GGS:บทที่ 857 ตบท้าย

 

หลังจากที่ฮูเฟยหยุน จี้เสี่ยวถิง และคนอื่นๆแสดงเสร็จแล้ว ทุกคนก็ได้ก้าวเดินออกไปอย่างเป็นระเบียบ การแสดงของพวกเขานั้นความจริงแล้วพวกเขาเองก็อายไม่ใช่น้อยเลยเหมือนกัน

ในตอนแรกทุกคนต่างก็คิดว่าซูจิ้งให้มาร่วมแสดงเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้ ใครจะไปคิดว่าสุดท้ายพวกเขานั้นจะต้องมาทำกิจกรรมเข้าจังหวะให้นักเรียนในโรงเรียนดูแทน

ต่ออย่างน้อยๆท้ายที่สุดแล้วผลตอบรับก็ออกมาดีจนพวกเขาเองก็ยังแปลกใจเหมือนกัน  เหนือสิ่งอื่นใดแล้วที่พวกกลัวอย่างที่สุดในตอนนี้ก็คือเวลาที่พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับเหล่านักศิลปะการต่อสู้จากสำนักอื่น หากมีคนถามถึงพวกเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนเหมือนกัน

 

เมื่อสิ้นสุดการแสดง พิธีการได้ออกมาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นยังไงบ้างครับกับการแสดงแรกที่คุณซูได้เตรียมเอาไว้ให้ พวกคุณพอใจกันรึเปล่า

นี่เป็นครั้งแรกสำหรับผมเลยนะที่มีความรู้สึกว่าการทำท่าทางประกอบเพลงกิจกรรมเข้าจังหวะนั้นช่างเท่ห์มากมายขนาดนี้

เพลงหมัดออกกำลังกายยามเช้านี้ถูกสร้างคิดโดยคุณซูที่นำเอากระบวนท่าในศิลปะการต่อสู้เข้าประยุกต์ใช้ ส่วนชื่อของมันนั้น เขาเองก็ตั้งเอาไว้ให้เข้าใจง่ายเฉยๆ ถ้าเป็นผมนะผมจะตั้งชื่อให้กับเพลงหมัดนี้ศิลปะการต่อสู้พละ…”

“ที่แท้ท่วงท่าทั้งหมดนั่นมาจากกระบวนท่าในศิลปะการต่อสู้นี่เอง ถึงว่าทำไมถึงดูดีและเท่ห์นัก”

“ยิ่งไปกว่านั้น นอกจากจะได้ฝึกศิลปะการต่อสู้แล้วยังช่วยเสริมสร้างร่างกายแบบง่ายๆอีก”

“พวกท่าทางพละที่ฉันใช้มาก่อนหน้านี้เทียบไม่ติดเลย ฉันเองก็อยากจะลองทำตามดูสักหนหนึ่งเหมือนกัน”

ตอนนี้เหล่านักเรียนของโรงเรียนมัธยมต้นที่หนึ่งแห่งเมืองจงหยุนแห่งนี้ ได้พูดคุยกันเกี่ยวกับเพลงหมัดชุดนี้กันอย่างไม่หยุดปาก แม้แต่อาจารย์ใหญ่เองก็แสดงความตื่นเต้นออกมาอย่างเห็นได้ชัด

ตอนที่มีการแสดงเพลงหมัดนี้ นักเรียนหลายๆคนเองก็ได้ลองทำตามเพลงหมัดนี้ในทันทีเหมือนกัน

โดยส่วนใหญ่ท่วงท่าที่ใช้ประกอบเพลงในโรงเรียนนั้นเป็นออกแนวเต้นกันเสียเป็นส่วนมาก

มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่จะมีการใช้ท่วงท่าของศิลปะการต่อสู้มาประกอบ แถมยังนำมาเป็นเพียงส่วนหนึ่งไม่ใช่ทั้งหมดแบบของซูจิ้ง

แน่นอนว่าเพลงหมัดนี้จะเป็นที่นิยมของนักเรียนในไม่ช้าอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นโดยพื้นแล้วกระบวนท่าที่ซูจิ้งนำมาใช้ก็สมควรจะมาจากเพลงหมัดวัวคลั่งที่เป็นเพลงหมัดที่วิเศษอย่างยิ่ง

