GGS:บทที่ 856 บอดสนิท

 

“อาจิ้งเตรียมการแสดงอะไรมากันแน่เนี่ย” จูเจียนฮัวสงสัยจะต้องถามลอยๆออกมา

“ไม่รู้เหมือนกัน” เป็งหมิงได้แต่ส่ายหัวตอบออกไป

“ทำไมซูจิ้งยังนั่งอยู่ที่นั่งแขกพิเศษอยู่ล่ะ เขาไม่ได้ร่วมแสดงด้วยหรอกหรอ” ลู่ชิงหยาเอ่ยถามออกมาในขณะที่สายตาจ้องมองไปยังซูจิ้งที่กำลังนั่งแทนที่เธอ ที่ออกมาถ่ายรูปบรรยากาศการแสดง

“ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนควบคุมมากว่านะ” หยางเว่ยพูดออกมา

ทุกคนที่อยู่ใกล้ๆในตอนนี้ต่างก็แสดงท่าทางกังวลออกมา ถ้าซูจิ้งไม่ได้ขึ้นแสดงเองก็เท่ากับว่าการแสดงนี้เขาจะไม่ได้เป็นจุดสนใจแต่อย่างใด

แต่หลายๆคนที่อยู่ไกลๆก็ยังคงจับตาดูไปที่เวทีโดยไม่รู้ว่าซูจิ้งจะไม่ได้ขึ้นร่วมการแสดงนี้พร้อมด้วยความคาดหวังการแสดงดีๆอยู่

 

เมื่อม่านเปิดออก กลุ่มคนชายและหญิงได้ยืนเรียงกันจำนวนหกแถว แถวหนึ่งห่างกันประมาณครึ่งเมตร แถวหน้าประกอบด้วย ฮูเฟยหยุน ไชหวูเฟิง จี้เสี่ยวถิง หวู่หลง และคนอื่นๆที่ความสามารถด้านศิลปะการต่อสู้มากที่สุด

“หืม! เหมือนซูจิ้งจะไม่ได้ร่วมด้วยนะ”

“ถ้าเขาไม่ร่วมแสดงฉันไปดีกว่า”

“ก็ดีนะ”

“อย่าทำตัวเสียมารยาทน่า นี่คือการแสดงที่พี่จิ้งจัดเตรียมมาเองเลยนะ จะออกมาไม่ดีได้ยังไงกัน”

“เดี๋ยวนะ นั่นเฟยหยุนไม่ใช่หรอ คนที่อยู่ตรงกลางน่ะ”

“เฟยหยุนนี่ใครอ่ะ”

“ฮูเฟยหยุนไง คนที่เป็นนักแสดง ฉันเองก็ได้ติดตามเขานานๆทีเหมือนกัน ฉันได้ยินมาว่าเขานั้นเป็นนักแสดงแทนนักแสดงหลักในเรื่อง “กระบี่เทพธิดา” ด้วยนะ”

“ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆเขานั่นดูไม่เลวเลยนะ”

“ขนาดฉันที่มั่นใจในร่างกายตัวเอง พอเห็นเธอแล้วยังรู้สึกด้อยกว่าเลย”

“คนที่อยู่ข้างขวาของฮูเฟยหยุนนี่มันหวู่หลงไม่ใช่หรอนั่น”

“บ้าเอ๊ย ลูกพี่ใหญ่แห่งวงการใต้ดินมาร่วมการแสดงให้พวกเราดูเนี่ยนะ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่เนี่ย”

“เอ่อออ เหมือนฉันได้ยินมาว่าลูกพี่เขาเหมือนจะถูกศิษย์พี่จิ้งหลอกให้มาแสดงนะ”

“ว่าแต่นี่มันการแสดงอะไรกันเนี่ย ทำมันถึงได้ดูเรียบร้อยแปลกแบบนี้กัน”

 

ในขณะที่ทุกคนกำลังคุยกันถึงเรื่องคนที่รับหน้าที่แสดงอยู่นั้น อยู่ก็ได้มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา ในตอนนี้พวกเขานั้นเริ่มเต็มไปด้วยความหวังว่าจะได้ดูการแสดงดีๆอยู่ในใจ

แต่เมื่อเพลงเล่นไปได้สักพัก เพลงที่เล่นช่างเป็นเพลงที่พวกเขาคุ้นหูกันจนทำให้พวกเขาต่างก็ทำหน้ามึนงงและฉงนกันไปหมด บางคนถึงกับเอ่ยถามออกมาว่า “นี่เขาเปิดเพลงผิดรึเปล่าเนี่ย”

เพลงที่เล่นออกมานั่นก็คือเพลงวิทยุที่เปิดเล่นกันเพื่อให้เด็กนักเรียนออกกำลังกายและประกอบกิจกรรมเข้าจังหวะทั้งหลาย

หรือก็คือเป็นเพลงที่นักเรียนทุกคนต้องได้ยินกันทุกเช้าจนบางคนฮัมเพลงจนจบได้ทั้งๆที่ไม่อยากจะจำเสียด้วยซ้ำ

 

ทุกคนในตอนนี้ต่างก็คิดว่าต้องมีอะไรบางอย่างที่ผิดพลาดอย่างแรงแน่ๆ การแสดงของซูจิ้งนั้นไม่น่าจะต้องใช้เพลงสัญญาณเสียงที่พวกเขาใช้ประกอบทำกิจกรรมการเข้าจังหวะทุกเช้าแน่ๆ

แต่ยังไม่ทันที่ทุกคนจะทักท้วงก็ได้มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาว่า “สัญญาณเสียงเข้าจังหวะ เริ่ม ท่าแรกยืดตัว 12345678 1 12345678 2 12345678 3 ….”

ในตอนนี้ สายตาทุกคนที่จ้องขึ้นไปบนเวที แทบจะหลุดออกมายืดเส้นยืดสายตามเสียงสัญญาณที่ได้ยินไปแทบทั่วทุกตัวคน

มันก็จริงที่ถ้าที่ทุกคนบนเวทีใช้อยู่ตอนนี้ เป็นท่วงท่าที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ด้วยการที่การแสดงดังกล่าวช่างราบเรียบ และเป็นจังหวะ ประกอบกับเสียงเพลงประกอบจังหวะแล้ว พวกเขานั้นกำลังสับสนอยู่ในตอนนี้ว่าตกลงการแสดงนี้คือการแสดงอะไรกันแน่

“ฉันไปล่ะ นี่มันเป็นกิจกรรมออกกำลังกายยามเช้าชัดๆ”

“นี่มันการแสดงอะไรกันเนี่ย”

“อา… ตาของฉันต้องบอดแล้วแหงๆ ไม่ได้มีอะไรน่าดูเลยสักนิด เสียสายตาเปล่าๆ”

“รุ่นพี่จิ้งจะแกล้งพวกเรากันสินะ”

“ฉันบอกได้เลยนะว่าตอนแรกฉันได้คิดไปไกลเลยว่าพี่จิ้งจะเอาการแสดงชั้นยอดอะไรมาแสดงให้พวกเราดู แต่ฉันไม่น่าไปคาดหวังเลยจริงๆพับผ่าเถอะ”

“โอ๊ยยยยย จินตนาการของงฉ้านนนน”

 

ทุกคนในตอนนี้ต่างก็ว่ากล่าวสาดเสียเทเสียการแสดงของซูจิ้งจนดังระงมไปทั่วทั้งงาน จนแม้แต่พิธีกรในตอนนี้เองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะทำตัวยังไงดี

ในขณะเดียวกัน แฟนคลับของซูจิ้งที่ทำได้เพียงเห็นการแสดงอยู่ไกลลิบลิ่วผ่านวีดิโอถ่ายทอดสดจากที่ไกลๆเนื่องจากไม่สามารถเข้าไปถ่ายในงานได้ก็ทำได้เพียงแค่นิ่งๆอึ้งๆกันไป พูดอะไรไม่ออกเหมือนกัน

“พี่จิ้งจะทำอะไรกันแน่เนี่ย”

“นี่เป็นการแสดงที่ห่วยที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมาเลยนะ”

“พระเจ้า ช่วยบอกพี่จิ้งให้เปลี่ยนการแสดงทีเถ้ออออออะ”

จูเจียนฮัว เป็งหมิง ลู่ชิงหยา หยางเว่ย และคนอื่นๆเองก็ทำได้เพียงมองไปทื่อๆจนแทบอยากจะสิ้นสติไปเสียตรงนั้น

