“แต่ละอาณาจักรมีวิธีการฝึกตนมากกว่าหนึ่งวิธี การฝึกตนของอาณาจักรอวิ๋นโจวนั้นเน้นไปที่การฝึกฝนจุดตันเถียนเป็นหลัก เสริมด้วยพลังเวท ธาตุทั้งห้า และปราณยุทธ์
รูปแบบการฝึกฝนจุดตันเถียนจะเน้นการฝึกวรยุทธ์เป็นหลัก แบ่งออกเป็นเก้าระดับคือ ชาวยุทธ จอมยุทธ วิญญาณยุทธ อาจารย์ยุทธ ปรมาจารย์ยุทธ ราชายุทธ จอมราชันยุทธ เซียนยุทธ และเทพยุทธ เมื่อฝึกฝนถึงระดับเซียนยุทธและระดับเทพยุทธแล้ว การฝึกตนจะเริ่มช้าลง และแต่ละระดับจะมีขั้นตอนการฝึกเพิ่มขึ้นเก้าขั้น”
ซูจิ่นซีฟังแล้วดวงตาเบิกกว้าง แม้จะไม่พูดสิ่งใด ทว่ากลับสบถอยู่ในใจ
บัดซบ ข้าเก่งกาจถึงระดับจอมราชันยุทธเชียวหรือ? หากไปถึงอาณาจักรอวิ๋นโจว คงสามารถสังหารกลุ่มคนได้ในพริบตาเดียวกระมัง
ทว่า… ไม่รู้จิ่วหรงและเยี่ยโยวเหยาอยู่ในระดับขั้นใด
ราวกับบุรุษผู้นั้นจะรู้ว่าซูจิ่นซีกำลังคิดอันใดอยู่
“คุณชายจิ่วไม่ใช่คนธรรมดา เขามีประวัติลึกลับและมีฐานะพิเศษ แม้คนจากเผ่าสวรรค์ก็ทราบรายละเอียดของเขาเพียงไม่กี่คน ทว่า… ระดับการฝึกตนของโยวอ๋องนั้นยังพอวัดระดับได้
โยวอ๋องฝึกฝนวิชายุทธจิ่วเซียว ซึ่งน้อยคนที่จะฝึกฝนได้ ต่อให้เป็นอาณาจักรอวิ๋นโจวก็มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถรับมือวิชายุทธประเภทนี้ ตอนนี้เขาฝึกไปถึงขั้นเจ็ด ซึ่งเป็นระดับขั้นเซียนยุทธ หากเขาฝึกฝนถึงขั้นสูงสุดก็สามารถอยู่ในระดับขั้นเทพยุทธ
กล่าวได้ว่าทั้งอาณาจักรเทียนเหอ ในบรรดาวิชายุทธทั้งหมด มีเพียงวิชายุทธจิ่วเซียวเท่านั้นที่เมื่อฝึกสำเร็จแล้วสามารถเข้าสู่ระดับเทพโดยตรงได้
ทว่าวิชายุทธจิ่วเซียวฝึกยากมาก มีน้อยคนที่เลือกฝึกฝน และมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถพิชิตถึงขั้นที่สี่ได้”
ระดับเทพ?
นั่นกลายเป็นเทพแล้วมิใช่หรือ?
ซูจิ่นซีแอบชื่นชมเยี่ยโยวเหยาอยู่ในใจ
ไม่รู้ว่าเยี่ยโยวเหยาทราบหรือไม่ว่า หากตัวเขาฝึกฝนวิชายุทธจิ่วเซียว ผลสุดท้ายจะสุดยอดถึงเพียงนี้
แท้จริงแล้ว บุตรที่เกิดในครอบครัวสูงส่งนั้นย่อมแตกต่าง เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ แล้ว นี่คือชัยชนะตั้งแต่เริ่มต้น!
ทันใดนั้น ท่าทางของบุรุษผู้นั้นก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง เขาหันมาคำนับซูจิ่นซีด้วยความเคารพ
“แม่นางซู ข้าจะถ่ายโอนพลังครึ่งหนึ่งของข้าให้เจ้า คงช่วยให้เจ้าไปถึงระดับเทพขั้นต้นได้ แม่นางโปรดพยายามฝึกตนจนถึงระดับเทพพยากรณ์ให้เร็วที่สุด เพื่อช่วยเหลือเฉี่ยนเฉียน ข้าไม่ต้องการให้เฉี่ยนเฉียนอยู่ในแท่นวิหารวิญญาณนานเกินไป”
เขาต้องการถ่ายโอนพลังครึ่งหนึ่งที่ฝึกฝนมาให้นางหรือ? เพื่อช่วยให้นางฝึกตนจากระดับของจอมราชันยุทธเข้าสู่ระดับเทพขั้นต้น?
