GGS:บทที่ 854 งานครบรอบร้อยปี

 

กาลเวลาผ่านไปสองวันไวเหมือนโกหก ในที่สุดงานเลี้ยงครบรอบร้อยปีโรงเรียนมัธยมต้นที่หนึ่งเมืองจงหยุนก็ได้เริ่มต้นขึ้น

ในตอนเย็นวันนั้น ณ หอประชุมโรงเรียนที่แน่นขนัดไปด้วยนักเรียนจนเต็มหอประชุม

พวกเขาได้ช่วยกันย้ายเก้าอี้ที่ใช้ในห้องเรียนมาไว้กันที่นี่นั่นก็เพราะว่าไม่มีทางที่ทุกคนจะนั่งที่นั่งของหอประชุมกันได้หมด โดยแถวหน้าถูกจัดเอาไว้ให้สำหรับแขกพิเศษของโรงเรียน

 

“ช่างเป็นวันที่ดีจริงๆ ดูเหมือนว่างานสามารถเริ่มได้ทันทีที่อาทิตย์ลับฟ้านะ” หยางเว่ยค่อนข้างจะตื่นเต้นเล็กน้อยในขณะที่อยู่ในชุดสูท

“ฉันเห็นคนรู้จักหลายคนเลยนะ แต่พริบตาเดียวเองที่พวกเราได้จบออกไป เวลาก็ไหลผ่านไปหลายปีแล้วนะ” ลู่ชิงหยาพูดออกมาด้วยคำพูดที่เต็มไปด้วยความรู้สึก

“ใช่แล้วล่ะ แค่พริบตาเดียวเองพวกเราก็แก่กันไปหมดแล้ว นี่ยังดีนะที่ฉันคว้าสาวสวยกลับบ้านไว้ได้ตั้งคนนึงน่ะ”  จูเจียนฮัวพูดออกมาในขณะที่กุมมือของหลิวหยินเอาไว้

“จ้าจ้า… นายและสาวสวยของนายนั้นเป็นคู่กันแต่ชาติปางก่อน มีแต่ฉันเท่านั้นแหล่ะที่มาเจอคู่ตอนแก่แล้ว” เป็งหมิงได้เหลือกตามองทั้งคู่พลางส่งสายตาอิจฉาแทนที่จะแสดงถึงความยินดี

 

ตอนนั้นเองพวกเขาก็ได้เห็นใบหน้าของคนที่คุ้นเคยไม่ไกลจากพวกเขามากนัก แต่เพียงแค่สบตาพวกเขาก็ทำเป็นเมินแล้วก็หายหน้าไปในบัดดล

คนพวกนั้นประกอบด้วยหยางตงคนที่เคยจีบฉือชิง อีกคนก็คือหลิวหยง อดีตแฟนของลู่ชิงหยา

เหตุผลที่ทั้งสองไม่ได้ลงเอยด้วยกันนั่นก็เพราะว่าในขณะที่ทั้งสองคบกันอยู่ หลิวหยงก็ได้ไปกอล้อกอติกกับฉือชิงด้วยเช่นกัน หลังจากเรื่องนี้แดงออกไปเขาจึงโดนเธอเทในทันที

 

ต่อมาสองคนนั้นได้ไปมีเรื่องกับซูจิ้งอีก เลยโดนซูจิ้งใส่ยับจนหน้าแหกกันไปข้าง

หลังจากนั้นแม้ทั้งสองคนจะคิดว่าตัวเองได้พัฒนาตัวเองล้ำหน้าไปกว่าใครแล้วจึงได้เล่นงานซูจิ้งในทางลับ

แต่พวกเขากลับนึกไม่ถึงว่ากว่าจะรู้ตัวก็พบความจริงที่ว่าซูจิ้งนั้นล้ำไปอยู่เหนือใครตั้งนานแล้ว

ตอนนี้อย่าว่าแต่เรื่องการเงินเลย แม้แต่เรื่องขุมอำนาจหรือชื่อเสียง พวกเขาก็เทียบไม่ติดเลยสักนิด

