สังคมระบบศักดินามีข้อเสียตรงนี้ มักจะชอบตัดหัวคนอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง หัวคนไม่ใช่หางตุ๊กแกที่ขาดออกไปแล้วจะงอกขึ้นมาใหม่ได้เสียหน่อย
เมื่อนึกถึงสมบัติล้ำค่าชิ้นนั้นอวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกเหมือนมีมีดแทงเข้ามาที่หัวใจ เพชรภูเขาแห่งแสง นี่คือชื่อที่อวิ๋นเยี่ยตั้งให้มัน เพชรที่มีขนาดเท่ากำปั้น หากวางไว้ใต้ดวงอาทิตย์แสงที่สะท้อนจากดวงอาทิตย์ไปตกกระทบจะทำให้คนมองแทบลืมตาขึ้นไม่ได้ เป็นสมบัติของชนเผ่าเผ่าหนึ่ง ในทุกฤดูใบไม้ผลิพวกเขาจะเอามันออกมาบูชาดวงอาทิตย์เพื่อให้เพชรสะท้อนแสงอาทิตย์เพิ่มอีกสักสองสามครั้ง พวกเขาขัดถูอย่างง่ายๆ ไม่กี่ส่วน
หลังจากที่หงเฉิงได้ยิน เขาก็ตาลุกเป็นไฟ พาคนไปล้อมรอบทั้งหมู่บ้านเอาไว้ ให้พวกเขาส่งมอบเพชรเม็ดนั้นมาให้ แลกกับผ้าลินินสองเกวียน มิฉะนั้นจะฆ่าพวกเขาทั้งหมด และตัวเองจะไปเอามาเอง
พลังแห่งความศรัทธาช่างมีอานุภาพ คนในหมู่บ้านกลืนน้ำลายปฏิเสธผ้าลินินสองเกวียน ผู้เฒ่าโง่ยังหยิบเพชรออกมาเพิ่มความแข็งแกร่งให้เหล่าทหารทุกคน ขอให้เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์คุ้มครองทหารของเขาให้ดาบฟันแทงไม่เข้า ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้
ตอนนี้ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องให้พวกเขาเป็นคนบุกโจมตี หงเฉิงที่ตาลุกเป็นไฟพุ่งเข้าไปฆ่าฟันอย่างรุนแรง ไม่ต้องพูดถึงเหล่าทหารที่ได้รับพรจากเทพแห่งดวงอาทิตย์ หงเฉิงผู้ถูกสมบัติล้ำค่าครอบงำ ถึงแม้ว่าตอนนี้เผชิญหน้ากับเทพแห่งดวงอาทิตย์ เขาก็กล้าที่จะลงไม้ลงมืออยู่ดี
ความจริงพิสูจน์แล้วว่าเทพแห่งดวงอาทิตย์เทียบกับเทพเจ้าแห่งความร่ำรวยไม่ได้ เหล่าทหารเหล่านั้นพากันล้มตายลงบนพื้นท่ามกลางลูกธนูที่ยิงออกมาราวกับสายฝน หน้าไม้สามขาของต้าถังไม่ใช่สิ่งที่เหล่าทหารที่ได้รับความคุ้มครองจากเทพแห่งดวงอาทิตย์จะต้านทานได้
เหล่าทหารล้มตายลง ผู้เฒ่ายืนถือเพชรอยู่บนยอดหน้าผา บอกหงเฉิงว่าหากไม่เอาผ้าลินินสี่เกวียนมาแลก เขาจะกระโดดลงไปพร้อมกับเพชรเม็ดนั้น หลังจากเสร็จสิ้นการต่อรองครั้งสุดท้าย ก็ยอมตกลงแลกกับผ้าลินินสามเกวียน
ท่ามกลางสายตาอันเฉื่อยชาของเหล่าทหารต้าถัง ผู้เฒ่าส่งมอบเพชรให้หงเฉิงอย่างพึงพอใจ ตัวเองพาทหารที่เหลืออยู่ลากผ้าลินินสามเกวียนกลับบ้าน เกวียนคันใหญ่ช่างเสริมสร้างบารมี ไม่ต้องบอก ผ่านไปไม่นานก็จะมีข่าวลือว่าผู้เฒ่าของหมู่บ้านชาญฉลาดเพียงใด เอาเม็ดหินเม็ดหนึ่งแลกผ้าลินินมาสามเกวียน ทุกคนมีเสื้อผ้าชุดใหม่สวมใส่ ส่วนทหารยี่สิบสามสิบคนที่ตายไปแล้วก็จะกลายเป็นเพียงเรื่องที่มีไว้ประดับตกแต่งที่ไร้ความสำคัญในนิทานตำนานของผู้เฒ่าก็เท่านั้น
