บทที่ 7 บทที่ 10 ฉันในอดีต

สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด

ข้อดีของฝนที่ตกเป็นช่วงๆ ก็คือมันเป็นฝนที่มาเป็นพักๆ เท่านั้น ไม่นานบนถนนก็เหลือเพียงน้ำขังที่ส่องสะท้อนแสงอาทิตย์เจิดจ้า แสงแดดตอนสี่โมงเย็นไม่ค่อยร้อนมาก อุณหภูมิไม่ได้สูงขนาดนั้นแล้ว 

 

 

หลังออกจากห้างสรรพสินค้าแล้ว เซวียเซ่าก็จูงมือสวี่เจียอี้ ครั้งนี้เขาเป็นคนเริ่มก่อน 

 

 

พวกเขาไม่พูดอะไร 

 

 

เหมือนทุกเย็นเมื่อหลายปีก่อนบนทางเดินกลับบ้านหลังเลิกเรียน พวกเขามักจะจูงมือ ไม่ว่าจะเป็นตอนฟ้ามืดครึ้ม ฟ้าสว่าง มีลมหรือมีฝน  

 

 

ทันใดนั้นสวี่เจียอี้ก็พูดว่า “นี่ไม่ถือว่าเป็นจูบระหว่างคู่รักนะ” 

 

 

เซวียเซ่ายิ้มและพูดว่า “ฉันเข้าใจ” 

 

 

สวี่เจียอี้มักจะดูเป็นผู้ใหญ่กว่าเขาเสมอ ไม่ว่าเมื่อก่อนหรือว่าตอนนี้ สิบเอ็ดปีที่ผ่านมานี้ของเขาและเธอต่างคนต่างมีเรื่องราวของตนเอง เซวียเซ่าคิดในใจว่า เรื่องราวของสวี่เจียอี้คงมีสีสันกว่าเขามาก 

 

 

เธอจะมีเรื่องราวที่มีสีสันอยู่เสมอ เด็กสาวที่กระตือรือร้นขนาดนี้ บางที…ฤดูร้อนหรือฤดูหนาวหนึ่งในสิบเอ็ดปีนี้เธออาจจะกระตือรือร้นขอให้ใครเลี้ยงอาหารเธอก็เป็นไปได้ 

 

 

เหมือนกับเมื่อหลายปีก่อน ตอนใกล้ค่ำของปิดเทอมฤดูหนาว ที่เธอขอให้ตนเองซื้อเค้กเลี้ยงเธอ 

 

 

เมื่อครู่เธอเพียงพูดว่า ทำให้เวลาหวนกลับมาได้สักหน่อยหรือเปล่า…ไม่ได้พูดว่าย้อนเวลากลับไปยังเมื่อก่อนได้หรือเปล่า 

 

 

การเดินจูงมือนี้เป็นการไล่ตามฝันในวัยเด็กของเขา ยังเด็กไม่เป็นผู้ใหญ่ ดื้อดึงอีกทั้งยังเคยไล่ตามความฝันอันเจ็บปวด  

 

 

พวกเขาไม่ได้กลับไปยังโรงแรม แต่ไปนั่งอยู่ที่ป้ายรถโดยสารข้างทางอยู่นาน 

 

 

เซวียเซ่าพูดว่าแต่ก่อนพวกเราก็ไม่ได้โง่ขนาดนี้ 

 

 

สวี่เจียอี้พิงไหล่เขาและพูดว่า “นายน่ะโง่จริงๆ โง่จนฉุดไม่อยู่” 

 

 

เขาไม่ปฏิเสธ เซวียเซ่าเพลิดเพลินไปกับความรู้สึกในตอนนี้ 

 

 

ความรู้สึกที่ความฝันยังดำเนินต่อไป 

 

 

แต่เขารู้ว่าถึงต่อก็เป็นเพียงเวลาสั้นๆ เท่านั้น บางทีเธออาจกำลังคิดคำนวนอยู่ในใจเช่นเดียวกัน 

 

 

ดังนั้นครั้งนี้เขาจึงเริ่มพูดขึ้นก่อนว่า “ครั้งหน้าจะแนะนำคู่หมั้นของฉันให้เธอรู้จัก” 

 

 

สวี่เจียอี้คิดครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ยังดีที่นายไม่ได้พูดว่าจะเชิญฉันไปงานแต่งงาน ถ้าเป็นแบบนั้นฉันคงร้องไห้แน่” 

 

 