คำพูดของเขาที่เคยประกาศกร้าวออกมาก่อนหน้านี้ได้ตบหน้าของพวกเขาเองเรียบร้อยแล้ว ในตอนนี้ทั้งคู่ทำได้เพียงซ่อนตัวเองออกจากหมู่เพื่อนฝูงเท่านั้นเอง

 

ตอนนี้พวกเขานั้นได้เดินตามชายหน้าเหลี่ยมคนหนึ่งมา เขานั้นทั้งดูอ่อนน้อมแต่ก็ดูมีเกียรติในเวลาเดียวกัน

ดูไปดูมาแล้วเขาเองก็คล้ายๆกับบริกรรับรถเหมือนกัน แต่หากเปรียบเทียบกับชายคนนั้นกับกลุ่มของพวกเขาแล้ว ชายคนนี้สมควรที่จะเป็นตัวละครหลักของงานนี้อย่างแน่นอน

แน่นอนว่าประธานนักเรียนเองก็คิดเหมือนพวกเขา เขาเองก็ได้ตรงไปยังชายหนุ่มหน้าเหลี่ยมในทันที

เขานั้นได้ยิ้มต้อนรับและได้เชิญเขาไปนั่งยังที่แถวหน้า แยกออกจากคนอื่นๆอย่างหยางตง หลิวหยง เป็งหมิง จูเจียนฮัว และคนอื่นๆซึ่งไม่ได้อยู่ในชื่อแขกพิเศษ

“ถ้าฉันจำไม่ผิดนี่เขาน่าจะใช่เจียเจิ้งหนิงนะ” จูเจียนฮัวพูดออกมา

“ตอนม.ปลายนี่ถ้าจำไม่ผิดนี่เขาเหมือนจะโคตรทำตัวเห…สุดๆไปเลยนะเพราะว่าเขานั้นถือว่าตัวเป็นผู้สืบทอดรุ่นที่สองของตระกูล และรวยมาก ตอนแรกนั้นฉันเองก็คิดว่าเขาจะเอาแต่นั่งกินนอนกินไปวันๆซะอีก

ใครจะไปคิดว่าหลังจากเขานั่งตำแหน่งเต็มตัวแล้วจะกลายเป็นเศรษฐีในหมู่เศรษฐี ไม่เพียงแค่เขาจะบริหารธุรกิจของตระกูลให้ใหญ่โตแล้ว เขายังคิดค้นผลิตภัณฑ์อย่าง “สดชื่นหมายเลขหนึ่ง” ที่ได้รับความนิยมไปทั่วประเทศอยู่ในตอนนี้ ขายดีขนาดที่ว่าเป็นมหาเศรษฐีหมื่นล้านไปแล้ว” เป็งหมิงพูดออกมา

“เมื่อกี้ฉันได้ยินเสียงนักเรียนคุยกันนะว่าเจ้าหยางตงและหลิวหยงไปรวมกลุ่มกับเจียเจิ้งหนิงด้วยน่ะ ท่าจะจริงแหะ” หยางเว่ยพูดออกมา

“เหอะ รังงูรังหนูชัดๆ” ลู่ชิงหยาพูดโพล่งออกมาอย่างรังเกลียดเดียดฉันท์

“เฮ้ อาจิ้งไม่มาหรอกเหรอ เขาสิถึงจะเป็นสุดยอดของลูกศิษย์ที่ประสบความสำเร็จที่สุดของโรงเรียนมัธยมต้นที่หนึ่งแห่งเมืองจงหยุนเลยก็ว่าได้ เขานั้นเป็นข่าวแทบจะทุกวัน น่าเสียดายจริงๆ” จูเจียนฮัวได้หัวเราะออกมาอย่างออกรสออกชาติราวกับเขาสะใจอย่างผู้ชนะยังไงก็ไม่รู้

“ถ้าซูจิ้งมาร่วมงานเลี้ยงนี้ด้วยก็ดีน่ะสิ ฉันไม่น่าหวังไปเองเลยน้า”

มีนักเรียนหลายคนที่ได้ยินดังนั้นก็อดถอนหายใจและบ่นออกมาไม่ได้ พลางคิดไปว่าโรงเรียนแห่งนี้คงต้องหวังพึ่งใบบุญจากเจียเจิ้งหนุนซะแล้วสินะ