มีหลายๆคนพูดกันว่าเพลงหมัดนี้มีผลต่อการรักษาความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในระบบประสาท

แถมยังเสริมสร้างสมรรถภาพของร่างกาย เพลงหมัดออกกำลังกายยามเช้านี้เองก็สมควรจะมีความสามารถคล้ายคลึงกันอย่างแน่นอน

“เพลงหมัดศิลปะการต่อสู้พละนี้ช่างดีจริงๆ” อาจารย์ใหญ่พยักหน้าพูดออกมาแล้วหัวเราะจนดังลั่น

“ผมว่าเราควรเสนอ ผอ. ให้บรรจุเพลงหมัดนี้ในช่วงกิจกรรมเข้าจังหวะยามเช้าของพวกเรานะครับ”

“ฉันเองก็คิดอย่างนั้นนะ แต่ก่อนหน้านั้นเราคงต้องให้อาจารย์พละศึกษาไปเรียนมาก่อนแล้วกัน หลังจากนั้นค่อยเสนอในที่ประชุมอีกที” อาจารย์ใหญ่พูดออกมา

 

“เหอะเหอะ สงสัยไอ้เจ้าเพลงหมัดศิลปะ… อะไรนี่จะต้องได้รับความนิยมแหงๆ” จูเจียนฮัวที่เห็นบรรยากาศรอบข้างในตอนนี้ได้แต่ทำท่าโง่งมออกมาเล็กน้อย

“ตอนแรกฉันก็คิดว่าซูจิ้งนั้นอับจนหนทางจนต้องเอากิจกรรมเข้าจังหวะมาแสดงแทน ไม่คิดเลยว่าหมอนั่นจะปรับปรุงจนเป็นที่ลือเลื่องขนาดนี้ในเพียงพริบตา

ช่างหาใครเปรียบได้จริงๆหมอนี่” เป็งหมิงได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม แม้แต่ลู่ชิงหยาและหยางเว่ยเองก็ทำได้เพียงยิ้มโดยไม่พูดอะไรออกมา

ในตอนนี้เจียเจิ้งหนิง หยางตง และหลิวหยง ที่นินทาว่าร้ายซูจิ้งจนเสียงดังลั่นในตอนแรกนั้น ครานี้พวกเขาได้แต่จ้องไปยังซูจิ้งในตอนนี้มีท่าทางอยากจะขุดหลุมหายไปซะตอนนี้เลยทีเดียว

 

การแสดงยังคงดำเนินต่อไปโดยโปรแกรมถัดๆมาเองก็ยังเป็นการแสดงของเหล่านักเรียนของโรงเรียนมัธยมต้นที่หนึ่งเมืองจงหยุน

หลายๆคนเองก็เริ่มรู้สึกภายในใจแล้วว่า ไม่ว่าการแสดงต่างๆตั้งแต่ต้นจนมาถึงบัดนี้ ไม่ว่าจะเป็นร้องเพลง เต้นรำ ดวลเต้น

บรรยากาศช่างต่างกับตอนที่คนของซูจิ้งขึ้นมาแสดงเพลงหมัดออกกำลังกายยามเช้านั่นเป็นไหนๆ

จนในที่สุดก็มีการแสดงหนึ่งที่ช่วยดึงบรรยากาศของงานขึ้นมาได้ นั่นคือการท้าดวลร้องเพลงฮิบฮอบระหว่างนักเรียนชายและนักเรียนหญิง

ถึงแม้จะมีความผิดพลาดระหว่างการดวลเพลงกันมากบ้าง น้อยบ้าง แต่การแสดงก็ยังคงไหลลื่นจนถือได้ว่าใช้ได้ดีเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตามหลังจากที่การดวลร้องเพลงนี้จบลง บรรยากาศในงานก็รู้สึกตกลงอีกครั้ง แต่การแสดงก็ยังคงดำเนินต่อไปอีกเล็กน้อย

ในที่สุดก็มาถึงการแสดงสุดท้ายแล้ว นั่นทำให้นักเรียนบางคนยังรู้สึกไม่เต็มอิ่มจึงหันมาคุยกันว่า