แม้แต่พ่อ แม่ และน้องสาวของเขาเองที่กำลังจ้องมองอยู่ก็ถึงกับทำหน้าโง่งมทำอะไรไม่ถูกเช่นเดียวกัน จนในตอนนี้แม้แต่ครูใหญ่ ตลอดจนครูหลิวผู้ซึ่งได้รับหน้าที่ให้ดำเนินการงานเลี้ยงถึงกับต้องเบือนหน้าหนี

“เฮ้เฮ้เฮ้ ไอ้หมอนี่ช่างกล้าจริง” เจียเจิ้งหนิง หยางตง หลิวหยง ทั้งสามคนต่างก็วิพากษ์วิจารณ์การแสดงกิจกรรมเข้าจังหวะของซูจิ้งกันอย่างมันส์ปาก ถึงกับหัวเราะออกมาดังลั่น ในที่สุด พวกเขาก็ได้เห็นซูจิ้งทำตัวโง่งมต่อหน้าสาธารณชนจนได้

 

อย่างก็ตาม มีเพียงบางส่วนที่จับจ้องมองตาไม่กระพริบราวกับพบขุมสมบัติ ถึงกระนั้นคนส่วนใหญ่ภายในงานตอนนี้ต่างก็พูดคุยว่าร้ายการแสดงนี้มากมาย

แต่ไม่ว่าพวกเขาจะว่าร้ายมากมายขนาดไหนพวกเขาก็ทำได้เพียงไม่นานนัก เพราะว่าเพียงไม่นาน ความเร็วของเสียงเพลงประกอบกิจกรรมเข้าจังหวะก็ได้เปลี่ยนไป

เมื่อทุกคนเริ่มสังเกตได้ว่าเสียงเพลงประกอบจังหวะเริ่มยากขึ้น แต่เหล่าคนที่แสดงท่าทางประกอบจังหวะเหล่านั้นยังคงทำตามได้อย่างลื่นไหลและไม่มีสะดุดแต่อย่างดัง

เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ เพลงประกอบดังกล่าวยิ่งเร็วขึ้นกว่าเดิม แต่นั้น ก็ไม่ได้เป็นการหยุดยั้งให้เหล่านักแสดงท่าทางประกอบจังหวะผิดพลาดเลยแม้เพียงท่าเดียว

 

โดยทั่วไปแล้วเพลงกิจกรรมเข้าจังหวะจะต้องเป็นไปอย่างเนิบๆ จะว่าเชื่องช้าก็ว่าได้ แต่อย่างน้อยๆเพลงพวกนั้นมีต้องมีจังหวะที่สม่ำเสมอ เพื่อให้คนที่ทำท่าสามารถตามได้ทัน

นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเพลงพวกนี้ถึงได้ฟังดูน่าเบื่ออย่างมาก ซึ่งในตอนแรกเพลงประกอบกิจกรรมเข้าจังหวะที่คนบนเวทีแสดงท่าทางประกอบนั้นเป็นจังหวะแบบนั้นเลยก็ว่าได้

แต่นอกจากคนที่เรียนรู้ศิลปะการต่อสู้แล้ว น้อยคนนักที่จะรู้สึกถึงความต่างตั้งแต่ต้นเพลง ด้วยการที่ท่าทางประกอบเพลงกิจกรรมเข้าจังหวะนี้ตั้งแต่ต้นนั้น หาใช่เพียงท่าเต้นออกกำลังกายทั่วๆไป

แต่มันคือท่าทางของศิลปะการต่อสู้ ใครก็ตามที่ร่ำเรียนศิลปะการต่อสู้มาต่างก็รู้สึกได้ว่าท่าทางเหล่านี้ ยิ่งทำไปนานเท่าไหร่ อานุภาพของมันก็ยิ่งจะค่อยๆแสดงออกมาให้เห็น ประดุจดั่งเสือที่นานวันไปยิ่งดุร้ายมากขึ้น

 

เพียงเข้าสู่ท่วงท่าที่สอง ตอนนี้บรรยากาศในงานได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ความจริงร้อนระอุยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

 

ทุกคนที่อยู่ข้างล่างเวทีในตอนนี้ต่างจ้องมองกันอย่างตาไม่กระพริบ บางคนถึงกับพยายามทำตามเลยด้วยซ้ำ และหลายๆคนก็เริ่มรู้ตัวแล้วว่า ท่าของกิจกรรมเข้าจังหวะนี้คือท่าบางส่วนของเพลงหมัดวัวคลั่ง