ไม่คิดเลยว่าแม้แต่โรงเรียนที่ตัวเองเรียนจบมาก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของเขา เอาจริงๆต่อให้มีสิบเจียเจิ้งหนิงก็ไม่อาจสู้กับซูจิ้งคนเดียวได้ แต่ในเมื่อเขานั้นไม่สนใจแล้วทางโรงเรียนก็คงทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ

ดังคำกล่าวที่ว่าเมื่อพูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา ในตอนนี้ทุกคนในงานได้จับตามองไปยังทางหน้าประตูโรงเรียนเมื่อได้ยินเสียงๆหนึ่งดังมาแต่ไกล

ทันใดนั้นก็ได้มีรถปอร์เช่ขับมาจอดในโรงเรียน ซูจิ้งที่อยู่ในชุดสูทสีขาวดูสบายตา และฉือชิงที่อยู่ในชุดเดรสสีขาว คู่ชายหล่อหญิงสวยที่ดูสมกันราวกับกิ่งทองใบหยกได้ก้าวออกมาจากรถ

 

ฉากนี้ทำให้นักเรียนทั้งหลายที่เห็นถึงกับกรี๊ดกร๊าดออกมากันเกลียวไปหมด โดยนักเรียนหลายคนในที่นี้เองก็ถือได้ว่าเป็นแฟนคลับของซูจิ้งชนิดเหนียวหนับ และภูมิใจที่มีซูจิ้งเป็นรุ่นพี่ของตัวเลยด้วยซ้ำ

 

ประธานนักเรียนเองเมื่อเห็นดังนั้นก็ได้รีบก้าวตรงเข้าไปหาอย่างด้วยรวดเร็ว แม้แต่ครูใหญ่เองก็ใหญ่รีบเข้าไปหาซูจิ้งด้วยเช่นเดียวกัน

ฉากนี้ทำให้เจียเจิ้งหนิงรู้สึกริษยาอยู่ในใจ เพราะตอนที่เขาเข้ามาอาจารย์ใหญ่ไม่ได้ใส่ใจอะไรเขาเลยสักนิด ส่วนหยางตงและหลิวหยงเองกลับรู้สึกอิจฉาจนเห็นได้ชัด

เหตุผลไม่ใช่แค่เรื่องที่ซูจิ้งได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากอาจารย์ใหญ่และนักเรียนทุกคน แต่เขายังพาสาวงามอย่างฉือชิงที่พวกเขาเคยหมายปองมาด้วย แต่ความอิจฉาริษยาเหล่านี้พวกเขาก็ทำได้แค่เพียงเก็บไว้ในใจเท่านั้น ไม่กล้าแสดงออกมาซักเท่าไหร่นักเพราะไม่อยากหาเรื่องใส่ตัว

“นั่นคือฉือชิงงั้นหรอ เธอนั้นสวยกว่าเดิมมากนักจนเปรียบได้ดั่งเทพธิดาเลยจริงๆ”  ชายหนุ่มหลายคนเองก็ได้แต่ทำได้เพียงถอนหายใจอย่างเสียดาย

“ไม่คิดเลยว่าสองคนนี้จะลงเอยกันได้” ศิษย์เก่าชายคนหนึ่งได้พูดขึ้นมา

“ตอนม.ปลายนั้นเห็นซูจิ้งกับฉือชิงมีเรื่องกันบ่อยๆ ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายแล้วทั้งคู่จะมาลงเอยกันซะอย่างนั้น

ตอนนั้นนะซูจิ้งไม่ได้มีอะไรดีเลยนอกจากผลการเรียน

ตอนที่ทั้งคู่เริ่มคบกันจริงๆก็มีต่อคนนินทาว่าทั้งคู่เปรียบได้ดั่งดอกไม้ไปงอกอยู่บนอึวัวเลยด้วยซ้ำ

ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายแล้วนอกจากทั้งคู่จะลงเอยกันแล้ว ซูจิ้งยังเปลี่ยนแปลงตัวเองชนิดที่หน้ามีเป็นหลังเท้าเลย ทั้งสูงยาวเข่าดีและหล่อเหลาซะจนน่าหลงรัก

