GGS:บทที่ 855 การแสดงชุดแรก

 

“พระเจ้า สิบล้าน ศิษย์พี่โคตรทรงพลังเลยแหะ ในที่สุดโรงเรียนของพวกเราก็มีเงินสนับสนุนแล้ว”

“ในช่วงที่ผ่านมานั้น โรงเรียนของเรามีทุนการศึกษาเพียงน้อยนิดเท่านั้น ตอนนี้ในที่สุดพวกเราก็มีทุนการศึกษาเพียงพอต่อความต้องการแล้ว”

“จากวันนี้เป็นต้นไปฉันจะตั้งจะเรียนเพื่อให้ได้ทุนการศึกษาให้จงได้”

 

นักเรียนทุกคนรวมทั้งคุณครูทั้งหลายต่างก็รู้สึกยินดีในทันที่ได้ยินจำนวนเงินที่ซูจิ้งบริจาคให้ ส่วนจูเจียนฮัว เป็งหมิง ลู่ชิงหยาและหยางเว่ยต่างก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเพราะพวกเขานั้นต่างก็บริจาคให้โรงเรียนเช่นเดียวกัน แต่พอได้ยินว่าซูจิ้งบริจาคเงินกว่าสิบล้านหยวน พวกเขาต่างก็รู้สึกยอมแพ้ในเรื่องนี้

 

หยางเว่ยได้หยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมาถ่ายรูปเพื่อเก็บข้อมูลเพิ่มเติม

เธอเองนั้นมางานเลี้ยงในฐานะศิษย์เก่าคนหนึ่ง แต่เมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็อดไม่ได้ที่จะทำให้เลือดนักข่าวในตัวเดือดพล่านออกมาจนต้องฉวยกล้องขึ้นมาจนได้

เอาจริงๆเธอแค่หยิบขึ้นมาถ่ายรูปแก้เขินเท่านั้นเอง

“เด็กของเธอนี่สุดยอดจริงๆเลยนะแม่จ๋า”ซูเซิ่นเชวี่ยและเย่ฉิงหรือก็คือพ่อแม่ของซูจิ้ง ที่นั่งอยู่ในที่นั่งของเหล่าคุณครูในตอนนี้ต่างรู้สึกปลื้มปลิ่มและยิ้มออกมาอย่างอบอุ่น

เอาจริงๆพวกเขาเองรู้สึกอยากจะถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ออกมา ไม่นานหลังจากเรียนจบมหาวิทยาลับ ลูกชายของทั้งสองคนก็ได้ประสบความสำเร็จอย่างมากมายมหาศาลจนทั้งสองคิดว่าฝันไปเลยด้วยซ้ำ

โดยเฉพาะเรื่องเงินที่ซูจิ้งหามาได้มากมายจนทั้งสองคิดว่าฝันเสียยิ่งกว่าฝันเสียอีก นี่ยังไม่รวมถึงผลิตภัณฑ์สุดพิเศษที่ซูจิ้งหามาให้ทั้งสองใช้อย่างต่อเนื่อง

ตัวอย่างเช่นชาที่พอทั้งสองดื่มแล้วทำให้จิตใจสงบสุข พอนั่งลงไปเรื่อยๆ กว่าทั้งสองจะรู้ตัวก็กลายเป็นว่าทั้งสองอ่อนเยาว์อย่างเห็นได้ชัด

ทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่กี่นาทีก่อนทั้งสองยังมีผมหงอกขาวโพลนขึ้นอยู่เต็มหัวอยู่เลยด้วยซ้ำ ตอนนี้ไม่เพียงแต่จะสีดำแต่ยังดกและเงางามราวกับหนุ่มสาวจริงๆก็ว่าได้

ตอนแรกที่ทั้งสองสังเกตเห็นยังแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเองเลย ตอนนี้ทั้งสองหน้าตาดูๆไปแล้วอายุยังอยู่ในช่วงสามสิบกว่าๆเท่านั้นเอง

ความเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้หลายๆคนแอบมาถามหาวิธีฟื้นฟูสภาพร่างกายและแม้แต่วิธีการปลูกผมด้วยก็ตาม

ความจริงทั้งสองก็คอยถามซูจิ้งเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์พวกนี้เหมือนกันว่ามีที่มาจากไหนกันแน่ แต่ซูจิ้งก็ไม่ได้บอกอะไรพวกเขามากนัก พวกเขาเลยขี้เกียจจะถามต่อ

แต่อย่างน้อยๆพวกเขาก็เชื่อได้อย่างแน่นอนว่าซูจิ้งนั้นย่อมให้ของดีๆแก่พวกเขาทั้งสองอยู่แล้ว เอาจริงทั้งสองต่างก็รู้สึกว่าตัวเขามีเรื่องที่ปิดบังอยู่

อย่างเช่นการผจญภัยหรืออะไรพวกนั้นจนไปสืบเสาะค้นหาของพวกนี้มาจนได้ หรือไม่ก็เขาอาจได้เจอปรมาจารย์เก่งๆอย่างนิยายกำลังภายในพวกนั้นถึงได้กลายเป็นเขาอย่างในทุกวันนี้ได้

ถึงแม้มันจะฟังดูน่าเหลือเชื่อไปหน่อย แต่นี่ก็เป็นเพียงเหตุผลเดียวที่ทั้งสองพอจะนึกออกว่าทำไมซูจิ้งถึงได้ประสบความสำเร็จได้มากมายขนาดนี้

 

“สิบล้าน…” เพื่อนเก่าที่ร่วมชั้นเรียนกับเขาทุกคนในตอนนี้ต่างก็รู้สึกอึดอัดไปตามๆกันจนหายใจได้ไม่ทั่วท้องเลยทีเดียว

พวกเขาต่างก็คิดว่าต่อให้เป็นศิษย์เก่าก็ตาม แต่การบริจาคเงินมากมายมหาศาลขนาดนี้ไม่รู้สึกเจ็บปวดมั่งรึไงกัน

เอาจริงๆทุกคนต่างก็คิดว่าเขานั้นไม่ควรจะบริจาคเงินให้โรงเรียน แต่ควรให้เงินพวกเขาแทนมากกว่า

“ซูจิ้งในตอนนี้อยู่คนละระดับกับเราไปแล้วแหะ” อดีตเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งพูดออกมา ในความคิดของเขาต่อให้เป็นศิษย์เก่าก็ตาม แต่การบริจาคเงินมากมายมหาศาลขนาดนี้ถือได้ว่าเป็นเรื่องงี่เง่าสำหรับเขา จะบอกว่าซูจิ้งโง่เลยก็ว่าได้

พอคิดถึงจำนวนเงินที่มากมายขนาดนี้จะมีสักกี่คนที่เคยได้แตะกัน อย่าว่าแต่แตะเลย หลายคนเองก็ยังแทบไม่เคยเห็นเงินแสนซะด้วยซ้ำ เงินหลักล้านนี่ภาพมายาชัดๆ

“ถ้าใจบุญขนาดให้ตั้งสิบล้านทำไมแกไม่ขึ้นสวรรค์ไปเลยฟะ” เจียเจิ้งหนิง หยางตง และหลิวหยงต่างก็กัดฟันด้วยความโกรธเคืองและสบถออกมาเบาๆ

เจียเจิ้งหนิงเองก็ยังรู้สึกตกใจไม่น้อยเหมือนกันที่ได้ยินว่าซูจิ้งบริจาคเงินจำนวนนี้

สำหรับเขานั้นเขามีเงินหมุนเวียนอยู่ในธุรกิจแค่หลักร้อยล้านเท่านั้นเอง ถ้าพูดถึงเงินเก็บของเขาเองก็ยิ่งน้อยกว่านี้เข้าไปใหญ่