พอถึงท่วงท่าที่สาม สี่ และห้า ตามลำดับ ทุกคนในตอนนี้ต่างก็ออกมาทำตามกันจนถึงกับเลื่อนเก้าอี้นั่งออกไปบริเวณข้างงาน

ทุกคนในงานตอนนี้ได้ประจักษ์กับตัวเองแล้วว่า ท่าทางประกอบเพลงกิจกรรมเข้าจังหวะเหล่านี้นั้นคือสุดยอดท่วงท่าประกอบเพลงเข้าจังหวะอย่างแท้จริง

 

“เดี๋ยวนะ นี่ฉันตาฝาดไปรึเปล่า ทำไมฉันถึงคิดว่าท่วงท่าประกอบเพลงพวกนี้ช่างดูดีเสียจนอยากทำตามเลยล่ะ”

“ไม่หรอก มันดูดีจริงๆ มันน่าทำตามยิ่งกว่าท่าทางประกอบเพลงกิจกรรมเข้าจังหวะที่พวกเราทำกันอยู่ทุกเช้าอีกนะ ฉันว่ามันน่าจะมาจากพวกกระบวนท่าการต่อสู้อะไรพวกนั้น”

“จริงด้วย ฉันนึกออกแล้ว ท่วงท่าพวกนี้ฉันเหมือนจะเคยเห็นมาจากกระบวนท่าพื้นฐานของเพลงหมัดวัวคลั่งนะ”

“จริงดิ สุดยอดท่าทางประกอบกิจกรรมเข้าจังหวะชุดนี้สุดยอดจริงๆ”

“ฉันผิดเองที่ได้ปรามาศศิษย์พี่จิ้งไป การแสดงท่าทางประกอบเพลงนี่สุดยอดจริงๆ ไม่ธรรมดาเลย”

ตอนนี้เสียงวิพากษ์วิจารณ์เสียๆหายๆที่เคยมีได้ยินแว่วๆก่อนหน้านี้ได้หายไปหมด ในตอนนี้เหลือเพียงแค่เสียงเยินยอและสรรเสริญซูจิ้งและการแสดงของเขาเท่านั้นเอง

 

ซูจิ้งเองหลังจากได้ยินเสียงคนที่เอ่ยชมการแสดงนี้ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา การแสดงนี้ถือได้ว่าสำเร็จลุล่วงแล้ว ช่างเป็นชัยชนะที่ยากจะได้รับจริงๆ

ใช่แล้ว นี่คือกระบวนท่าที่เขาได้สอน ฮูเฟยหยุนและผองเพื่อนเมื่อสองวันก่อน

เขาเองได้เรียนเพลงหมัดชุดนี้ว่า ออกกำลังกายยามเช้า ซึ่งมันเป็นกระบวนท่าพื้นฐานของเพลงหมัดวัวคลั่ง รวมกับตำรายุทธ์อื่นๆที่เขาได้ให้เสี่ยวไป๋ซ่อมแซมเอาไว้

ความจริงแล้วตำราที่ไม่สมบูรณ์เหล่านั้นส่วนใหญ่แล้วก็เป็นเนื้อหาส่วนต้นซึ่งไม่ได้มีปัญหาในตอนเริ่มฝึกสักเท่าไหร่

และพวกมันล้วนแล้วแต่เป็นตำรายุทธ์สายพุทธ นั่นก็เท่ากันว่าพวกมันล้วนแล้วแต่มาจากที่มาเดียวกันจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะเอามารวมเข้าด้วยกัน

เขาจึงได้คัดสรรท่วงท่าที่เหมาะสมกับการเสริมสร้างร่างกายของเหล่านักเรียนในทุกๆวัน มาผนวกรวมกันจนได้มาเป็นวิชายุทธ์นี้ขึ้นมา

 

นี่จึงกล่าวได้ว่าเพลงหมัดนี้ไม่เพียงเป็นการผนวกรวมสุดยอดเคล็ดวิชายุทธ์เบื้องต้นเอาไว้ด้วยกันเท่านั้น แต่มันถือได้ว่าเป็นการผนวกรวมอย่างมีคุณภาพ