ก็ได้แต่บอกได้คำเดียวนะว่าฉือชิงนั้นตาถึงจริงๆ” ศิษย์เก่าหญิงคนหนึ่งได้แต่ส่ายหัวออกมาในขณะที่ถอนหายใจ

“ฉันว่ามันก็ขึ้นอยู่กับรูปร่างหน้าตาด้วยล่ะนะ ไม่ว่าจะตาถึงยังไงแต่ถ้าซูจิ้งไม่เลือกก็เท่านั้นเอง” ศิษย์เก่าหญิงคนหนึ่งพูดออกมา

“เสี่ยวหยาพี่ของเธอมาแล้วนะ”

“พี่จิ้งในที่สุดก็มาสักที”

ตอนนั้นเองสาวๆหลายๆคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นถึงกับดีดตัวผึงขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น จนทำให้ซูหยาบล็อคพวกเธอเอาไว้ด้วยร่างกายแล้วบอกให้เพื่อนของเธอให้ใจล่มๆไว้ก่อน

เธอเองตอนนี้พลางคิดในใจด่าทอเพื่อนของเธอว่าพี่ของเธอไม่ใช่ขนมหวานสักหน่อย จะกระวีกระวาดกันทำไม

ซูเซิ่นเชวี่ยและเย่ฉิงในตอนนี้ทั้งคู่นั่งอยู่ตรงที่นั่งของคุณครู พวกเขามองซูจิ้งจากระยะไกลโดยไม่สามารถแอบซ่อนความรู้สึกภูมิใจในตัวลูกชายของทั้งสองคนเอาไว้ได้

แม้แต่ครูที่นั่งอยู่ข้างๆก็ยังอดชมเชยและยกย่องจนทั้งคู่เกือบจะตัวลอยแทนซูจิ้งไปแล้ว

 

ด้วยการเชิญด้วยตัวเองของครูใหญ่ได้พาทั้งสองยังที่นั่งแถวหน้าที่ได้จัดเตรียมไว้ให้

ผ่านไปสักพักงานเลี้ยงจึงได้เริ่มขึ้น พิธีกรกล่าวเปิดงานและได้แนะนำรายชื่อแขกผู้มีเกียรติของโรงเรียนโดยเริ่มจากซูจิ้ง เจียเจิ้งหนิง และคนอื่นๆก่อนที่จะกลับเข้ามาแนะนำคณาจารย์ในปัจจุบันและสุดท้ายคือครูใหญ่ในตอนนี้

หลังจากนั้นพิธีกรจึงได้เริ่มกล่าวถึงประวัติของโรงเรียนมัธยมต้นที่หนึ่งของเมืองจงหยุน พร้อมทั้งเกียรติประวัติต่างๆที่เคยได้รับมา

 

โรงเรียนมัธยมต้นที่หนึ่งแห่งเมืองจงหยุนนั้นเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงและได้รับการสนับสนุนจากคนทั่วไปจนทำให้สามารถอยู่รอดมากกว่าร้อยปี

หลังจากกล่าวถึงประวัติและเกียรติยศเสร็จแล้ว พิธีกรก็ได้กล่าวถึงผู้ร่วมบริจาคเงินในปีนี้

ด้วยการที่โรงเรียนมัธยมต้นที่หนึ่งแห่งเมืองจงหยุนอยู่มากว่าร้อยปีและมีลูกศิษย์ลูกหาที่จบไปมากมายนัก

เนื่องในโอกาสครบรอบร้อยปีทั้งทีก็ต้องมีหลายคนที่บริจาคเงินเพื่อเป็นการตอบแทนโรงเรียนเก่าของตัวเองก็เป็นเองธรรมดา บางคนบริจาคมากกว่าใครเขาเพื่อนแต่ไม่ได้มาก็มี

 

หลังจากได้ยินจำนวนเงินและรายชื่อคนที่บริจาค เจียเจิ้งหนิงเองได้ได้ดำดิ่งอยู่กับความชื่นใจน้อยๆที่อยู่ก็พุดขึ้นมาในจิตใจจนทำให้เขายืดอกภูมิใจขึ้นมาได้และทำการจัดปกเสื้อเพื่ออวดมาดนิดหน่อย

