นี่คือการกระทำที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว เป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบหลังจากความรู้สึกที่เก็บกดไว้ภายในใจเป็นเวลานานได้ระเบิดออกมา หรือว่าอวิ๋นจิ่นไม่ต้องการปิดบังตัวตนของเขาต่อหน้าซูจิ่นซีอีกต่อไป?
เขาเรียกนางและแทนตนเองเช่นนี้ได้อย่างไร?
อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีไม่มีโอกาสได้ครุ่นคิดถึงเรื่องเหล่านี้
อวิ๋นจิ่นกอดนางไว้ในอ้อมกอดแน่นอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน จนนางแทบหายใจไม่ออก
ซูจิ่นซียังไม่ได้สติจากชื่อเรียกและการโอบกอดอย่างกะทันหันของอวิ๋นจิ่น มือของนางห้อยอยู่ข้างลำตัว ไม่รู้ว่าควรวางมันไว้ตรงไหน
ศัตรูพร้อมอาวุธครบมือ ดวงตาของพวกเขาแดงก่ำเต็มไปด้วยไอสังหาร พวกเขาเข้ามาปิดล้อมพวกนางมากขึ้นเรื่อยๆ
เจ้าแห่งโลกเขตแดนไม่ต้องการปล่อยพวกนางไป จึงสร้างค่ายกลรูปแบบใหม่อีกครั้ง
ทว่าดูเหมือนอวิ๋นจิ่นจะไม่เห็นสิ่งใด เขายังคงกอดซูจิ่นซีแนบแน่นอย่างสุดซึ้ง
ซูจิ่นซีสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงหัวใจที่เต้นแรงของอวิ๋นจิ่น
จอมมารนรกเก้าขุมกระชากเสียงเย็นชา “ในเมื่อเจ้าทั้งสองได้พบหน้ากันแล้ว วันนี้พวกข้าจะสะสางเรื่องราวทั้งหมดให้เสร็จสิ้น”
ราชาเฮยซาหู่ดวงตาแดงก่ำ “คุณชายจิ่ว วันนี้เจ้าสังหารคนในโลกเขตแดนของข้าไปจำนวนมาก บัญชีแค้นนี้ หากโลกเขตแดนของข้าปล่อยไปโดยง่าย ต่อไปพวกข้าจะยืนอยู่ในสามโลกเจ็ดดินแดนได้อย่างไร? ทิ้งศีรษะและวิญญาณของเจ้าไว้ที่นี่เสียเถิด! ”
แม้ยมทูตกุ่ยซาจะไม่พูดอันใด ทว่าเขากลับกัดฟันกรอดด้วยสีหน้าถมึงทึง
ไม่ว่าอย่างไร พวกเขาจะไม่ปล่อยพวกนางไปเป็นอันขาด
ในที่สุดอวิ๋นจิ่นก็ปล่อยซูจิ่นซี นิ้วมือเรียวยาวและสง่างามค่อยๆ ลูบไล้ดอกไม้สีแดงสดที่สว่างไสวบนหน้าผากของซูจิ่นซี เพื่อปิดซ่อนเอาไว้
หลังจากนั้น อวิ๋นจิ่นก็ยกกระบี่วิญญาณขึ้นมา ซึ่งก็คือกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ไท่หยวน และชี้ปลายกระบี่ไปทางเจ้าแห่งโลกเขตแดน
แม้ไม่ได้พูดอันใด ทว่าไอสังหารที่อยู่รอบตัวเขาได้อธิบายทุกอย่างแล้ว
หากวันนี้ โลกเขตแดนต้องการต่อสู้จนถึงที่สุด เขาก็จะสังหารพวกเขาให้มืดฟ้ามัวดิน จนสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งสามโลกเจ็ดดินแดน
อย่างไรเสีย… เขาก็ไม่มีทางตายอยู่แล้ว
ซูจิ่นซีมองป้ายคำสั่งที่เอวของอวิ๋นจิ่น “ได้ป้ายคำสั่งมาแล้วหรือ”
“อืม! ”
“ในเมื่อได้มาแล้ว พวกเราก็รีบหาทางออกไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุด ยังมีเรื่องสำคัญรออยู่ อย่าต่อสู้อยู่ที่นี่ให้เสียเวลา”
เมื่อจอมมารนรกเก้าขุมได้ยินคำพูดของซูจิ่นซี เขาก็ทำราวกับได้ยินเรื่องขบขัน
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า อาศัยพวกเจ้าก็สามารถออกจากโลกเขตแดนได้หรือ? บัดนี้เขตเวทมนตร์ม่านจันทราถูกทำลาย ประตูระหว่างโลกเขตแดนกับโลกภายนอกได้ปิดลงอย่างสมบูรณ์ ผู้ที่อยู่โลกภายนอกอย่าคิดว่าจะเข้ามาได้ ส่วนพวกเจ้าเองก็ไม่อาจออกไปได้ตลอดกาล”
อันใดกัน? เขตเวทมนตร์ม่านจันทราถูกทำลายหรือ? เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?
