ฤดูร้อนของฉางอันเป็นเหมือนเข่งรองนึ่ง ช่วงที่ร้อนที่สุดของวันไม่ใช่ตอนเที่ยงแต่อย่างใด กลับเป็นช่วงเวลาบ่ายที่ทรมานกว่า วันนี้อากาศดีทีเดียว ไม่มีก้อนเมฆ ตามพิธีของราชสำนักแล้ว ฝ่าบาทอยู่ใต้ร่มหวางลัว ขุนนางก็จะต้องยืนอยู่ใต้ท้องฟ้าสีคราม สวมชุดเครื่องแบบหนักๆ ไว้บนตัว ยืนอยู่ใต้แสงแดดถูกแผดเผาเป็นเวลากว่าสองชั่วโมงเต็ม ข้างหน้าเต็มไปด้วยสมบัติล้ำค่าและความโมโหที่มีอยู่เต็มอก ไม่ทันได้รู้ตัวก็มีคนสูงวัยและคนอ่อนแอเป็นลมแดดไปแล้วสองสามคน ที่เหลือก็พยายามยืนหยัดจนหน้าแดงหน้าดำเพราะไม่อยากให้เสียพีธี
แต่เมื่อหลี่ซื่อหมินกำลังมีความสุขที่ได้เจอกับอวิ๋นเยี่ย เขาก็ลืมความทรมานของเหล่าขุนนางที่ยังคงยืนให้แสงแดดแผดเผาอยู่ หรือว่า เขาจงใจกันแน่?
มีเหล้าที่มาจากหลิ่งหนาน อวิ๋นเยี่ยก็ไม่นึกสนใจแสงแดดที่แผดเผาของฉางอันมากนัก ฝ่าบาทอยากจะฟังเรื่องราว เช่นนั้นก็ย่อมได้ ความจริงข้าก็อยากจะจบสิ้นกระบวนการส่งมอบสมบัติล้ำค่านี้เร็วๆ ทว่าฮ่องเต้ไม่อนุญาต ข้าจะทำอะไรได้ ระบายออกมาหน่อยก็ดีเหมือนกัน
อวิ๋นเยี่ยวางกล่องในมือลงบนกองสมบัติล้ำค่า ถือโอกาสหาที่ที่ร่มเย็น นั่งลงและเริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้หลี่ซื่อหมินฟัง
“เรื่องนี้ต้องเริ่มจากวันที่กระหม่อมออกไปจากพระราชวัง…ต่อมากระหม่อมก็เจอทองคำที่ริมฝั่งแม่น้ำ จึงได้บอกวิธีการขุดทองให้กับโต้วเยี่ยนซาน…”
หลี่ซื่อหมินฟังอย่างหลงใหล เรื่องที่เขาชอบที่สุดในชีวิตก็คือเรื่องการต่อสู้ด้วยความเฉลียวฉลาดและความกล้าหาญ หมกมุ่นอยู่กับเรื่องราวจนดึงตัวเองออกมาไม่ได้ ไม่สนใจเสียงที่ดังมาจากทางด้านหลังเลยแม้แต่น้อย
“ฝ่าบาท วันนี้อากาศร้อนเกินไป ฝ่าบาทโปรดยุติพิธีราชสำนักโดยเร็ว ตอนนี้มีขุนนางหกคนไม่สบาย เป็นลมไปแล้วขอรับ”
ในที่สุดฝางเสวียนหลิงก็ทนไม่ไหวจึงพูดเตือนฝ่าบาทเสียงดังจนปลุกฮ่องเต้ออกมาจากจินตนาการได้สำเร็จ หลี่ซื่อหมินมองไปข้างหลังเขาอย่างไม่พอใจ ก่อนจะตกอกตกใจ บนพื้นมีขุนนางตั้งหลายคนนอนน้ำลายยืดอยู่ กำลังรับการรักษาจากหมอหลวง
“ไอ้หยา เราคิดว่าเราอยู่ในกองทัพ รีบรักษาเร็วๆ คนอื่นๆ ก็พากันไปพักที่ร่มดื่มซุปแก้ร้อนในแล้วกัน เวลาเข้าเฝ้าของวันนี้นานไปหน่อย”
เหล่าขุนนางถึงได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ผู้คนกลุ่มหนึ่งตรงไปที่ตำหนักไท่จี๋ พากันกอดชามซุปน้ำบ๊วยที่ใส่น้ำแข็งอย่างบ้าคลั่ง มีเพียงจางเลี่ยงเท่านั้นที่มีท่าทางสงบนิ่ง เดิมทีเขาก็ไม่ได้รู้สึกถึงความร้อนของแสงแดดข้างนอกเลยแม้แต่น้อย เขาเพียงหยิบชามซุปน้ำบ๊วยขึ้นมาราวกับเครื่องกล แล้วก็ค่อยๆ ชิมทีละคำ
