก

“ข้า ซูจิ่นซีจากแคว้นจงหนิง ไม่ทราบว่าเขาคุนหลุนที่เจ้ากำลังพูดถึงคือสถานที่แห่งใด และไม่รู้ว่าซีหวังหมู่คือผู้ใด”

รอยยิ้มของบุรุษผู้นั้นเป็นรอยยิ้มที่แสดงการเหยียดหยามเล็กน้อย

“ข้าไม่เพียงมองออกว่าเจ้าเป็นคนของซีหวังหมู่ ทว่าข้ายังมองออกอีกว่าเจ้าคือเทพธิดาแห่งเผ่าเม้ย เมื่อพันปีก่อน เทพธิดาได้สังเวยร่างตนเอง เพื่อให้คุณชายจิ่วแห่งสำนักแพทย์เทียนอีได้อยู่กับสตรีนางหนึ่งอย่างสมหวัง ส่วนวิญญาณของนางก็แตกสลายเป็นสามส่วนอยู่ในโลกมนุษย์ ต่อมาเมื่อห้าร้อยปีที่แล้ว รัชทายาทเสวียนเยี่ยได้กลับชาติมาเกิด กอปรกับที่คุณชายจิ่วหรงใช้มนตร์แห่งวิญญาณเป็นเตาหลอมเพื่อเรียกวิญญาณของเจ้ามาจากฟากฟ้า น่าเสียดายที่จิตวิญญาณของเจ้ายังไม่สมบูรณ์”

ซูจิ่นซีตกใจอย่างมาก นางหันศีรษะกลับไปอย่างเชื่องช้า พลางหรี่ตามองบุรุษผู้นั้น “ท่านคือใครกันแน่? ”

เส้นผมยาวปกปิดใบหน้าของบุรุษผู้นั้น ทั้งใบหน้าที่ได้รับบาดเจ็บยังถูกพันด้วยผ้าพันแผลหนาเตอะ

ซูจิ่นซีมองไม่เห็นการแสดงออกบนใบหน้าของบุรุษผู้นั้น ทว่านางเห็นดวงตาของเขาอย่างชัดเจน

นั่นเป็นดวงตาที่มีแสงสีฟ้าเย็นยะเยือก อ้างว้าง และลึกซึ้งเย็นชา

เขาพูดว่า “พวกเรามาทำข้อตกลงกันเถิด! ”

“ข้อตกลงอันใด? ”

“เจ้าช่วยชีวิตคนผู้หนึ่งให้ข้า และข้าจะมอบในสิ่งที่เจ้าต้องการ! ”

ซูจิ่นซีขมวดคิ้วเล็กน้อย “ช่วยชีวิตผู้ใด เจ้าหมายถึงเฉี่ยนเฉียนในแท่นวิหารวิญญาณที่เจ้าเพ้อเรียกหาใช่หรือไม่? ”

ดวงตาสีฟ้าเย็นยะเยือกของบุรุษคนนั้นปรากฏความเจ็บปวดอยู่ภายในส่วนลึก แม้เขาจะไม่ได้พูดอันใด ทว่าซูจิ่นซีสัมผัสได้

ซูจิ่นซียกยิ้มอย่างเย็นชา “พี่ชาย เจ้าล้อข้าหรือ? ข้าเป็นเพียงมนุษย์ ส่วนแท่นวิหารวิญญาณอยู่ในเขตแดนของเผ่าสวรรค์ ข้าจะช่วยเจ้าได้อย่างไร? เจ้าบ้าไปแล้วหรือ? ”

“แท่นวิหารวิญญาณอยู่ในแดนเผ่าสวรรค์ ทว่ายังเป็นศาตราเทพที่ซีหวังหมู่สร้างขึ้น ท่านเทพธิดา เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้ายังคิดว่าตนเองเป็นมนุษย์อยู่อีกหรือ? เจ้าเคยเห็นมนุษย์ที่มีเพียงเศษเสี้ยววิญญาณ ทว่ายังสามารถอาศัยอยู่ในโลกโดยไม่เป็นอันตรายหรือไม่? ”

ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากเล็กน้อยและพูดปฏิเสธว่า “แล้วอย่างไรเล่า? สิ่งที่ข้าต้องการ ข้าสามารถหาเองได้ ไม่ต้องรบกวนเจ้า”

พูดจบ ซูจิ่นซีก็หันหลังกลับและเดินไปข้างหน้าอย่างไม่ใส่ใจ

บุรุษผู้นั้นหัวเราะเสียงดัง “ฮ่า ฮ่า เจ้าคิดว่าอาศัยเพียงความสามารถของเจ้า จะออกไปจากที่นี่ได้หรือ? ”