การที่เขาบริจาคเงินมาหนึ่งล้านนี้ เขาเองก็ต้องดึงมาจากเงินเก็บของตัวเอง อย่าว่าแต่สิบล้านหยวนเลย แม้แต่เขาจะซื้อรถใหม่สักคนในตอนนี้ยังรู้สึกปวดใจที่ต้องจ่ายเงินออกไปเลย

หยางเว่ยและนักข่าวคนอื่นๆในตอนนี้ต่างก็รีบส่งหัวข้อข่าวที่เพิ่งได้มาสดๆร้อนๆให้แก่สำนักพิมพ์ของตัวเองอย่างเร็วที่สุด แม้แต่นักเรียนบางคนเองก็ยังหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของพวกเขาเอาไว้

ทันทีที่เรื่องนี้ถูกเปิดประเด็นในอินเตอร์เน็ตเกี่ยวกับเรื่องที่โรงเรียนเล็กๆแห่งหนึ่งกลับได้เงินบริจาคกว่าสิบล้านจนดูน่าจะเป็นเรื่องหลอกลวงกันเลยทีเดียว ทุกคนต่างก็คิดว่าเรื่องนี้มันเกินไป

แต่เมื่อพวกเขารู้ว่าคนที่บริจาคคือซูจิ้ง แถมโรงเรียนนี้ก็เป็นโรงเรียนเก่าของซูจิ้งเสียอีก เหล่าแฟนคลับเองก็เข้าใจเหตุผลในทันที

พร้อมทั้งแพร่กระจายข่าวนี้ลงในไมโครบลอคและฟอรั่มต่างๆอย่างรวดเร็วจนเป็นจับตามองของชาวเน็ตอย่างรวดเร็ว

“ถ้าเป็นฉันนะ หากฉันมีเงินสิบล้านล่ะก็ฉันจะไม่ยอมจ่ายแม้แต่แดงเดียวเพียงเพื่อเพิ่มชื่อเสียงแบบนี้หรอก”

“ถ้าเป็นฉันฉันก็คงไม่บริจาคมากขนาดนี้เหมือนกัน”

“พวกนายอย่าได้เอาตัวเองไปเปรียบกับพี่จิ้งเป็นอันขาด พี่จิ้งนั้นคือเจ้าแห่งการให้ของขวัญ ของทุกอย่างที่เขาเคยให้มาก่อนหน้านี้ล้วนแล้วแต่เกินสิบล้านทั้งนั้นล่ะ”

“ก็จริงแหะ ถึงแม้เงินสิบล้านสำหรับพวกเราแล้วมันจะฟังดูเยอะ แต่เมื่อเทียบกับของขวัญที่ซูจิ้งให้ชาวบ้านชาวเมืองมาก่อนหน้านี้แล้วช่างน้อยนิดมหาศาลจริงๆ อย่าว่าแต่สิบล้านเลย ฉันว่าอย่างต่ำน่าจะร้อยล้านทั้งนั้น”

“สิบล้านของพี่จิ้ง อาจจะแค่ทำให้ขนหน้าแข่งร่วงไปเส้นเดียวก็ได้นะ”

แฟนคลับของซูจิ้งในตอนนี้ต่างก็สรรเสริญออกมา แต่เรื่องดีๆแบบนี้ใครจะไปคิดว่ามันจะกลายเป็นเรื่องว่าร้ายได้กัน

“เหอะรวยยังไงกัน ให้ของขวัญเป็นร้อยล้าน แต่บริจาคแค่สิบล้านเนี่ยนะ”

“ต้องเป็นเรื่องสมคบคิดกันอยู่แล้วล่ะ แค่บริจาคเงินสิบล้านหยวนก็ต้องสรรเสริญขนาดนี้เลยทีเดียว”

“ถ้าฉันมีเงินเท่าเขาก็คงจะบริจาคเป็นร้อยล้านหยวนไปแล้ว”

 

เรื่องนี้สามารถบอกได้อย่างเดียวว่ายิ่งอยู่ที่แจ้งมากเท่าไหร่ ยิ่งโดนดักตีหัวได้ง่ายขึ้นเท่านั้น