“รุ่นพี่จิ้งเขาจะแค่มาคุมการแสดงเพลงหมัดออกกำลังกายยามเช้านั่นอย่างเดียวจริงๆหรอ การแสดงที่พี่จิ้งเตรียมมามีแค่อันนั้นอย่างเดียวจริงๆอ่ะ”

“ฉันก็ว่าการแสดงของพี่จิ้งที่จัดในงานนี้แค่อันเดียวน้อยเกินไปจริงๆ ฉันว่าต่อให้เขาต้องหาการแสดงมาแสดงทั้งงานเลยก็ยังสบายๆนะนั่น”

“เดี๋ยวนะ รุ่นพี่ซูจิ้งไม่ได้นั่งอยู่ตรงเก้าอี้แขกพิเศษนี่นา”

“ทำไมเขาถึงไม่อยู่ล่ะ หรือว่าเขากลับไปก่อนแล้ว”

“ฉันว่าไม่นะ ฉันเองก็แอบจ้องไปที่เขาบ่อยๆก็ไม่เห็นว่าเขาจะได้ออกไปไหนเลย อีกอย่าง แฟนของรุ่นพี่เขายังนั่งอยู่นี่เลยนะ”

“งั้นก็เป็นไปได้ว่า รุ่นพี่ไปหลังเวทีรึเปล่า”

 

เมื่อนักเรียนคนนั้นเห็นว่าซูจิ้งได้เดินไปยังหลังเวทีและทำการพูดคุยกับเพื่อนนักเรียนของเขาที่มีหน้าที่ดูแลเวที เธอได้แสดงท่าทางตื่นเต้นออกมาในทันที

ทันใดนั้น พิธีการได้พูดออกมาว่า “รายการต่อไป ในที่สุดก็มาถึงกันแล้วนะครับ รายการนี้จะเป็นรายการสุดท้ายของค่ำคืนนี้ และผมขอรับประกันได้เลยว่ามันต้องเป็นรายการที่สุดพิเศษอย่างแน่นอน

ผมเองก็รู้และหวังเหมือนๆกับใครหลายๆคน ที่อยากจะได้เห็นการแสดงของคุณซูจิ้ง

ถ้าถามผมนะ ผมเองหวังที่สุดว่าการแสดงสุดท้ายนี้อยากให้คุณซูได้เล่นเพลงกู่จิ้งสักเพลง

ซึ่งนั้นก็ได้กลายเป็นจริงแล้ว วันนี้คุณซูจิ้งจะมาเล่นเพลงกู่จิ้งที่เขาตั้งชื่อเอาไว้ว่า “หลงลืมบึงน้อยในแอ่งน้ำใหญ่” เชิญรับชมและรับฟังกันได้แล้วครับ ”

 

เพียงสิ้นเสียงพิธีกร เหล่านักเรียนและคุณครูบางคนที่เป็นแฟนคลับของซูจิ้งถึงกับโห่ร้องออกมาด้วยความยินดี

“เพราะเจ้า ในที่สุด แถมยังเป็นเพลงใหม่อีกด้วย”

“ฉันรู้จักและจำเพลงของพี่จิ้งได้ทุกเพลงเลยนะ และไม่มีทางลืมโดยเด็ดขาดถ้ามันเคยมีอยู่บนอินเตอร์เน็ต เพลงนี้เองก็สมควรเป็นเพลงใหม่อย่างแน่นอน”

“วันนี้ช่างเป็นวันที่ดีจริงๆ”

 

ทันใดนั้นเองม่านบนเวทีก็ได้เปิดออก ซูจิ้งในตอนนี้ นั่งอยู่เพียงคนเดียวอยู่กลางเวทีโดยมีกู่จิ้งตัวหนึ่งวางอยู่ตรงหน้าของเขา

รอบตัวเขาในตอนนี้หาได้มีแดนเซอร์มายืนอยู่ข้างๆ ถ้าจะพูดตรงก็คือเขานั้นเพียงแค่นั่งเฉยๆเพื่อรอเวลาอันเหมาะสม แต่นั่นก็ยังคงรียกเสียงเชียร์อย่างล้นหลาม