“จางกงช่างมีน้ำจิตน้ำใจเสียจริง ตอนนั้นบริจาครายได้ทั้งหมดที่ได้จากหลิ่งหนาน และเขียนจดหมายให้หลานเถียนเซียนโหวขอให้เขาอย่าเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว วันนี้เห็นสมบัติล้ำค่ามากมายเช่นนี้ แต่ก็ยังคงมีท่าทางสงบนิ่ง ช่างเป็นแบบอย่างที่ดีเสียจริง ข้าไม่มีอุดมคติที่สูงส่งเช่นจางกง แค่อยากจะเป็นผู้ดูแล ผู้ดูแลที่อยากจะให้คนในตระกูลกินอิ่มนอนหลับก็พอ ตอนนี้ตระกูลเหยาได้รับความสูญเสียอย่างหนักภายใต้การเรียกร้องของเจ้า หากไม่ใช่เพราะตู้เซียงขอร้อง อวิ๋นโหวลดหย่อนเก็บส่วนของข้าแค่หกส่วน คนทั้งตระกูลของข้าก็คงจะหิวตายไปนานแล้ว มีเพียงจางกงเองที่อยากจะปีนขึ้นไปเป็นกั๋วกง เป็นนายท่าน หรืออาจจะมีความคิดอื่น แต่ก็ช่างมันเถอะ แล้วเหตุใดถึงต้องดึงพวกข้าเข้าไปซวยด้วย ถึงตอนนี้แล้วก็น่าจะมีคำอธิบายให้พวกข้าใช่หรือไม่”
“ความร่ำรวยทำให้จิตใจคนสั่นคลอน ข้ามันเป็นคนไม่มีอนาคต ก็แค่อยากจะหาเงินให้ที่บ้านเพิ่มอีกสักหน่อย สร้างรากฐานให้แก่ลูกๆ หลานๆ ตอนนั้นพวกเราต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ไม่ใช่เพื่อวันนี้หรอกหรือ ดีเหลือเกิน วันนี้ความร่ำรวยของครึ่งชีวิตที่ผ่านมาหายไปหมดแล้ว เหล่าจาง เจ้าควรจะให้ค่าตอบแทนข้าบ้างใช่หรือไม่”
จางเลี่ยงปากสั่นพูดอย่างโมโหว่า “ตอนนั้นข้าบอกแค่ว่าตระกูลข้าจะบริจาค ไม่ได้บอกว่าตระกูลของพวกเจ้าก็บริจาค พวกเจ้าสมัครใจบริจาคเอง เกี่ยวอะไรกับข้า”
ขุยกั๋วกงหลิวหงจีเป็นคนอารมณ์ร้อน ได้ยินจางเลี่ยงพูดเช่นนี้ เขาก็ด่าด้วยความโมโห “เหลวไหล ขุนนางอย่างพวกเราเดิมทีก็เป็นหนึ่งเดียวกันอยู่แล้ว ตอนแรกอวิ๋นเยี่ยหาทางลัดให้ข้าร่ำรวย เป็นช่องทางที่ดี ไม่ละเมิดกฎหมายของประเทศ และก็ไม่จำเป็นต้องยักยอกรับสินบน ทำมันได้อย่างเปิดเผย เงินสะอาดที่ได้มาอย่างเที่ยงธรรม ตอนนี้เหลือไม่ถึงครึ่ง เจ้ายังจะปากแข็ง หากไม่ใช่เพราะเจ้าบังคับให้ข้าเดินไปจนถึงทางตัน ข้าจะลุกขึ้นมาบริจาคหรือ ตอนนั้นถึงแม้ว่าจะไม่บริจาค แต่ส่วนที่ใหญ่ที่สุดของหลิ่งหนานก็คือของฝ่าบาท รายได้ของฝ่าบาทเพียงพอที่จะสนับสนุนการโจมตีซีเจิงแล้ว ตอนที่อวิ๋นเยี่ยอยู่ที่หมิงโจว เขาก็ได้เก็บเงินไว้ในคลังเงินให้ฝ่าบาทเก้าแสนเหรียญ แต่มันก็ยังไม่เท่าครึ่งหนึ่งของที่หลิ่งหนาน ที่จริงสิ่งของที่วางอยู่ข้างนอกในนั้นมีส่วนของข้าอยู่ เจ้าจะชดใช้ให้ข้าหรือ”