ทันใดนั้นเอง ซูจิ่นซีจึงรับรู้ได้ว่าป้อมปราการแห่งนี้แปลกประหลาด

นางจึงหวนนึกถึงความผิดปกติบางอย่างก่อนหน้านี้ ตอนที่นางตกลงมาที่ป้อมปราการแห่งนี้ นางรู้สึกแปลกประหลาดอย่างมาก

“ที่นี่คือภาพมายาที่เจ้าสร้างขึ้นหรือ? เจ้าคิดจะทำอันใดกันแน่? ”

ซูจิ่นซีเคยประสบกับภาพมายามาก่อน ภาพมายาที่ถูกคนสร้างขึ้นจะแตกต่างกัน ความซับซ้อนของภาพมายาแตกต่างกัน ภาพมายาบางชนิด คนสามารถทำลายและหนีออกไปได้ แต่ภาพมายาบางชนิด กลับกักขังผู้คนไว้ตลอดกาล

บุรุษที่อยู่เบื้องหน้าเป็นคนของเผ่าสวรรค์ ซูจิ่นซีรู้ถึงพลังความสามารถของตนและคู่ต่อสู้เป็นอย่างดี นางไม่มีทางทำลายภาพมายาของเขาได้

ซูจิ่นซีกัดฟันและรู้สึกราวกับเป็นชาวนากับงูเห่า “หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ เมื่อครู่ข้าไม่ควรช่วยชีวิตเจ้า ทว่าวางยาพิษให้เจ้าตายไปให้สิ้นเรื่อง”

บุรุษผู้นั้นหัวเราะแผ่วเบา “เจ้าแน่ใจหรือว่าพิษของเจ้าสามารถสังหารข้าได้? ต่อให้เจ้าสามารถใช้พิษสังหารข้าได้จริง ก็อย่าแม้แต่จะคิดว่าจะมีชีวิตรอดออกไปจากที่นี่”

“ทั้งหมดนี้เป็นแผนการที่เจ้าวางไว้ใช่หรือไม่? เจ้าจงใจพาข้ามาที่นี่ใช่หรือไม่? ”

บุรุษผู้นั้นนิ่งเงียบ ถือว่าเป็นการยอมรับ

ซูจิ่นซีกัดฟันกรอด ก่อนจะเดินกลับไปนั่งลงเบื้องหน้าบุรุษผู้นั้น “พูดมา! จะช่วยชีวิตนางได้อย่างไร? ข้าขอพูดให้เจ้าเข้าใจเสียก่อน ข้าเป็นคนตรงไปตรงมา เรื่องต่างๆ ข้าสามารถจัดการให้ได้ ทว่าข้าจะไม่ทำเรื่องที่ต้องเสี่ยงชีวิต”

แววตาของบุรุษผู้นั้นเปล่งประกายด้วยความหวัง “อาศัยความสามารถของเจ้าในตอนนี้ ไม่มีทางช่วยเฉี่ยนเฉียนจากแท่นวิหารวิญญาณได้อย่างแน่นอน ต้องรอให้เจ้าฝึกตนจนถึงขั้นเทพพยากรณ์เสียก่อน จึงจะกระทำได้”

ต่อมาบุรุษผู้นั้นได้อธิบายเกี่ยวกับระดับขั้นการฝึกฝนของเผ่าสวรรค์ให้ซูจิ่นซีฟัง ซึ่งแบ่งออกเป็นระดับเทพขั้นต้น เทพอมตะ เทพพยากรณ์ ขุนพลเทพ เทพสวรรค์ และราชาเทพ

ซูจิ่นซีฟังจบพลางยกยิ้มเย็นชา “พี่ชาย แท้จริงแล้ว ใช่ว่าข้าคิดโต้แย้งท่าน ทว่าความคิดของเจ้าไม่สร้างสรรค์เอาเสียเลย และใช่ว่าข้าไม่กล้าได้กล้าเสีย ทว่าระดับขั้นเทพพยากรณ์นั้นไกลเกินไปสำหรับข้า ต่อให้ข้ามีพรสวรรค์ ทว่าตอนนี้ ข้ายังไม่เข้าใกล้แม้แต่ระดับเทพขั้นต้น ต่อให้ข้าฝึกฝนจนถึงระดับเทพพยากรณ์ ก็ไม่แน่ว่าเฉี่ยนเฉียนของเจ้าจะยังอยู่ที่แท่นวิหารวิญญาณ รอให้เจ้าไปช่วย”

พูดจบ ซูจิ่นซีก็กล่าวเสริมอีกว่า “เจ้าเป็นคนเผ่าสวรรค์ เผ่าสวรรค์มีผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งอยู่มากมายกระมัง? เจ้าไปหาพวกเขาไม่ง่ายกว่าหรือ? เหตุใดจึงต้องมาหาข้าด้วย?