จนผ่านไปสักพัก บรรยากาศโดยรอบถึงได้ค่อยๆเงียบสงบ และนั่นเองก็เป็นสัญชาตญาณโดยธรรมชาติของทุกคนที่จะนิ่งเงียบสนิทและฟังอย่างตั้งใจ

 

ซูจิ้งไม่ได้แสดงกริยาท่าทางอะไรออกมา เขาเพียงแต่ยกมือขึ้นอย่างนุ่มนวล และค่อยๆกดลง บรรจงจับไปยังสายของกู่จิ้งสายหนึ่ง

ก่อนที่จะดึงขึ้นเล็กน้อยและปล่อยให้สายกระทบกับแอ่งไม้จนเกิดเสียงก้องกังวานออกมา ดังตริ๊งงงง

เสียงที่เกิดขึ้นเพียงเสียงเดียว ทุกคนที่ฝังต่างก็รู้สึกได้ถึงความนุ่มนวลและแผ่วเบาของน้ำที่ถูกขังเอาไว้ในแอ่งน้ำที่ไหนสักแอ่ง

ท่วงทำนองที่สัมผัสช่างให้ความรู้สึกสง่างาม ประณีต และทรงพลัง

สาวๆในตอนนี้ต่างก็เห็นซูจิ้งแล้วพลางนึกไปว่าตรงหน้าของพวกเธอคือบุรุษที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาแรมปี

ผู้ซึ่งกำลังหยิบหนังสือกวีโบราณมาเปิดอ่านอย่างสบายอารมณ์

ต่อให้โลกภายนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้น ต่อให้ตรงหน้าคือสาวสวยปานเทพธิดาฟ้าประธาน ต่อให้มีชื่อเสียง เงินทอง หรือเพชรพลอยมาอยู่ตรงหน้า เขาก็หาได้ใส่ใจไม่

เสียงเพลงยังคงบรรเลงต่อไปท่ามกลางแนวทางการเล่นที่สื่อถึงการไม่สนใจสิ่งใดในโลกา มีเพียงสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น

สำหรับเหล่าชายหนุ่มในตอนนี้นั้น พวกเขาต่างก็รู้สึกอย่างเดียวกันนั่นก็คือตรงหน้าของพวกเขาคือหญิงสาวอันงามสง่า สวยงาม และสนิทสนมจนสามารถอยู่เคียงข้างได้

แต่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม เธอคนนั้นก็ยังมัวแต่อ่านหนังสืออยู่ดี

ภาพที่ทั้งชายและหญิงเห็นนั้นที่เหมือนกันที่สุดก็คือ คนๆหนึ่งที่งามสง่า ประดุจฟ้าประทาน และหน้าหลงใหล หาได้ใส่ใจสิ่งใดๆในโลกา มีเพียงหนังสือคู่ใจที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้นที่คู่ควร

เหล่านักเรียน คุณครู และศิษย์เก่า ตลอดจนนักข่าว และแฟนคลับ ที่กำลังดูการสตรีมอยู่ตอนนี้ ต่างก็เคลิบเคลิ้ม

ดื่มด่ำไปกับเสียงเพลง จนลืมปัญหาต่างๆที่รอคอยพวกเขาอยู่บนโลกแห่งความจริง สนใจเพียงบทกวีที่ปรากฎอยู่ในหนังสือ ช่างเป็นความรู้สึกที่ดีจนไม่รู้จะดียังไงแล้ว

 

เพลงได้บรรเลงไปอยู่นานจนกระทั่งสิ้นสุดลง

มีเพียงความเงียบเพียงชั่วครู่เท่านั้นที่ได้เข้ามาครอบคลุมในพื้นที่ ในทันทีที่ทุกคนรู้สึกตัวก็ต่างโห่ร้องออกมาด้วยความยินดีและอบอุ่นจนรับรู้ได้ไปทั่วห้องประชุม

“สุดยอด ช่างมหัศจรรย์ยิ่งนัก”

“ช่างเป็นแนวการเล่นที่แปลกพิศดารจริงๆ พอได้ฟังอย่างนี้แล้วฉันรู้สึกว่าอยากจะชิงทุนการศึกษาซะแล้วสิ”

“เห็นด้วย ฉันเองนั้นตอนนี้แล้วก็ยังไม่เคยทำอะไรที่มันเป็นชิ้นเป็นอันเลยในชีวิต ตอนนี้ฉันรู้สึกเหมือนความกังวลที่ไหลผ่านไปราวกับสาวน้ำและทะเลสาบ จนเหมือนกับว่าทุกสิ่งทุกอ่ย่างในชีวิตช่างสงบสุขเสียจริงๆ”

“พี่จิ้ง สุดยอดดดดด”

“พี่จิ้ง ฉันรักพี่นะ….”

และคนที่ตื่นเต้นเหนือกว่าใครๆในตอนนี้นั่นก็คืออาจารย์ใหญ่ ประธานนักเรียน และเหล่าคุณครูทั้งหลาย

ทันทีที่พวกเขาได้ยินเพลงบรรเลงนั้นต่างก็ตกใจจนต้องลุกขึ้นยืนฟังกันทุกคน

ไม่ใช่ว่าพวกเขาฟังไม่รู้เรื่องหรืออย่างไรแต่เป็นท่วงทำนองที่ลึกซึ้งกินใจ

และแนวทางเพลงที่ช่วยปัดเป่าปัญหาต่างๆในชีวิตการทำงานทั้งหลายแหล่

ไม่ว่าจะเป็นการหาวิธีให้เด็กนักเรียนของตัวเองตั้งใจเรียน เรียนรู้เรื่องจนได้เกรดดีๆ

ไหนจะเรื่องการวางแผนการสอน ไหนจะเรื่องการหาทุนมาสนับสนุนเด็กๆ ไหนจะต้องผลักดันให้เด็กประสบความสำเร็จในชีวิต

ท่ามกลางความมุ่งหวังเหล่านั้นในสภาพที่จำกัดจำเขี่ยของคุณครูแต่ละคน

 

ในตอนแรกก่อนที่พวกเขาจะลุกขึ้นยืนฟังนั้น แวบแรกที่ได้ยินพวกเขาเพียงแค่คิดว่าเพลงนี้เป็นเพียงเพลงที่ดีเพลงหนึ่งเท่านั้นเอง

แต่ยิ่งฟังไปก็ยิ่งรู้สึกดี ยิ่งฟังไปจิตใจก็ปลอดโปล่ง ยิ่งฟังก็ยิ่งทำให้จิตใจสงบสุข เมื่อพวกเขาได้ฟังการจนจบแล้วต่างก็คิดไปว่าเพลงแบบนี้สามารถเล่นได้บนโลกนี้ได้ยังไงกัน

ถ้าพวกเขารู้ว่ามีเพลงที่กล่อมเกลาจิตใจได้ขนาดนี้ล่ะก็คงจะหาฟังตั้งนานแล้ว ไม่มัวแต่ไปหาทางให้จิตใจสงบสุขแบบเป็นหน้าเป็นหลังแล้วก็ไม่ได้ผลอะไรเลยสักนิด

ตราบใดที่มีเพลงนี้ พวกเขาจะเปิดนั่งฟังให้จิตใจสงบสุขพร้อมเผชิญปัญหาทึกวันได้อย่างแน่นอน

 

และเช่นเคย เพลงหลงลืมบึงน้ำน้อยในแอ่งน้ำใหญ่นี้ หาได้เป็นเพลงที่มาจากโลกนี้แต่อย่างใด เพลงๆนี้มาจากห้วงเวลาฯเทพจากฝั่งตะวันตก

บทเพลงนี้เป็นบทเพลงที่พ่อของภูตน้อยเทียนไหล เขานั้นถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะบุคคลทางได้บทกวีและเสียงเพลง

เขาเข้าใจถึงแก่นแท้แห่งท่วงทำนองของบทเพลง บทกวี ดนตรี และเข้าใจถึงแก่นแท้ของแต่ละแนวเพลงอย่างลึกซึ้งจนถึงระดับที่เรียกได้ว่าคนทั่วไปเทียบไม่ติด

ถึงแม้ซูจิ้งจะสามารถเข้าถึงเพลงนี้ได้แค่เพียงเศษก็ตาม แต่ยังแล้วกับคนธรรมดาเพลงนี้คือเพลงที่ช่วยชำระล้างจิตใจได้อย่างหมดจดเลยทีเดียว