ซูจิ่นซีรู้สึกเหมือนตนเองฟังผิด นางมึนงงไปชั่วขณะ
นางคำนวณไม่ถูกเลยว่า จากระดับจอมราชันยุทธในโลกมนุษย์ เลื่อนขั้นไปสู่ระดับเทพขั้นต้นของแดนสวรรค์นั้น ต้องก้าวข้ามระดับขั้นไปกี่ระดับ
ขณะที่ซูจิ่นซีกำลังรู้สึกมึนงง ดวงตาของบุรุษผู้นั้นก็ปรากฏความผิดหวังอีกครั้ง
“ทว่ากระบวนการนี้แบ่งออกเป็นสองขั้นตอน เนื่องจากตอนนี้พลังจิตวิญญาณของเจ้ายังไม่สมบูรณ์ หากถ่ายโอนพลังครึ่งหนึ่งให้เจ้าโดยตรง เพื่อทำให้เจ้าเข้าถึงระดับเทพขั้นต้น ข้าเกรงว่าอาจเกิดพลังต่อต้าน รายที่ไม่รุนแรง เส้นลมปราณทั้งร่างกายอาจตัดขาด ส่วนรายที่รุนแรง เนื่องจากไม่สามารถทนต่อพลังฝึกตนที่ทรงพลังได้ ร่างกายอาจสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน”
ร้ายแรงถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?
ซูจิ่นซีได้ยินแล้วสันหลังเย็นวาบ “ที่บอกว่าแบ่งออกเป็นสองขั้นตอนนั้น หมายความว่าอย่างไร? ”
“ข้าจะถ่ายโอนพลังฝึกตนส่วนหนึ่งให้เจ้าก่อน เพื่อให้เจ้าผ่านไปถึงระดับฝึกตนขั้นสุดยอดของโลกมนุษย์ นั่นคือระดับขั้นเทพยุทธ หลังจากที่เจ้าได้หญ้าเสินเซียนและรวบรวมวิญญาณทั้งสามดวงเข้าด้วยกันแล้ว ให้เจ้ามาหาข้า ข้าจะถ่ายโอนพลังฝึกตนส่วนที่เหลือเข้าสู่ร่างการของเจ้า เพื่อช่วยให้เจ้าก้าวไปสู่ระดับเทพขั้นต้น”
ดูแล้วยุ่งยากเล็กน้อย ทว่าชีวิตสำคัญกว่า
ซูจิ่นซีไม่ครุ่นคิดให้มากความและตอบตกลง
“ตกลงตามนี้! ”
พูดจบ แววตาของซูจิ่นซีก็ปรากฏความเจ้าเล่ห์ “ช้าก่อน การถ่ายโอนพลังฝึกตนนั้นเป็นเรื่องที่เสี่ยงอันตราย หากเจ้าทำไม่ถูกต้อง หรือเจ้ากลายเป็นพ่อมดแห่งรัตติกาลคนที่สอง บางที ข้าอาจได้รับโทษทัณฑ์อย่างทุกข์ทรมานอีกครั้ง แนะนำตัวเจ้าเสียก่อน! บอกให้ข้ารู้ว่าตอนนี้ข้ากำลังร่วมมือกับผู้ใด”
ให้เขาแนะนำตัวตอนนี้ ไม่ช้าไปหน่อยหรือ?
ทว่าบุรุษผู้นั้นยังคงตอบกลับอย่างมั่นใจ “ข้าไม่จำเป็นต้องปิดบัง เจ้ามองออกแล้วว่าข้าเป็นคนของเผ่าสวรรค์ ส่วนสถานะของข้า ตอนนี้ยังไม่อาจบอกได้ ทว่าเจ้าวางใจได้ ข้าหาได้เป็นศัตรูกับเจ้า เจ้าสามารถเรียกข้าว่าอวิ๋นอี้! ”
แม้บุรุษผู้นั้นไม่ได้พูดอันใดมากนัก ทว่าซูจิ่นซีตัดสินได้ว่า อีกฝ่ายไม่ได้เป็นศัตรูกับตนอย่างแน่นอน
ขั้นตอนต่อไปคือ การถ่ายโอนพลังฝึกตนเข้าสู่ร่างกายของซูจิ่นซีอย่างต่อเนื่อง นางรับรู้ได้ถึงพลังภายในที่แข็งแกร่งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน อย่างไรเสีย นี่คือพลังฝึกตนของชาวเผ่าสวรรค์ ซึ่งแตกต่างจากการฝึกตนของผู้อื่น และแตกต่างจากพลังแสงแห่งเงามืดกับหินเซิ่งอวิ๋น
อวิ๋นอี้ทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผลทั่วร่างอยู่นานนับครึ่งชั่วยาม ซึ่งเพียงพอสำหรับการถ่ายโอนพลังระดับเทพยุทธเข้าสู่ร่างของซูจิ่นซี เมื่อเขาดึงพลังฝ่ามือกลับ ร่างกายของเขาก็สูญเสียพลังทั้งหมดและล้มลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง
ทั่วร่างกายซูจิ่นซีเปล่งแสงสว่างอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เมื่อแสงนั้นค่อยๆ จางหายไป ซูจิ่นซีจึงผสานพลังฝึกตนของอวิ๋นอี้เข้ากับพลังในร่างกายตนเอง
ดอกปี่อั้นบนหน้าผากที่นางปกปิดไว้ ส่องสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ แสงสีแดงทอประกายระยิบระยับจนไม่อาจปกปิดได้อีกต่อไป
ซูจิ่นซีลุกขึ้นและรีบมองไปที่อวิ๋นอี้
นางตรวจชีพจรให้เขา พบว่าเขาเพียงเหน็ดเหนื่อยจากการถ่ายโอนพลังฝึกตนเมื่อครู่ กอปรกับร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บ ทำให้หมดแรงจนล้มลง เมื่อไม่พบสิ่งผิดปกติอันใด นางจึงวางใจ
นางรักษาบาดแผลบนร่างกายของเขาอีกครั้ง จากนั้นจึงให้เขาทานยา และคอยอยู่ด้านข้างรอให้เขาฟื้น
ไม่รู้ว่ารอนานเท่าใด ในป้อมปราการที่ไม่มีสิ่งที่ใช้บอกเวลา ซูจิ่นซีจึงไม่อาจคำนวณเวลาได้
เมื่ออวิ๋นอี้ฟื้นขึ้นมา ในที่สุด เขาก็ปล่อยซูจิ่นซีออกจากป้อมปราการ
ก่อนที่ซูจิ่นซีจะจากไป เขายังเน้นย้ำอีกครั้งว่า “หลังจากวิญญาณทั้งสามดวงของเจ้ารวมตัวกัน ให้เจ้ากลับมาหาข้าอีกครั้งที่โลกเขตแดน ข้าจะเพิ่มระดับการฝึกตนและช่วยให้เจ้าเข้าสู่ระดับเทพขั้นต้น”
ซูจิ่นซีพยักหน้า ก่อนจะตัดสินใจจากไป
หลังออกมาจากป้อมปราการ ด้านนอกยังคงเป็นทะเลทรายเหมือนก่อนหน้าที่ซูจิ่นซีเข้าไปในป้อมปราการ
ซูจิ่นซีคิดไม่ถึงว่า อวิ๋นจิ่นจะต่อสู้กับผู้ที่มาจากโลกเขตแดนอย่างไม่คิดชีวิต นางมองออกไปไกลสุดสายตา ทั่วพื้นดินเต็มไปด้วยซากศพของคนจากโลกเขตแดน เลือดกลายเป็นสายน้ำ ซากกระดูกกองสูงเท่าภูเขา
ราชาเฮยซาหู่ ยมทูตกุ่ยซา และจอมมารนรกเก้าขุม ยังคงใช้รูปแบบการต่อสู้ต่างๆ เพื่อจัดการอวิ๋นจิ่นอย่างต่อเนื่อง ชุดสีขาวราวหิมะของอวิ๋นจิ่นถูกย้อมไปด้วยเลือดสีแดง จนไม่อาจแยกแยะได้ว่าเลือดสีแดงนั้นเป็นของเขาหรือของศัตรู
จิ้งจอกเก้าสีใช้พลังเวทคอยช่วยเหลืออวิ๋นจิ่น ทว่าคนฝ่ายโลกเขตแดนมีจำนวนมากเกินไป
เมื่อกลุ่มคนที่ราวกับกลุ่มคลื่นลูกแรกล้มลง คลื่นลูกใหม่ก็ตามเข้ามา
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป แม้อวิ๋นจิ่นและจิ้งจอกเก้าสีไม่ได้ตายด้วยน้ำมือของคนจากโลกเขตแดน ทว่าพวกเขาอาจเหนื่อยตาย
ซูจิ่นซีพยายามปล่อยพลังออกไปทำลายกลุ่มศัตรูที่ปิดล้อมอวิ๋นจิ่น
จากนั้นจึงเหาะขึ้นไปและร่อนลงมาข้างกายของอวิ๋นจิ่น “เกิดอันใดขึ้น? ไหนบอกว่าจะไม่ต่อสู้ เพียงต้องการป้ายคำสั่งเท่านั้นมิใช่หรือ? ”
อวิ๋นจิ่นคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะปรากฏตัวขึ้นในเวลานี้ ทั้งยังมาอย่างกะทันหันอีกด้วย
ปรากฏตัวเช่นนี้
เมื่ออวิ๋นจิ่นมองเห็นซูจิ่นซี ดวงตาเคร่งขรึมและเปล่งประกายความอาฆาตก็แปรเปลี่ยนเป็นแววตาที่สดใสราวกับต้นหลิว
เขาโอบกอดซูจิ่นซีไว้ในอ้อมแขนตนเอง
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ทั้งยังสั่นสะท้านแกมตำหนิ
“ซีเอ๋อร์ เจ้าไปอยู่ที่ใดมา? ให้อาจารย์ตามหาตัวเจ้าพบได้ง่ายหน่อยสิ… ”