เซวียเซ่าพูดขึ้นอย่างฉับพลันว่า “เธออยากมางานแต่งงานของฉันไหม” 

 

 

สวี่เจียอี้ยืนมือออกมาบิดหูของเซวียเซ่าอย่างแรง ทำปากยื่นและพูดว่า “ไม่ไป ไม่ไปแน่นอน”  

 

 

เซวียเซ่ากลับหัวเราะ ครั้งนี้เขาแกล้งเธอ 

 

 

สวี่เจียอี้ลูบที่หูของเซวียเซ่าและพูดเบาๆ ว่า “แต่ถ้าเป็นงานแต่งงานของฉัน ฉันจะต้องเชิญนายแน่นอน ส่วนนายก็ต้องมาและหาคำอวยพรที่ดีที่สุดมาให้ฉันด้วย” 

 

 

เซวียเซ่าพูดว่า เรื่องนี้สำหรับผู้ชายแล้วก็โหดร้ายเหมือนกันนั่นแหละ 

 

 

ทันใดนั้นสวี่เจียอี้ก็พูดว่าไม่กลับไปเหรอ ที่ที่เป็นของนายน่ะ 

 

 

เซวียเซ่ามองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ปลอดโปร่งในเวลานี้แล้วก็พยักหน้าเงียบๆ บอกว่าจะกลับแล้ว 

 

 

เขายังไม่ได้ถามว่าทำไมครั้งนั้นเธอถึงหายไปโดยไม่ส่งข่าวอะไรเลย 

 

 

เพราะเขารู้สึกว่ามันไม่จำเป็นแล้ว 

 

 

สวี่เจียอี้พูดว่าจะซื้อเค้กเลี้ยงเธออีกสักชิ้นไหม 

 

 

เซวียเซ่าพูดว่าได้ 

 

 

เริ่มต้นและสิ้นสุด 

 

 

… 

 

 

… 

 

 

คืนนั้นเซวียเซ่านอนหลับสบาย ฝันหวาน ในความฝันเหมือนว่าเขาได้ย้อนไปเมื่ออายุสิบเจ็ดปี ได้จูงมือเด็กสาวคนนั้นนั่งดูพระอาทิตย์ตกอยู่ที่ชายหาด 

 

 

ต่อมาเซวียเซ่าก็ไม่เจอสวี่เจียอี้อีกเลย เธอหายไปอย่างไร้ร่องรอย แต่แตกต่างจากครั้งก่อนเพราะครั้งนี้เธอไม่ได้พูดว่าจะไปไหน 

 

 

เมื่อเขาถามที่โต๊ะประชาสัมพันธ์ ทางนั้นก็บอกว่าคุณคนนั้นเช็คเอาท์ออกตั้งแต่เช้าแล้ว 

 

 

เซวียเซ่ารู้สึกว่าสิ้นสุดตรงนี้ก็ไม่เลว 

 

 

หากทำตามแผนการ พรุ่งนี้ก็ต้องจากไปแล้ว แต่งานกลับต้องล่าช้าเพราะเขาสองวัน ดังนั้นวันนี้เขาจึงต้องพบแขกจนแทบไม่มีเวลาพักเลย 

 

 

พบเจอนักธุรกิจท้องถิ่น ประชุมเล็กกับคนในบริษัทสาขา จากนั้นก็รับคำสั่งสอนจากหัวหน้าบริษัท ใครใช้ให้เขาทำงานล่าช้าไปสองวันล่ะ 

 

 

 “พรุ่งนี้ฉันก็กลับถึงแล้ว น่าจะประมาณเที่ยง หลายวันมานี้เหนื่อยไหม” ตอนเย็นเขาโทรหาวั่นจื่อซาน คุยกันนานมากจนเธอแทบหลับไปกับเขา 

 

 

ก็เหมือนกันกับตอนที่เขาชงกาแฟโดยไม่รู้ตัว การโทรศัพท์คุยกับผู้หญิงคนนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งในการใช้ชีวิตของเขาไปแล้ว  

 

 

และเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในชีวิตต่อไปนี้ของเขาด้วย 

 

 

เขาก้าวขึ้นไปบนเครื่องบินขากลับ 

 

 

… 

 

 

… 

 

 

วั่นจื่อซานมารับเขาที่สนามบิน เขาเหนื่อยมากแต่ก็รู้สึกดีกับการกลับมา 

 

 

 “เป็นอะไร ออกไปทำงานนอกสถานที่หลายวันกลับมามีแต่รอยยิ้มดูสนุกมากเลย” 