อย่างไรก็ตามก่อนที่แฟนคลับของซูจิ้งจะได้ออกมาตอบโต้อะไรกลับไปนั้น เหล่านักเรียนโรงเรียนมัธยมต้นที่หนึ่งแห่งเมืองจองหยุนกว่าสามพันคนได้ออกมาเคลื่อนไหวในทันที

และพวกเขาได้เล่นงานข้อความป้ายสีซูจิ้งอย่างรวดเร็วปานไวแสง แม้แต่วิธีตอบกลับข้อความป้ายสีพวกนี้เองก็ทำกันอย่างพร้อมเพรียงจนคนพวกนี้ทำอะไรไม่ได้แม้แต่น้อย

บวกกับพลังของแฟนคลับของซูจิ้งแล้ว คนที่ว่าร้ายซูจิ้งได้ปิดประตูแพ้ไปในทันที เปรียบได้ดั่งหัวหอมที่ถูกแสดงอาทิตย์เผาไหม้จนแห้งตายในทันที

 

กลับมาที่ฝั่งโรงเรียนมัธยมต้นที่หนึ่งแห่งเมืองของหยุนนั้น พิธีกรยังคงดำเนินการอ่านรายชื่อผู้ร่วมบริจาคเงินให้แก่โรงเรียนอย่างต่อเนื่อง

โดยคนที่บริจาคมากเป็นอันดับสองนั้นคือศิษย์เก่าที่จบจากที่โรงเรียนนี้ไปหลายปีมากแล้วจนตอนนี้อายุจะปาเข้าไปสี่สิบปีอยู่แล้ว เขานั้นบริจาคเงินให้กว่าสามล้านหยวนแต่เขาก็ไม่ได้มาร่วมงานแต่อย่างใด

ส่วนอันดับสามนั่นก็คือเจียเจิ้งหนาน เมื่อเขารู้เรื่องนี้ก็ถึงกับจิตตกในทันที เขาไม่คิดว่าตัวเองนอกจะไม่ได้อยู่ในอันดับหนึ่งของการบริจาคครั้งนี้ เขานั้นยังต้องพลาดที่สองไปอีก

 

หลังจากการกล่าวรายชื่อผู้เข้าร่วมบริจาคเสร็จสิ้น ในตอนนี้ท้องฟ้าก็ได้มืดลงแล้ว

 

ช่วงเวลาต่อไปเป็นการจัดแสดงต่างๆ ซึ่งบรรดาเด็กนักเรียนทั้งหลายในตอนนี้ต่างก็ตื่นเต้นอย่างมาก แม้แต่แฟนคลับของซูจิ้งที่รอดูฉากนี้อยู่นอกงานเองก็ยังตื่นเต้นตามไปด้วย

นั่นก็เพราะว่าการที่จะได้เห็นการแสดงสดของซูจิ้งนั้นถือได้ว่ายากเสียยิ่งกว่ายากเสียอีก

การแสดงแรกของงานคือการร้องเพลงของสาวน้อยม.ปลายคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าน้ำเสียงของเธอจะเทียบไม่ได้กับเสียงของเหล่านักร้องทั้งหลาย แต่คุณภาพเสียงและเพลงที่เธอร้องออกมาถือได้ว่าอยู่ในขั้นที่ดีเลยทีเดียว

เสียงของเธอสามารถจับใจผู้ฟังได้ และด้วยการที่เธอนั้นยังสาวและสวยด้วย ทำให้เหล่าเด็กหนุ่มถึงกับตื่นเต้นจนออกนอกหน้ากันไปหมด

การแสดงถัดมาเป็นการดวลเต้นกันทั้งในรูปแบบ ดวลแร็ปและการดวลเต้นฮิปฮอป ซึ่งการแสดงเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นการแสดงของเหล่านักเรียนซึ่งก็ย่อมดูเก้ๆกังๆกันบ้าง