ใบหน้าของซูจิ่นซีพลันซีดขาว
ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ นางมองอวิ๋นจิ่นด้วยความสงสัย
ใบหน้าของอวิ๋นจิ่นปรากฏความซับซ้อน!
“ก่อนหน้านี้ที่เจ้าหายตัวไป ข้าคิดว่าอาจมีผู้ใดเข้ามาในโลกเขตแดนพร้อมกับพวกเรา ข้าเกรงว่าเจ้าจะถูกลักพาตัวไปจากโลกเขตแดน และทำให้การตามหาเจ้ายากยิ่งขึ้น จึงคิดปิดผนึกเขตเวทมนตร์ม่านจันทราไว้ชั่วคราว ทว่าเจ้าแห่งโลกเขตแดนเข้ามาขัดขวาง พวกเราสองฝ่ายต่อสู้กัน และทำลายเขตเวทมนตร์ม่านจันทราโดยบังเอิญ
นี่เป็นเรื่องที่นอกเหนือความคาดหมาย”
หัวใจของซูจิ่นซีเย็นยะเยือก แม้นางจะเห็นเบาะแสบางอย่างจากดวงตาดำขลับของอวิ๋นจิ่น ทว่านางไม่กล้าถาม “ไม่มีทางให้ออกไปแล้วจริงๆ หรือ? ”
ดวงตาของอวิ๋นจิ่นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด “เขตเวทมนตร์ม่านจันทราเป็นทางออกเพียงแห่งเดียวที่อยู่ระหว่างโลกเขตแดนกับโลกภายนอก เมื่อมันถูกทำลาย ย่อมไม่มีประตูเชื่อมระหว่างโลกเขตแดนและโลกภายนอกอีกต่อไป”
ซูจิ่นซีตกใจมากจนไม่อาจยืนหยัด นางซวนเซไปสองก้าว คนแรกที่ปรากฏเข้ามาในความคิดของนางคือเยี่ยโยวเหยา
ในมิติเวลานี้ เหตุผลเดียวที่ทำให้นางอยู่ต่อไปคือเยี่ยโยวเหยา เยี่ยโยวเหยาคือสวรรค์ของนาง คือโลกของนาง และเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของนาง
เขตเวทมนตร์ม่านจันทราถูกทำลาย หมายความว่านางจะไม่ได้พบเยี่ยโยวเหยาอีกแล้วหรือ?
เช่นนั้น นางจะอยู่ในมิติเวลานี้เพื่ออันใด?
“ซีเอ๋อร์… ” อวิ๋นจิ่นจับมือซูจิ่นซีด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศก “เจ้าใจเย็นๆ ฟังข้าพูดก่อน”
ซูจิ่นซีผลักมืออวิ๋นจิ่นและถอยห่างออกไป ไม่รู้เพราะเหตุใด ตอนนี้นางจึง ‘ไม่อาจสงบและใจเย็น’ ได้
ผิวหนังแทบทุกตารางนิ้วของนางสั่นสะท้าน ดวงตาแดงก่ำราวกับไฟแผดเผา เลือดไหลซึมออกมาจากริมฝีปากที่ถูกนางกัดไว้อย่างควบคุมไม่ได้
“อวิ๋นจิ่น เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงเสี่ยงชีวิตไปที่ทะเลอู๋ว่างเพื่อค้นหาหญ้าเสินเซียน?
เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงทำตามคำพูดของหญิงชรา เสาะหาหญ้าเสินเซียนให้ได้ก่อนฤดูหนาว และรวบรวมวิญญาณทั้งสามของข้า?
เจ้าคิดว่าข้ากลัวความตายหรือ?
ข้าไม่กลัวความตาย
ยิ่งไม่กลัวตายในมิติเวลานี้
ทว่าข้ากลัวว่า หลังจากที่ข้าตายไปแล้ว เยี่ยโยวเหยาจะต้องอยู่ตามลำพังในโลกใบนี้ ในขณะที่ข้ากลับคืนสู่มิติเวลาของสามพันปีข้างหน้า แม้ข้าจะยังมีชีวิตอยู่ ทว่าจะไม่ได้พบเยี่ยโยวเหยาอีกต่อไป
สิ่งที่ข้ากลัวที่สุด… คือการที่ข้าไม่มีวันได้พบเจอเยี่ยโยวเหยาอีก! ”
ทันทีที่พูดจบ ซูจิ่นซีก็ร้องไห้ฟูมฟาย
เสียงหัวใจของนางแตกสลาย
อวิ๋นจิ่นตกตะลึงครู่หนึ่ง ก่อนจะซวนเซถอยหลังไปสองก้าว
เขาค่อยๆ เงยศีรษะขึ้น แววตาเต็มไปด้วยความทุกข์และเจ็บปวดใจ เขายื่นมือออกไปปาดน้ำตาบนใบหน้าของซูจิ่นซี ทว่านิ้วเรียวยาวกลับหยุดชะงัก เมื่อกำลังจะสัมผัสแก้มของนาง
อวิ๋นจิ่นพูดอย่างแผ่วเบา “ซีเอ๋อร์ ข้าขอโทษ! ”
ริมฝีปากของซูจิ่นซีสั่นเทา นางพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าเดิม “ข้า… ข้าไม่ได้ตั้งใจจะตำหนิเจ้า ข้าไม่ ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้ตั้งใจ”
ซูจิ่นซีพูดพลางทิ้งตัวนั่งลงบนพื้น และยกมือกุมศีรษะอย่างอ่อนแรง “ข้าเพียงเศร้าโศกจนควบคุมตนเองไม่ได้ ข้าก็ไม่รู้เช่นกันว่าตัวเองเป็นอันใด? ”
ตอนที่ซูจิ่นซีพูดว่านางกลัวที่สุดที่จะไม่ได้พบเยี่ยโยวเหยาอีก นางมีชีวิตอยู่เพื่อเยี่ยโยวเหยา อวิ๋นจิ่นต้องการถามนางประโยคหนึ่งว่า เช่นนั้น จิ่วหรงเป็นอันใดในสายตาเจ้า? ความรักอันยาวนานเมื่อหลายพันปีก่อน นับว่าเป็นอันใด? ที่เขาเฝ้ารอคอยอย่างโดดเดี่ยวอ้างว้างวันแล้ววันเล่าคืออันใด?
ทว่า เขาพูดไม่ออก
ปฏิกิริยาของซูจิ่นซีได้อธิบายทุกอย่างแล้ว
ข้อผิดพลาดคือโชคชะตา ที่ไม่อาจหวนกลับได้อีก
พวกเขา… ไม่อาจกลับไปเหมือนเดิมได้อีกแล้ว!