“หลิวหงจี รายได้ของข้าที่หลิ่งหนานถูกอวิ๋นเยี่ยเอาไปหมดไม่เหลือแม้แต่บาทเดียว แม่ทัพตระกูลข้าก็ถูกหงเฉิงกับอู๋เสอฆ่าตายไปแล้ว ข้างในนี้มีเงาของอวิ๋นเยี่ย อย่างน้อยพวกเจ้าก็สูญเสียไปแค่สี่ส่วน แต่ข้าไม่ได้อะไรเลย ข้าไปบอกใครได้บ้าง”
“มันสมควรแล้วนี่ ถึงแม้ว่าข้าจะหื่นกาม แต่ก็ไม่มีความกล้าที่จะคิดอะไรกับท่านหญิง ข้ายังอยากมีชีวิตอยู่ หากอวิ๋นเยี่ยไม่ยึดทรัพย์เจ้า จะให้ไปยึดทรัพย์ใคร? เจ้าลองดูคนที่อยู่ที่นี่ นอกจากแม่ทัพตระกูลของเจ้าตายไปหมด ตระกูลใครมีคนตายอย่างไร้เหตุไร้ผลหรือ นอกจากตายในสนามรบ คนของตระกูลข้าที่เหลือแค่ขาข้างเดียวไปถึงลั่วหยางแล้ว เอาเงินสี่ส่วนที่เหลืออยู่กลับมาทั้งหมด อวิ๋นเยี่ยยังเอาสิ่งของที่ขายง่ายและมีค่าเหลือไว้ให้ข้า ล้วนแต่เป็นของกองทัพ น้ำใจครั้งนี้ข้ารับเอาไว้แล้ว หากอวิ๋นเยี่ยจะพาคนไปบุกตระกูลเจ้า ไม่แน่ข้าอาจจะแอบเตะเจ้าสักทีหนึ่งอย่างลับๆ”
“เจ้ามัน…” จางเลี่ยงอยากจะเอ่ยปากด่าคน ทว่าพึ่งจะอ้าปาก กำปั้นของหลิวหงจีก็สวนเข้าไปที่หน้าของจางเลี่ยงเต็มๆ
ฝางเสวียนหลิงและตู้หรูฮุ่ยถือชามซุปน้ำบ๊วย หลบรองเท้าที่ลอยผ่านมา หลบอยู่ข้างหลังเสาแล้วกระซิบกระซาบกันอย่างเงียบๆ
“เหล่าตู้ ครั้งนี้ฝ่าบาทได้ส่งแม่ทัพที่มีความสามารถทั้งหมดออกไปหมด ที่เมืองหลวงเหลือแค่เพียงตัวอ่อนพวกนี้ ดูเหมือนว่าฝ่าบาทคงจะต้องจัดการกับพวกขุนนางที่ไร้กฎระเบียบพวกนี้บ้างซะแล้ว แต่ละคนรู้จักแต่จะหาผลประโยชน์ให้กับตระกูลตัวเอง ไม่ได้สนใจความปลอดภัยของประเทศชาติเลยแม้แต่น้อย เทียบไม่ได้กับตระกูลเฉิง หนิว อวิ๋นและฉินทั้งสี่ตระกูลที่ไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะยอมเสียสละเพื่อประเทศชาติ ความแตกต่างระหว่างพวกเขาหนักหนาเกินไป เจ้าดูสิ สงครามใหญ่ครั้งนี้จบลง ทั้งสี่ตระกูลคงจะได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นไปอีกขั้นอย่างแน่นอน”
ตู้หรูฮุ่ยเอนคอออกไปมองที่หลี่ซื่อหมินและอวิ๋นเยี่ยที่กำลังหัวเราะอย่างมีความสุข จากนั้นก็พูดต่อว่า “อวิ๋นเยี่ยคนนี้คู่ควรกับชื่อเสียงศิษย์ของท่านเซียนจริงๆ เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ที่อันตรายให้ปลอดภัย ความสามารถเช่นนี้ ฝ่าบาทจึงได้ให้ความสำคัญ ไม่มีการเพิ่มภาษีราษฎรแต่ประเทศชาติก็มีเงินใช้ที่เพียงพอ นี่คือความสามารถจากสรวงสวรรค์ ดูเหมือนเขาจะรู้ว่าบนโลกใบนี้มีความร่ำรวยอยู่ที่ไหน ไปเอาได้เช่นไร เจ้าจำภาพสำนักศึกษาบนเขาอวี้ซันที่เขาวาดได้หรือไม่ ตอนนั้นเรายังหัวเราะเยาะที่เขาไม่เจียมตัว ตอนนี้คิดดูแล้ว ไม่เกินยี่สิบปี เขาก็จะทำสำเร็จ วันที่สำนักศึกษาสร้างเสร็จก็คือวันที่เขาจะกลายเป็นเหวินจง”
ฝางเสวียนหลิงมองไปด้านหลังเสา เห็นว่าข้างนอกเงียบสงบ จางเลี่ยงนอนชักกระตุกอยู่กับพื้นราวกับก้อนโคลน ปากและจมูกของเขาเต็มไปด้วยเลือด เครื่องแบบขุนนางใหม่เต็มไปด้วยรอยเท้า ตรงเป้ากางเกงก็มีรอยเท้าจำนวนมาก เปลือยเท้าข้างหนึ่ง ดูไปแล้วช่างน่าสังเวช
หลิวหงจี แล้วยังมีตระกูลเผย ตระกูลจาง ตระกูลเหยา ตั้งหลายคนที่ลงไม้ลงมือไปเมื่อครู่ แต่ละคนดื่มซุปน้ำบ๊วยอย่างเงียบๆ หลิวหงจียังแก้เสื้อผ้าออกพัดไปตามสายลม ราวกับว่ารอยเท้าที่อยู่ใต้เป้าของจางเลี่ยงไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา
ฝางเสวียนหลิงสั่งให้คนรับใช้หารองเท้าของจางเลี่ยงไปใส่ให้เขา บอกกับหมอหลวงว่า “จางกงเป็นลมแดด ล้มหน้ากระแทกขั้นบันได พวกเจ้ารักษาเขาอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ให้คนพาเขาไปพักฟื้นที่บ้าน ข้าจะไปลาให้เขาเอง”
หลิวหงจีกัดฟันแล้วยกนิ้วโป้งให้กับฝางเสวียนหลิง จากนั้นก็ดื่มซุปน้ำบ๊วยต่อ ไม่ได้ลงสนามรบมาหลายปีแล้ว ตากแดดนิดหน่อย ทั่วร่างกายกลับรู้สึกผิดปกติซะอย่างนั้น
ขุนนางกับฮ่องเต้ พวกเขาสองคนที่เดิมอยู่ตรงลานเดินมาจนถึงริมแม่น้ำจินสุ่ย นั่งลงใต้ต้นหลิวแล้วพูดคุยกันต่อ
“พูดเช่นนี้ก็แสดงว่าโต้วเยี่ยนซานตายด้วยเงื้อมมือของเจ้าใช่หรือไม่”
“ฝ่าบาท จะพูดเช่นนี้ไม่ได้ เขาสู้กับจระเข้จริงๆ ได้รับบาดเจ็บด้วยกันทั้งคู่ถึงได้ตาย ไม่ใช่กระหม่อมฆ่าเขา”
“เหอะๆ เจ้ากับม้าของเจ้ากินไข่จระเข้ แล้ววิ่งไปฝั่งตรงข้ามของทะเลสาบ เห็นโต้วเยี่ยนซานพาพ่อบ้านที่บาดเจ็บไปยังที่ที่อันตรายแต่กลับไม่บอกให้เขารู้ นี่คือเจ้าวางแผนที่จะฆ่าเขา ยังจะเรียกร้องความบริสุทธิ์อะไรอีก”
“ฝ่าบาท โต้วเยี่ยนซานเป็นขุนนางหัวขโมย กระหม่อมคือตัวละครเชิงบวกในเรื่องราว ฝ่าบาทสงสารคนผิดหรือเปล่า กระหม่อมถูกเขาลักพาตัว ทนทุกข์ทรมาน ฝ่าบาทไม่รู้สึกว่ากระหม่อมน่าสงสารหรือ วั่งไฉที่อ้วนท้วนสมบูรณ์ผอมแห้งเหลือกระดูกอยู่เพียงไม่กี่ชิ้น ตอนนี้กระหม่อมยังถูกดวงอาทิตย์ที่หลิ่งหนานแผดเผาจนดำราวกับคนผิวดำ แต่ฝ่าบาทกลับเห็นใจเขา?”