ไม่เพียงกระบวนท่าเหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างร่างกายแล้ว ถึงแม้ว่าอานุภาพของมันจะไม่เท่าหมัดวัวคลั่งก็ตาม

แต่ก็บอกได้ว่ากระบวนท่าเหล่านี้เสริมสร้างร่างกายได้ดีกว่าท่าทางประกอบกิจกรรมเข้าจังหวะทั่วๆไปที่ทำกันในตอนเช้า

แถมยังดีกว่าการทำกายภาพบำบัดด้วยการร่ายรำ(การรำไท้เก๊กเลียนแบบท่าทางจากสัตว์)เสียอีก

นั่นก็เพราะว่ากระบวนท่าเหล่านั้นสามารถทำตามได้ยาก แถมยังไม่ค่อยได้ผลสักเท่าไหร่นัก

แน่นอนว่าใครก็ตามที่มีอาการเกี่ยวกับระบบประสาท สามารถทำเพลงหมัดชุดนี้เพื่อช่วยฟื้นฟูร่างกายได้อย่างดีเลยทีเดียว

 

จริงๆแล้วตามความคิดของซูจิ้งนั้นสำหรับเขาแล้วเพลงหมัดเมาของเขานั้นถือได้ว่าเป็นสุดยอดแห่งเพลงหมัดในใต้หล้านี่แล้ว

เพียงแต่ว่าเพลงหมัดนั้นยากเกินกว่าที่จะสอนให้กับคนทั่วไปได้ เอาจริงๆแม้แต่นักศิลปะการต่อสู้เองถ้าไม่ได้มีพรสวรรค์ด้านนี้จริงๆก็ยากที่จะฝึกได้สำเร็จ

ดังนั้นแล้วยิ่งเป็นเด็กนักเรียนล่ะก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเข้าไปใหญ่ พวกเขานั้นเป็นพวกที่นั่งจุ้มปุ๊กอยู่กับที่โดยไม่มีเวลาได้ออกกำลังกายอยู่แล้ว

ดังนั้นสำหรับเด็กนักเรียนเหล่านี้แล้ว กระบวนท่าที่ใช้ออกกำลังกายควรเป็นท่าทางที่ง่ายแต่ว่าได้ผลดี และพวกเขาเองก็ต้องออกกำลังกายในตอนเช้าเป็นกิจวัตรประจำวันอยู่แล้ว

การที่ซูจิ้งจะสร้างเพลงหมัดแบบนี้มาก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด

ด้วยการที่เพลงหมัดออกกำลังกายยามเช้าของซูจิ้งนั้นเป็นการผนวกรวมกันของวิชายุทธ์เบื้องต้นของหลายๆตำราเข้ากับเพลงกิจกรรมเข้าจังหวะ

จึงทำให้ท่าทางที่ใช้ประกอบเพลงเมื่อทำตามแล้วจะดูดีกว่าปกติ นี่จึงช่วยให้มีความรู้สึกน่าทำตาม สนุก และน่าเพลิดเพลิน จนแม้แต่ตอนนี้เหล่านักเรียนเองจึงอดไม่ได้ที่จะทำตาม

 

แน่นอนว่าฮูเฟยหยุน ไชหวู่เฟิง จี้เสี่ยวติง และคนอื่นๆเองที่แสดงท่าทางประกอบเพลงในตอนนี้ต่างก็รู้สึกว่าตัวพวกเขาเองนั้นสง่างาม

โดยเฉพาะอย่างยิ่งยิ่งพวกเขาฝึกมากเท่าไหร่ ร่างกายของพวกเขาก็ยิ่งพัฒนามากขึ้นเท่านั้น

เอาจริงๆแล้วเหตุผลที่เขานั้นให้พวกของฮูเฟยหยุนเป็นผู้แสดงแทนเขานั้น นั่นก็เพราะว่าการจะชนะใจนักเรียนให้ทำตามได้นั้น หากให้เขาเป็นคนแสดงน้อยคนนักที่เชื่อใจจนทำตามได้ มันก็เหมือนเจ้าของผลิตภัณฑ์ไปซื้อของตัวเองให้ลูกค้าที่รู้จักกันดีดู

ความน่าเชื่อถือย่อมแตกต่างกันอยู่แล้ว