ยิ่งเป็นการเมืองยุคดึกดำบรรพ์ก็ยิ่งโหดเ**้ยมเช่นนี้ เมื่อลดความเคร่งขรึมลงแล้วเผยความจริงที่ว่างเปล่าต่อหน้าหงเฉิง หลังจากได้ยินตอนต่อไปของนิทาน เขาก็รู้ว่าตัวเองกลายเป็นคนโง่ที่ถูกหลอกในนิทานเรื่องนี้ หงเฉิงไม่ได้โมโหแต่กลับหัวเราะจนน้ำตาไหล สุดท้ายก็กลายเป็นร้องไห้โหยหวน นับจากนั้นเป็นต้นมา เขาก็รังเกียจเพชรภูเขาแห่งแสงอันล้ำค่าเม็ดนี้เป็นที่สุด แม้แต่แตะยังไม่อยากจะแตะ รู้สึกว่าหินเม็ดนั้นสกปรกกว่าขี้หมาเสียอีก
ยอมแบกทองคำที่หนักสิบกว่ากิโล แต่ไม่ยอมแตะต้องเพชรที่มีมูลค่าสูงเม็ดนั้น อวิ๋นเยี่ยบอกเขาว่าทองคำแท่งนั้นมีชีวิตคนตั้งมากมาย แต่หงเฉิงก็เต็มใจจะแบกมันไว้ เขาคิดว่ามันเป็นทองคำที่สะอาดสะอ้าน และก็ไม่ยอมสัมผัสเพชรที่สกปรกเม็ดนั้นอีก เขาคิดว่าชีวิตคนไม่มีทางติดอยู่ที่ทองคำ นั่นคือบาปของอวิ๋นเยี่ย ไม่ใช่บาปของทองคำ ทฤษฎีที่แปลกประหลาดเช่นนี้ทำให้อวิ๋นเยี่ยสับสนอยู่นาน แต่ก็หาสาเหตุไม่เจอสักที คิดได้แค่ว่านี่คือความยืนหยัดของตัวเขาเท่านั้นเอง
เมื่อวางสมบัติล้ำค่าลง ถูกหลี่ซื่อหมินเตะสองสามที เดิมทีไม่ถูกเตะ แค่เพียงถูกก่นด่าเล็กน้อย แต่หลังจากที่หลี่ซื่อหมินเปิดกล่อง เห็นเพชรที่ราวกับดวงอาทิตย์ดวงใหม่ภายใต้แสงอาทิตย์ที่แผดเผา เขาก็โมโหขึ้นมาทันที เตะเข้าที่ขาอวิ๋นเยี่ยตั้งหลายทีจากนั้นก็ชี้ไปที่ประตูบอกให้ไสหัวไปเร็วๆ จะได้ไม่ทำให้เขาโมโหหนักไปกว่าเดิม
คนอะไร ข้าแค่อยากเอากลับไปวางอวดไว้ที่บ้านสักสองสามวัน ให้ลูกศิษย์สำนักศึกษาได้เห็นผลลัพธ์ของการเดินทางอันยาวนานของท่านอาจารย์ สุดท้ายก็ต้องเอาไปไว้ในคลังประเทศอยู่ดี ของสิ่งนี้เป็นสิ่งที่บ้านขุนนางควรจะมีหรือไม่ กระทั่งแม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังต้องเก็บมันไว้ในคลังประเทศด้วยซ้ำ มีพวกทูตมาเยือนถึงจะเอาออกมาโอ้อวดเป็นครั้งคราว
ท่าทางที่หลี่ซื่อหมินชอบทำมากที่สุดตอนนี้ก็คือแกล้งทำเป็นไม่ระวังทำจอกแก้วแตก ครั้งก่อนมีคนดุร้ายเข้ามาในกองทัพ ดุร้ายแบบที่ฆ่าศัตรูได้เป็นหมื่นๆ คน มีชื่อว่าสีจวินไหม่ หลังจากหลี่ซื่อหมินเรียกเข้าเฝ้า เฉลิมฉลองให้กับวีรบุรุษ กินดื่มอิ่มหนำสำราญกับเหล่าแม่ทัพ หลี่ซื่อหมินที่ถือจอกแก้วอยู่ในมือก็ยื่นจอกแก้วให้กับสีจวินไหม่ บอกให้เขาฆ่าศัตรูให้มากๆ สร้างความรุ่งโรจน์ให้กับประเทศชาติ ในตอนที่สีจวินไหม่กำลังจะรับจอกแก้วมาด้วยมือทั้งสองข้าง มือของหลี่ซื่อหมินพลันลื่น ทันใดนั้นจอกแก้วที่แวววาวก็ตกแตกเป็นชิ้นๆ ตอนนั้นสีจวินไหม่คุกเข่าลงและบอกว่าจะรับโทษประหาร หลี่ซื่อหมินหัวเราะและพูดว่ามีแม่ทัพที่กล้าหาญชาญชัยอย่างสีจวินไหม่ช่างเป็นความโชคดีของต้าถัง จอกแก้วเล็กๆ แค่นี้ไม่เป็นอะไรเลย ยังมีจอกแก้วแบบนี้อีกมาก เขาสั่งให้สาวใช้เอามันออกมา รินเหล้าจนเต็มแล้วยื่นให้สีจวินไหม่อีกครั้ง สีจวินไหม่ที่ซาบซึ้งดึงมีดออกมากรีดแขนจนเลือดไหลออกมา หยดเลือดไหลลงในจอกเหล้า ดื่มอึกเดียวจนหมดเกลี้ยง สาบานว่าจะหลั่งเลือดหยดสุดท้ายให้กับต้าถัง หลี่ซื่อหมินนึกพึงพอใจจึงส่งจอกแก้วอันนั้นให้กับสีจวินไหม่ แขกทั้งห้องต่างพากันพูดแสดงความยินดี ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตอนนั้นหากหลี่ซื่อหมินบอกให้สีจวินไหม่กอดระเบิดไประเบิดป้อมปราการของศัตรู เขาก็คงจะไม่ลังเลใจเลยแม้แต่น้อย
พึ่งจะถูกไล่ออกมาจากพระราชวัง ก็ได้เจอกับหลี่ไท่กำลังแสยะยิ้ม หยิบขวดเล็กๆ ออกมาและถามอวิ๋นเยี่ยว่า “ท่านอาจารย์ ท่านมีวิธีทำให้ของสิ่งนี้กัดไปที่คนคนเดียวโดยที่ไม่ไปยุ่งกับคนอื่นหรือไม่”
อวิ๋นเยี่ยเห็นแล้วก็โมโห ใครอนุญาตให้เขาเอามดตัวใหญ่ในเขาวงกตของสำนักศึกษาออกมา สัตว์ตัวนี้อันตรายเกินไป โดยปกติจะเลี้ยงไว้ในรางแก้วขนาดใหญ่ สำนักศึกษาต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการเลี้ยงจากหนึ่งร้อยตัวจนตอนนี้มีจำนวนเกือบๆ ถึงหมื่นตัว แต่ก็ยังเอาออกไปไว้ข้างนอกไม่ได้ เพราะความสามารถในการปรับตัวของมันแย่มาก มันจะอยู่ยงคงกระพันในทะเลทราย แต่ในฉางอันที่อากาศชื้นและมักมีฝนตกบ่อยๆ ทำให้มันไร้ความสามารถในการขยายพันธุ์ บ่อยครั้งที่มีนกมาเอาตัวมันไปอีก อวิ๋นเยี่ยได้แต่ปล่อยไปเพราะว่าทำอะไรไม่ได้ แต่ตอนนี้เจ้านี่กลับเอามันออกมาเป็นของเล่น หากถูกมันกัดเข้าให้ ก็คงไม่ต่างอะไรจากไม้คีมที่ถูกไฟเผา
หั่วจู้ เพื่อนร่วมชั้นที่ชอบเอาสัตว์นี้ออกมาเล่น ไม่ทันระวังจนถูกกัดเข้าให้ ร้องโหยหวนไปทั้งวัน และยังต้องอยู่ในความดูแลของซุนซือเหมี่ยวอย่างใกล้ชิด
“ใครให้เจ้าเอามันออกมาเล่น หากถูกกัด เจ้าก็คงรู้ผลที่ตามมา แม้แต่ท่านอาจารย์ซุนก็ยังไม่มีวีธีช่วยเจ้าบรรเทาความเจ็บปวด อันตรายเกินไปแล้ว แล้วอีกอย่าง หากสัตว์มันกลายพันธุ์ขึ้นมาแล้วตั้งรากตั้งฐานอยู่ในฉางอัน มันจะกลายเป็นหายนะครั้งใหญ่”