ในครั้งนี้เขาได้บริจาคด้วยจำนวนเงินหนึ่งล้านหยวนซึ่งถือว่าเป็นจำนวนเงินที่ไม่น้อยเลยทีเดียว เหตุผลที่เขาบริจาคเงินนั่นก็เป็นเพราะว่าเขานั้นมีแผนการที่เกี่ยวกับโรงเรียนเก่าของเขาแห่งนี้ จึงจำเป็นที่จะต้องสร้างชื่อเสียงนิดหน่อยกับเหล่าศิษย์ คุณครู และคนที่ใกล้ชิดกับตัวเขา

อย่างไรก็ตาม ในขณะประกาศยอดเงินบริจาค อยู่ๆพิธีการก็ได้พูดด้วยเสียงอันก้องกังวาลออกมาว่า

“ตอนนี้ต่อหน้าเหล่าอาจารย์และคุณครูของโรงเรียนแห่งนี้ ผมขอเป็นตัวแทนเพื่อขอบคุณ สุดยอดศิษย์เก่าของโรงเรียน

ขอขอบคุณคุณซูที่บริจาคเงินกว่าสิบล้านหยวนให้แก่โรงเรียนมัธยมต้นที่หนึ่งแห่งเมืองจงหยุน เพื่อสนับสนุนโรงเรียนในการสร้างอาคาร เป็นรางวัลแก่ครูผู้สอน และเป็นทุนการศึกษาให้แก่ผู้ที่จำเป็น

และที่พิเศษสุดเหนือสิ่งอื่นใดก็คือผมเองก็พึ่งจะรู้และก็เคยมีโอกาสได้เงินรางวัลสำหรับผู้ได้คะแนนสอบเข้าอันดับหนึ่งในการเรียนต่อระดับมหาลัยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และเงินรางวัลเหล่านี้ก็ยังมีแผนบริจาคต่อไป…”

 

หลังจากได้ยินคำว่าสิบล้าน มีเสียงฮือฮาเกิดขึ้นดังกึกก้องไปทั่วหอประชุม ถึงแม้ว่าอาจารย์ใหญ่จะรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว แต่เมื่อได้ยินอีกครั้งเขาเองก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกยินดีออกมาและสงบใจไม่ได้

ต่อให้โรงเรียนมัธยมต้นที่หนึ่งแห่งเมืองจงหยุนแห่งนี้จะได้รับความนิยมมากมายจนมีนักเรียนมาเรียนในแต่ละปีสามพันถึงสี่พันคนต่อปีก็ตาม แต่เอาจริงๆโรงเรียนนี้ถือได้ว่าเป็นโรงเรียนขนาดเล็กแห่งหนึ่งเท่านั้นเอง

การที่อยู่ๆได้รับเงินบริจาคกว่าสิบล้านหยวนจึงเป็นถือได้ว่ามากมายเหนือกว่าที่เขาจะคาดฝันถึง

 

ตอนนี้นักข่าวที่เฝ้าคอยอยู่ไกลๆต่างก็ตื่นเต้นจนต้องแย่งกันถ่ายรูปซูจิ้งในทันที ข่าวที่เขาบริจาคเงินให้โรงเรียนเก่าของเขากว่าสิบล้านหยวนกลายเป็นข่าวใหญ่ในทันที

 

เจียเจิ้งหนิงในตอนนี้ก็ได้แต่นั่งนิ่งโง่งมกับเหตุการณ์ตรงหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หน้าตาของเขาในตอนนี้ได้ยิ้มค้างไว้จนแข็งทื่อไปเลย

เขาเองก็สงสัยอยู่แล้วว่าทำไมตอนประกาศยอดเงินบริจาคเมื่อกี้มีแต่รายชื่อและยอดบริจาครวมเท่านั้น ไม่มียอดบริจาครายคน

ตอนแรกเขาเองก็คิดเพียงว่าจะออกมาประกาศหลังจบงาน ไม่คิดว่าจะทำเพื่อรักษาหน้าคนที่ร่วมบริจาคเท่านั้นเอง