“เจ้าจะไปรู้อะไร ประโยคที่ว่ารู้จักวีรบุรุษคนนั้นจริงๆ จึงให้ความสำคัญกับวีรบุรุษคนนั้น นี่คือสภาพจิตใจที่สุภาพบุรุษจำเป็นที่จะต้องมี นอกเหนือจากจุดยืน เมื่อเทียบกับโต้วเยี่ยนซานแล้ว เจ้าเป็นเหมือนคนสารเลวที่มีเล่ห์เหลี่ยมและเจ้าเล่ห์มากกว่า ใช้ทองคำเป็นเครื่องมือทำให้วีรบุรุษที่กล้าหาญและมีสติปัญญากลายเป็นคนหัวรุนแรง จากนั้นใช้ประโยชน์จากการที่ตัวเองไปถึงก่อนบังคับให้โต้วเยี่ยนซานจำเป็นต้องต่อสู้กับจระเข้ ทำให้ทั้งคู่ได้รับบาดเจ็บ ช่างน่าเสียดาย เมล็ดพันธุ์ที่ดีของวีรบุรุษที่กล้าหาญและมีสติปัญญา
สิ่งที่เจ้าทำในตอนสุดท้ายยังถือว่ามีความเป็นสุภาพบุรุษอยู่บ้าง เจ้าฝังเขา ทำอนุสาวรีย์ให้เขา หากเจ้าไม่ทำเช่นนี้ เราคงจะดูถูกเจ้าไม่น้อย อันที่จริงสิ่งที่หายากที่สุดในตัวเจ้าก็คือเจ้าไม่ดูถูกคู่ต่อสู้ของเจ้า เจ้ามีความเคารพต่อเขา เอาเรื่องที่เขาสู้กับจระเข้ หรือนั่นก็คือสถานการณ์ของสงครามมังกรไปเล่าให้กับคนอื่นฟัง ปกปิดด้านที่ไม่ดีของเขาและส่งเสริมด้านดี พฤติกรรมของสุภาพบุรุษเช่นนี้สามารถชดเชยความผิดพลาดของเจ้าได้
สิ่งที่เจ้าทำมักจะทำให้เราชื่นชอบมันจากใจจริง หลักการที่ควรมีก็มีไม่เคยขาด ท่าทางที่ควรมีก็มีไม่เคยขาด ความยืนหยัดที่ควรมีก็มีไม่เคยท้อถอย เด็กที่มีไหวพริบและชอบกระโดดโลดโผน ในที่สุดก็ได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว วิญญาณท่านอาจารย์ของเจ้าที่อยู่บนฟ้าคงตายตาหลับได้” หลี่ซื่อหมินถอนหายใจ ทำท่าทางชื่นชมคนรุ่นหลังที่โตเป็นผู้ใหญ่
“ฝ่าบาท กระหม่อมอยากจะกลับบ้านเหลือเกิน กระหม่อมพร้อมที่จะกลับบ้านเดี๋ยวนี้ ฝ่าบาทโปรดปลดตำแหน่งขุนนางแม่ทัพเรือที่หลิ่งหนานของกระหม่อม กระหม่อมจะมอบตราประทับคืนเดี๋ยวนี้”
“เก็บไว้เถอะ แม่ทัพเรืออย่างเจ้าจะให้เราไปหามาจากที่ไหนได้อีก แม่ทัพคนอื่นรู้จักแต่ขอเงิน ขอเสบียงอาหาร ขอคนจากข้า มีแค่เจ้าที่จะทำให้กองทัพเรือที่ราวกับขอทานเจริญรุ่งเรืองและเก่งกาจขึ้นมาได้ถึงเพียงนี้ แล้วยังมีทรัพย์สมบัติมามอบให้กับคลังประเทศ คนเช่นนี้หากเราไม่ใช้งาน มันก็คงจะสิ้นเปลืองเกินไป กลับบ้านไปเถอะ เราให้เจ้าหยุดหนึ่งเดือน”
ถึงแม้ว่าจะไม่บรรลุเป้าหมาย แต่เมื่อได้ยินว่าได้หยุดหนึ่งเดือน อวิ๋นเยี่ยก็มีความสุขไม่น้อย คำนับหลี่ซื่อหมิน ขณะกำลังจะก้าวออกไปข้างนอก เพียงแค่เดินออกมายังไม่ถึงสองก้าว ก็ได้ยินหลี่ซื่อหมินพูดต่ออีกว่า
“กลับบ้านได้ไม่เป็นไร แต่เจ้าเอากล่องสมบัติในแขนเสื้อของเจ้าออกมาก่อนแล้วค่อยไป ของสิ่งนั้นถือว่าอยู่ในคลังประเทศแล้ว เป็นของต้าถัง ใครเอาไปจะต้องตาย เราไม่อยากออกคำสั่งตัดหัวเจ้าตอนนี้