“ท่านทำให้ข้ากลัวอีกแล้ว ท่านคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่ามันไม่มีความสามารถในการขยายพันธุ์ ใครไม่มีอะไรทำจะไปเอามดตัวเมียออกมาทดลองเสมอ ข้าแค่อยากถามท่านว่า ท่านมีวิธีทำให้มันกัดแค่คนคนเดียวหรือไม่ ไม่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์คนอื่นๆ ได้หรือไม่ รีบบอกข้ามาเถอะ ข้ารีบอยู่”
ทันใดนั้นหัวของอวิ๋นเยี่ยก็มีใบหน้าที่รนหาที่โผล่ขึ้นมา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามดพวกนี้เตรียมไว้ให้เขา คิดเช่นนี้อวิ๋นเยี่ยถึงได้พูดว่า “ตอนเรียนไม่ตั้งใจเรียน มดตัวใหญ่ชนิดนี้มีหน้าที่ปกป้องมดตัวเมีย พวกมันจงรักภักดี ยอมตายเพื่อมดตัวเมีย วิธีที่พวกมันแยกแยะมดตัวเมียก็คือการดมกลิ่น จำไว้ อย่าปล่อยให้สิ่งที่เหมือนน้ำที่มดตัวเมียขับออกมาโดนตามร่างกาย มิเช่นนั้น มดพวกนั้นก็จะพากันมาหาเจ้า ต่อไปในชั้นเรียนต้องตั้งใจเรียน อย่าเลือกเรียนแต่วิชาที่ตัวเองชอบ”
หลี่ไท่โค้งคำนับขอบคุณอย่างมีมารยาท สำหรับคนที่สามารถไขปริศนาของเขาได้ เขามักจะมีมารยาทเป็นอย่างยิ่ง ช่างเป็นลูกศิษย์ที่ดีคนหนึ่ง
ออกมาจากพระราชวังครั้งนี้ เหล่าจวงพาวั่งไฉเดินตามอวิ๋นเยี่ยอยู่ข้างหลังไม่ห่าง เห็นอวิ๋นเยี่ยออกมาจากรพระราชวัง วั่งไฉก็วิ่งไปพร้อมกับถุงเงินที่ห้อยอยู่ใต้คอ สถานที่ที่คุ้นเคยทำให้วั่งไฉอารมณ์ดี
ขึ้นไปบนหลังของวั่งไฉ ไม่ต้องเร่ง วั่งไฉก็ร้องและวิ่งไปทางเขาอวี้ซันตามถนนจูเชวี่ย
ร่างกายของวั่งไฉแข็งแรงขึ้นไม่น้อย วิ่งมาจากฉางอันตลอดทางก็ไม่เห็นเหงื่อสักหยด เห็นซุ้มประตูสีแดงจากระยะไกล มันส่งเสียงร้องยาว เร่งความเร็วขึ้นเล็กน้อย ทิ้งเหล่าจวงและคนอื่นๆ อยู่ข้างหลังไกลๆ กีบเหล็กวิ่งอยู่บนถนนหินเริ่มลดความเร็วลง สะบัดตัวบอกให้อวิ๋นเยี่ยลงมา มันจะออกไปซื้อของ
คนรับใช้ของตระกูลอวิ๋นที่กำลังรออยู่หน้าประตู เมื่อเห็นท่านโหวกลับมาก็คุกเข่าลงบนพื้น ร้องไห้เหมือนพ่อแม่ของตัวเองตาย เตะเข้าให้คนละทีถึงได้หยุดร้อง เห็นวั่งไฉส่งเสียงออกมาทางจมูกอย่างไม่พอใจจึงรีบเข้าไปถอดสายรัดให้กับวั่งไฉ อีกคนหนึ่งตะโกนเสียงดังว่า “ท่านโหวกลับมาแล้ว!” ก่อนจะตะเกียกตะกายวิ่งเข้าไปข้างใน
ผู้คนในตลาดเห็นอวิ๋นเยี่ยใส่ชุดเกราะเต็มยศก็พากันโค้งคำนับแสดงความเคารพ อวิ๋นเยี่ยเองก็ยิ้มตอบรับพวกเขา ล้วนแต่เป็นคนบ้านเดียวกัน ทำท่าทางของท่านโหวไม่ค่อยดีนัก
“ท่านโหวลำบากแล้ว ได้ยินมาว่ากองทัพได้กวาดล้างเมืองที่ไม่เป็นพันธมิตรทางตอนใต้หลายสิบเมือง นำทรัพย์สมบัติจำนวนนับไม่ถ้วนมาให้ราชสำนัก ช่างมีความดีความชอบเหลือเกิน เหล้าดอกกุ้ยฮวาของเหล่าฮั่นพอใส่ผลไม้แห้งเพิ่มเข้าไปรสชาติไม่เลวเลย ท่านลองชิมดูเถิด”