เมื่อพูดความคิดของตนเองออกมาแล้ว ซูจิ่นซีก็รู้สึกผ่อนคลายยิ่งนัก

อย่างไรก็ตาม บุรุษผู้นั้นกลับแสดงท่าทางแน่วแน่อย่างมาก “เจ้าเป็นผู้เดียวในโลกนี้ที่สามารถช่วยเฉี่ยนเฉียนได้! ”

ซูจิ่นซีตกตะลึงครู่หนึ่ง ก่อนจะโบกมือปฏิเสธและแย้มยิ้มอย่างไม่เชื่อ “หยุดเลย ในชีวิตจริงมีนิยายและละครหลอกเด็กเช่นนี้ที่ใดกัน? ”

บุรุษผู้นั้นมีท่าทางจริงจังและหนักแน่นมากยิ่งขึ้น “ข้ารักเฉี่ยนเฉียน เพื่อนางแล้ว แม้ชีวิตของข้าก็ยอมสละได้ เช่นนั้น เหตุใดข้าต้องนำเรื่องนี้มาล้อเล่นกับเจ้าด้วย? ”

รอยยิ้มบนใบหน้าของซูจิ่นซีพลันแข็งค้าง ไม่รู้ว่านางกำลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่ ผ่านไปครู่หนึ่งก็ยังไม่พูดอันใด

เมื่อซูจิ่นซีเอ่ยปากขึ้นมาอีกครั้ง แววตาของนางก็เต็มไปด้วยความผิดปกติ ทว่าใบหน้ายังคงแย้มยิ้มอย่างไร้หัวใจ

“เช่นนั้นต้องขอประทานอภัย! ทุกครั้งที่ข้าแบกรับหน้าที่สำคัญไว้บนบ่า ดูเหมือนโชคของข้าจะดีเป็นพิเศษ ข้าช่วยเหลือผู้อื่นมาก็มาก ไม่แปลกที่จะภาคภูมิใจและหยิ่งทะนงตนเองได้ง่าย”

แท้จริงแล้ว หากเป็นคนที่คุ้นเคยกับซูจิ่นซีพอสมควร ย่อมมองออกว่าซูจิ่นซีประทับใจในความรักของบุรุษผู้นี้ที่มีต่อเฉี่ยนเฉียน

ทุกครั้งที่คนแปลกหน้าสัมผัสถึงเบื้องลึกในหัวใจของนาง นางมักจะแสดงท่าทีไร้หัวใจเสมอ

ใบหน้าของบุรุษผู้นั้นถูกพันด้วยผ้าหนาเตอะ ทำให้มองไม่เห็นการแสดงออกของเขา ทว่าในดวงตาสีฟ้ากลับทอประกายแสงแห่งความหวัง

หลังจากพิจารณาคำพูดอย่างถี่ถ้วน เขาจึงกล่าวว่า “นอกจากแดนสวรรค์ โลกเขตแดน และแดนมนุษย์แล้ว ยังมีอาณาจักรอื่นอีกมากมาย ทว่าอาณาจักรเทียนเหอไม่ได้เป็นอาณาจักรที่เน้นการฝึกวรยุทธ์และการฝึกตนเป็นหลัก”

บุรุษผู้นั้นรอจนซูจิ่นซีเข้าใจข้อมูล จึงพูดต่อว่า

“อาณาจักรที่เน้นการฝึกตนเป็นหลัก ได้แก่ อาณาจักรเสวียนห้วน อาณาจักรเทียนห้วน อาณาจักรซิงอวิ๋น อาณาจักรอวิ๋นโจว เป็นต้น ในแง่การฝึกตนของอาณาจักรอวิ๋นโจว การฝึกตนของเจ้านับว่าอยู่ในระดับสูง อย่างน้อยก็อยู่ในระดับของจอมราชันยุทธ”

เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ ดวงตาของซูจิ่นซีก็เริ่มเปล่งประกาย นางขัดจังหวะบุรุษผู้นั้น “เดี๋ยวก่อน เจ้าบอกข้าก่อนว่า การฝึกตนของอาณาจักรอวิ๋นโจวเป็นอย่างไร? ”