 

 

เซวียเซ่าครุ่นคิดก่อนพูดว่า “เพราะรู้สึกเหมือนจะรักเธอมากขึ้น” 

 

 

วั่นจื่อซานชะงัก กลอกตาใส่เซวียเซ่า อารมณ์ดีมากแต่ปากกลับพูดว่า “อย่าหยุดคุยอยู่ที่นี่เลย ชุดแต่งงานแก้เสร็จหมดแล้ว ขากลับก็เลยไปเอาก่อนกลับบ้านเถอะ นายยังทนได้ไหม”  

 

 

 “ได้ ฉันนอนหลับบนรถสักหน่อยก็ได้แล้ว” เซวียเซ่าหยักไหล่และพูดว่า “แต่ทำไมทางนี้ถึงยังมีฝนตกอีก ไม่หยุดเลยเหรอ” 

 

 

 “ช่วงกลางหยุดตกไปวันนึง จากนั้นก็ตกไม่หยุดเลย” วั่นจื่อซานพูด “แต่พยากรณ์อากาศบอกว่าหลังวันถัดไปท้องฟ้าจะโปร่งแล้ว” 

 

 

เซวียเซ่าหิ้วกระเป๋าขึ้นไปไว้บนรถ วั่นจื่อซานขับรถ ไม่นานเขาก็หลับไป จากสนามบินไปถึงร้านขายชุดแต่งงานนั้นใช้เวลาหนึ่งชั่วโมง 

 

 

เซวียเซ่าหลับสนิทมาก หลังถึงแล้ววั่นจื่อซานถึงปลุกเขาให้ตื่น เซวียเซ่าหาวและเปิดประตูลงจากรถ ทันใดนั้นก็ตะลึงมองไปยังฝั่งตรงกันข้ามของถนน “ต้นไม้ต้นนี้…ยังไม่ถูกตัดงั้นเหรอ” 

 

 

วั่นจื่อซานมองเขาแวบหนึ่ง คิดและพูดว่า “คงเป็นเพราะฝนตกไม่หยุด ทำงานไม่สะดวกเลยปล่อยเอาไว้ก่อน แต่ใบไม้ร่วงตั้งเยอะก็ไม่ทำความสะอาดเสียหน่อย” 

 

 

เซวียเซ่ามองเหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง ป้ายขอพรที่ห้อยอยู่บนต้นไม้แห่งความปรารถนาก็ตกลงมาไม่น้อย…ไม่รู้ว่าในป้ายขอพรที่ตกลงมาเหล่านี้จะมีป้ายขอพรของเขาในตอนนั้นหรือเปล่า 

 

 

 “ยังอาลัยอาวรณ์อยู่เหรอ” วั่นจื่อซานมองเป็นเพื่อนเขาอยู่ครู่หนึ่ง 

 

 

เซวียเซ่าส่ายหน้า จากนั้นก็จูงมือของวั่นจื่อซานเดินเข้าไปในร้านขายชุดแต่งงาน 

 

 

มีป้ายขอพรอีกป้ายหนึ่งถูกลมพัดปลิวตกลงมาและมีใบไม้ตกลงมาอีกไม่น้อย 

 

 

… 

 

 

… 

 

 

กลางคืนตอนอยู่ที่บ้าน เซวียเซ่าพูดกับวั่นจื่อซานว่าจะลงไปซื้อของหน่อย พวกเขาอยู่ด้วยกันมานานแล้ว 

 

 

เซวียเซ่าจำไม่ได้แล้วว่าร้านลึกลับแห่งนั้นอยู่ตรงไหน แต่ยังจำตำแหน่งคราวๆ ได้ แต่ครั้งนี้เหมือนว่าเขาไม่ต้องเปลืองแรงตามหาแล้ว 

 

 

ยังคงสะบัดน้ำฝนบนร่มอยู่ที่หน้าประตูร้าน 

 

 

ครั้งนั้นเพราะยุ่งวุ่นวายและตกใจหวาดกลัวจึงไม่ได้ดูสถานที่แห่งนี้อย่างละเอียด ครั้งนี้ก็เหมือนจะไม่มีอะไรแตกต่างไปจากเดิม 

 

 

เจ้าของสมาคมที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ยังคงให้ความรู้สึกสงบแก่เขาเช่นเดิม 

 

 

เซวียเซ่าพยักหน้าให้เจ้าของสมาคมลั่ว จากนั้นก็ถอนหายใจ ถอดสร้อยรูปจันทร์เสี้ยวออกมาวางบนโต๊ะหน้าเจ้าของสมาคมลั่ว 