ปฏิเสธไม่ได้ ภายในปีหนึ่งเหล่าฮั่นจะหมักเหล้าเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น เขาส่งมาให้ที่บ้านทุกครั้ง และถึงจะได้ของตอบแทนกลับไปเป็นเพียงแค่ขนม เขาก็จะดีใจเป็นครึ่งปี นี่คือศักดิ์ศรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา ยิ่งไปกว่านั้นเหล่าฮั่นยังเรียนรู้วิธีการชักชวนให้ดื่มเหล้า ดูเหมือนว่าจะฝึกฝนอยู่นาน ท่าทางการยกเหล้า กระดกนิ้วสองนิ้ว ไม่รู้ว่าไปเรียนมาจากไหน
ไม่เลวเลยทีเดียว กำลังกระหายน้ำอยู่พอดี เลยไม่ได้สนใจนิ้วที่กระดกขึ้นมาของชายแก่ หยิบจอกขึ้นมาดื่มจนหมด ยกนิ้วโป้งบอกว่าไม่เลว ชายแก่หน้าแดงขึ้นมาทันที จากนั้นก็พูดว่า “ท่านโหวกลับมาพร้อมกับชัยชนะครั้งใหญ่ ที่บ้านของข้าน้อยยังมีเหล้าเหลืออยู่ ข้าน้อยจะเอาไปให้ที่จวน ให้ท่านย่าได้ชิมบ้าง”
พ่อค้าหาบเร่ที่ขายเหล้าหมักกอดหัววั่งไฉร้องไห้ วั่งไฉที่เคยอ้วนท้วนกลายเป็นม้ารบตัวสูงใหญ่ ไม่หล่อเหลาเลยสักนิด คงเป็นเพราะไม่ได้ดื่มเหล้าหมัก ช่างน่าสงสารเสียจริง หิวโหยจนเป็นเช่นนี้ วันนี้ไม่ขายเหล้าหมักแล้ว เลียนแบบเขาบ้าง เอาดอกกุ้ยฮวาเทลงไปในเหล้าหมักแล้วให้วั่งไฉดื่ม วั่งไฉชอบจนเอาหัวยัดลงในถังไม้ ดื่มดำอย่างมีความสุข
ทั้งๆ ที่ถูกลักพาตัวไป แต่ตระกูลกลับแสดงท่าทางของนายท่านที่กลับมาพร้อมกับชัยชนะ ทุกคนต่างพากันไปต้อนรับที่หน้าจวน ท่านย่านั่งอยู่บนเก้าอี้ ถือไม้เท้ามองดูด้วยรอยยิ้ม หลานชายที่สง่างามใส่ชุดเกราะเต็มยศก้าวเข้ามาจากนอกประตู สำหรับนางแล้ว ไม่ว่าหลานชายจะดิ้นรนกลับมาอย่างน่าสังเวชหรือกล้าหาญชาญชัยก็ล้วนแต่เหมือนกัน ขอแค่เขากลับมาอย่างปลอดภัยก็เพียงพอ ส่วนเรื่องความดีความชอบ จริงๆ แล้วมันไม่สำคัญ
ท่านย่าแก่ขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่จะถูกลักพาตัวเส้นผมยังเป็นสีดำอยู่เลย ถึงแม้ว่าจะมีผมหงอกแทรกอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มากนัก เวลาเพียงแค่ปีเดียว แต่ผมหงอกกลับเต็มไปหมด
เขารีบเข้าไปคำนับ “ท่านย่า หลานกลับมาแล้ว” ท่านย่าลูบหน้าของอวิ๋นเยี่ยเบาๆ น้ำตาไหลแล้วพูดว่า “ดี ดีเหลือเกิน หลานชายข้ากลับมาแล้ว กลับมาแล้ว”
ซินเย่ว์ยืนอยู่ข้างๆ นางร้องไห้จนหมดแรง ลูกในอ้อมแขนเบิกตากว้างมองไปยังชายแปลกหน้าคนนี้ น่ารื่อมู่แบกท้องโตโดยมีสาวใช้ประคองอยู่ คอยมองมาที่ท่านพี่ด้วยรอยยิ้ม ทั้งบ้านก็มีแค่นางคนเดียวที่เข้มแข็ง