นั่นก็เพราะว่าพวกเขาไม่ได้เป็นมืออาชีพแต่อย่างใด เหล่านักเรียนเองก็ได้แต่ซ้อมตอนเวลาว่างหลังเลิกเรียนเท่านั้นเท่านี้ก็ถือได้ว่าเก่งมากแล้ว

แต่เอาจริงๆก็ถือได้ว่าดูเป็นธรรมชาติและมีชีวิตชีวาดีไปอีกแบบ

 

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง หลังจากการแสดงของเหล่านักเรียนเหล่านี้ได้หมดลง พิธีกรได้ขึ้นไปยังสเตเดี้ยมก่อนที่จะพูดออกมาว่า “เอาล่ะครับ ต่อไปก็คือการแสดงที่พวกเราต่างก็รอคอยมาตลอดทั้งงาน

นั่นก็คือการแสดงของคุณซูจิ้งที่ได้จัดเตรียมมาเพื่อแสดงให้เห็นที่นี่เป็นที่แรก และเขายืนยันออกมาเองเลยว่า ไม่เคยนำการแสดงชุดนี้ออกไปแสดงที่ไหนมาก่อน

คุณซูได้ฝากมาบอกว่าในระหว่างการแสดง ขอให้ทุกคนโปรดปล่อยตัวและเปิดใจ ให้ล่องลอยไปกับการแสดงที่เขาเตรียมมา

หากมีคำถามหรือข้อโต้แย้งใดๆ ค่อยเอาไว้พูดคุยกันหลังการแสดงนะครับ เพื่อไม่ให้เสียอรรถรสในการรับชม ถ้าพร้อมแล้ว เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ”

 

หลังจากสิ้นเสียงของพิธีกร ทุกคนในห้องประชุมต่างก็ส่งเสียงเชียร์ออกมาอย่างอบอุ่น จนบรรยากาศภายในงานรู้สึกได้ว่าทุกคนต่างคาดหวังกันอย่างมาก

หลังจากทุกเสียงสงบลง สักพักก็ได้มีคนกลุ่มหนึ่งค่อยๆออกมาจากหลังฉาก คนกลุ่มนั้นประกอบด้วย ฮูเฟยหยุน จี้เสี่ยวถิง ไชหวู่เฟิง และคนอื่นๆที่ซูจิ้งได้คัดตัวมา และแน่นอนว่าก็มีอีกหลายๆคนในโรงเรียนที่คุ้นหน้าคุ้นตาพวกเขาอยู่เหมือนกัน

“คนพวกนี้เป็นใครกันเนี่ย”

“ไม่รู้เหมือนกันแหะ บางคนก็ดูคุ้นๆนะ ดูน่ากลัวพิกล ฉันว่าอยู่ห่างๆพวกเขาไว้ก็ดีนะ”

“นั่นมันหวู่หลงไม่ใช่เหรอ รู้สึกว่าเขานั้นจะเป็นหัวหน้าแก๊งอันธพาลในเมืองนะ ทำไมเขามาที่นี่ได้ล่ะ หรือว่าเขาจะมาก่อเรื่องกัน”

“แต่ดูจากชุดที่พวกเขาใส่มากันแล้ว ไม่ใช่ว่าพวกเขามาแสดงกันหรอกหรอ”

“นายจะบ้าเหรอ นายคิดว่าขาใหญ่แห่งแก๊งอันธพาลจะมาที่โรงเรียนเราเพื่อแสดงในงานโรงเรียนเนี่ยนะ ฉันกลัวแต่ว่าเขาจะมานั่งดูดีๆมากกว่าจะมาก่อเรื่องนะ”

“เริ่มได้”   หลังจากสิ้นเสียงก็ได้มีใครบางคนให้สัญญาณ หลังจากนั้น ฮูเฟยหยุน หวู่หลง และคนอื่นๆได้รีบขึ้นไปบนเวที

ภาพนี้ได้ทำให้เหล่านักเรียนๆหลายๆคนถึงกับโง่งมในทันที พลางคิดในใจว่า นี่พวกเขามีการแสดงกันจริงๆอ่ะนะ