 

 

ลั่วชิวพูดว่า “คุณลูกค้า ผมบอกแล้วไงว่าไม่ต้องรีบ” 

 

 

เซวียเซ่าสูดหายใจเข้าลึกๆ และพูดว่า “ผมไม่อยากให้มีคนไปโผล่ที่บ้านของผมอย่างกะทันหัน ผมน่ะไม่เป็นไรหรอก…แต่ถ้าทำให้จื่อซานตกใจคงไม่ดีแน่” 

 

 

 “ต้องขออภัยกับการปรากฏตัวครั้งก่อนด้วย” ลั่วชิวกล่าวขอโทษ 

 

 

เซวียเซ่าส่ายหน้า…เขารู้สึกว่าเจ้าของสมาคมลึกลับเป็นคนที่ทำอะไรก็รู้จักขอบเขตดีเสมอ 

 

 

ลั่วชิวเก็บเอาสร้อยรูปจันทร์เสี้ยวมาเล่น ทันใดนั้นก็พูดว่า “คุณเซวีย ดูเหมือนคุณจะผ่านประสบการณ์การเดินทางที่ไม่เลวเลย หาคำตอบเจอหรือยัง” 

 

 

 “เป็นความลับ” 

 

 

เซวียเซ่ายิ้มต่อหน้าเจ้าของสมาคม…เป็นยิ้มอย่างโล่งใจ 

 

 

 “งั้นก็ดีแล้ว” 

 

 

เจ้าของสมาคมลั่วพยักหน้า ยืนขึ้นและพูดว่า “หากมีความปรารถนาอีกก็ยินดีต้อนรับลูกค้ากลับมาอีกครั้งนะครับ” 

 

 

เซวียเซ่ารู้สึกยำเกรงพลังลึกลับเช่นนี้มาก เขาไม่พูดอะไรอีก เพียงแต่รีบพยักหน้าและหยิบร่มออกไปจากสถานที่แห่งนี้ทันที 

 

 

… 

 

 

หลังจากออกมาแล้วฝนกลับหยุด อากาศยามค่ำคืนปลอดโปร่ง เซวียเซ่าสูดลมหายใจเข้าลึกๆ รู้สึกถึงพลังชีวิต 

 

 

แต่เขาก็ไม่ได้กลับบ้านในทันที แต่ขับรถอ้อมไปตรงหน้าต้นไม้แห่งความปรารถนา 

 

 

เซวียเซ่ายื่นมือออกไปลูบต้นไม้อยู่พักใหญ่ จากนั้นก็ถอนหายใจยาวและปีนขึ้นไป 

 

 

เขาอาศัยความทรงจำหาจุดที่เคยปีนขึ้นมา 

 

 

นี่เป็นจุดที่เขาเคยห้อยป้ายขอพรให้กับเด็กสาวคนนั้น ตอนแรกเพราะกลัวว่ามันจะถูกลมพัดไปดังนั้นจึงไม่ได้โยนเหมือนคนอื่น แต่ใช้การมัดเอา 

 

 

ดังนั้นป้ายขอพรจึงอยู่จนถึงตอนนี้ 

 

 

เซวียเซ่าคลายมันออกและปีนลงมา 

 

 

เขาไม่คิดจะเอาป้ายของพรนี้ไปด้วย แต่กลับงัดกระเบื้องบนทางเท้าใต้ต้นไม้ออกและขุดเป็นหลุม ก่อนใส่กล่องบรรจุป้ายขอพรแล้วฝังลงไป 

 

 

ฝังความทรงจำในอดีตของเขาไว้ที่นี่ 

 

 

แต่เซวียเซ่าก็ยังรู้สึกเสียใจอยู่นิดหน่อย เขาลุกขึ้นยืนและปัดดินบนมือ…เขาบอกลาตนเองในอดีตแล้วแต่ยังไม่ทันได้กล่าวลาสวี่เจียอี้เลย 

 

 

บางที…เธออาจจะไม่อยากได้ยิน ดังนั้นถึงได้จากไปโดยไม่พูดอะไรแบบนั้น 

 

 

 “ก็ไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่ยังไม่โต” เซวียเซ่าถอนหายใจ จากนั้นก็ขับรถจากไป 

 

 

… 

 

 

ลาก่อน ความฝันสิบเอ็ดปีที่แหลกสลาย 

 

 

ลาก่อน ตัวฉันในอดีต