ศัตรูที่อยู่โดยรอบเคลื่อนที่เข้าใกล้พวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ
อวิ๋นจิ่นยกแขนเสื้อเปื้อนเลือด ก่อนจะเหาะขึ้นไปเหนือผู้คนที่อยู่แถวหน้า และเรียกสัตว์เทพกิเลนกับจิ้งจอกเก้าสีมาจัดการคนพวกนั้น
ส่วนตัวเขาก็เดินเข้าไปหาซูจิ่นซีอย่างเชื่องช้า ก่อนจะคุกเข่าลงและกอดซูจิ่นซีไว้ในอ้อมกอดแน่น
“ซีเอ๋อร์ อย่าทำเช่นนี้ เมื่อเห็นเจ้าเจ็บปวด ข้าก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก”
“ซีเอ๋อร์ เชื่ออาจารย์! อาจารย์จะพาเจ้าไปอยู่ข้างกายเขา”
“ซีเอ๋อร์ ไม่ต้องเสียใจ อาจารย์จะช่วยเจ้าจัดการปัญหาทุกอย่าง”
…
เหล่าทหารจากโลกเขตแดนที่อยู่โดยรอบยังคงพุ่งเข้าหาซูจิ่นซีและอวิ๋นจิ่นอย่างต่อเนื่อง ทว่าพวกเขากลับถูกสัตว์เทพกิเลนและจิ้งจอกเก้าหางผู้ภักดีขัดขวาง
อวิ๋นจิ่นปล่อยตัวซูจิ่นซีและถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าว ใบหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นหนักแน่นลึกซึ้ง พลังวิญญาณอันทรงพลังค่อยๆ ควบแน่นอยู่ในฝ่ามือที่ห้อยอยู่ข้างลำตัว
อวิ๋นจิ่นยกพลังจิตวิญญาณขึ้นมาอย่างเชื่องช้า เมื่อพลังจิตวิญญาณเริ่มขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ รอบกายของอวิ๋นจิ่นและซูจิ่นซีจึงปรากฏแสงสว่างเจิดจ้า
ท่ามกลางรัศมีของลำแสงนั้น ทำให้อวิ๋นจิ่นดูราวกับเทพเซียนมากยิ่งขึ้น ใบหน้าทวีความงดงาม งดงามยิ่งกว่าดอกไม้ที่งามที่สุดในโลกเขตแดน
จิ้งจอกเก้าสีที่กำลังต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับสัตว์เทพกิเลน ราวกับรับรู้ได้ถึงบางอย่าง มันรีบวิ่งไปหาอวิ๋นจิ่นและซูจิ่นซี ทว่ามันไม่อาจเข้าใกล้อวิ๋นจิ่นได้
ทันทีที่สัมผัสถูกลำแสงที่อยู่รอบตัวของอวิ๋นจิ่นและซูจิ่นซี มันก็กระเด็นออกมาเพราะพลังที่แข็งแกร่ง
จิ้งจอกเก้าสีตกลงบนพื้น ก่อนจะลุกขึ้นและพุ่งเข้าใส่ลำแสงอย่างต่อเนื่อง เมื่อกระเด็นออกมาอีกครั้ง… มันก็พุ่งเข้าไปไม่หยุด
ครั้งแล้วครั้งเล่า ร่างของจิ้งจอกเก้าสีเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ ทว่าดูเหมือนมันจะไม่รู้สึกย่อท้อหรือเจ็บปวดแม้แต่น้อย
สุดท้าย เมื่อกระเด็นออกมาจนไม่มีเรี่ยวแรงให้ยืนหยัดได้อีก มันจึงปีนขึ้นไปยังขอบของแสงสว่างอย่างเชื่องช้า และยกอุ้งเท้าอันไร้เรี่ยวแรงไปทางอวิ๋นจิ่น
‘ติ๋ง ติ๋ง… ’
หยาดน้ำตาไหลรินออกจากหางตาของจิ้งจอกเก้าสี
“จี๊ดจี๊ด… จี๊ดจี๊ด… จี๊ดจี๊ด… ”
คุณชาย ท่านคิดจะทำอันใด?
คุณชาย หากทำเช่นนี้ ท่านจะต้องตาย รู้หรือไม่?
คุณชาย จิ้งจอกน้อยไม่ต้องการให้ท่านทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้
คุณชาย…
อวิ๋นจิ่นกำลังพยายามทำอันใด?