เสียงโห่ร้องทำให้หวงฝู่ซวิ่นสั่นไหว เขาไม่คิดว่าฝูงชนจะมีปฏิกิริยาตอบสนองมากเช่นนี้ โดยเฉพาะฉู่ เหวินเจี๋ย แม่ทัพที่ไม่มีผู้ใดเหมือนในรัฐอู่เองก็มีปฏิกิริยาเช่นนี้

 

 

ทันใดนั้นหวงฝู่ซวิ่นก็เลือดลมพลุ่งพล่านขึ้น จนเขาอยากจะพูดอะไรออกมา แต่ก็นึกถึงคำพูดเตือนของเหล่าผู้สำเร็จราชการ ‘ไท่จื่อกล่าวจบก็ควรหยุดได้แล้ว กล่าวมากไปกว่านี้ไม่ได้เด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ’

 

 

ดังนั้นเขาจึงแสดงรอยยิ้มที่อบอุ่นออกมา และแสร้งกล่าวแก่ฝูงชนว่า “ท่านแม่ทัพลุกขึ้นเถอะ ทุกท่านลุกขึ้นเถอะ”

 

 

หลังคำกล่าวขอบพระทัยจบลง ฉู่เหวินเจี๋ยก็นำฝูงชนลุกขึ้น

 

 

หวงฝู่ซวิ่นโบกมือ ประกาศด้วยรอยยิ้ม “พิธีจัดหาคู่ เริ่มต้นขึ้นในบัดนี้”

 

 

ฝูงชนต่างพากันส่งเสียงโห่ร้อง

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยก้าวไปข้างหน้า แสดงความเคารพกล่าวแก่หวงฝู่ซวิ่นว่า “ฝ่าบาท เชิญเสด็จไปพักในศาลาว่าการก่อนพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

แท้จริงแล้วหวงฝู่ซวิ่นมีความสนใจต่อการจัดหาคู่อย่างมาก แต่เขาย่อมรู้ดีว่า ถ้าเขาอยู่ที่นี่ หนุ่มสาวที่มาเข้าร่วมการจัดหาคู่อาจไม่สามารถเข้าร่วมอย่างเป็นธรรมชาติได้ เขาจึงพยักหน้าช้าๆ และหันหลังเดินเข้าศาลาว่าการไป

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยหันตัวกลับและแสดงความเคารพต่อหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยว “เชิญขอรับ ซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟย”

 

 

ทั้งสองก็เดินเข้าไป

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยก็เดินตามเข้าไปด้วย

 

 

แน่นอนว่าเปาชิงเหอเองก็ตามเข้าไปรินน้ำชาให้

 

 

 

 

กุนซือเป็นผู้ดำเนินขั้นตอนทั้งหมด

 

 

แบ่งทหารพิการออกเป็นหลายกลุ่ม กลุ่มละห้าคน แต่ละคนจะมีป้ายทะเบียนคนละหนึ่งอัน และให้ทุกกลุ่มเดินไปรอกลางสนาม

 

 

ส่วนบรรดาเด็กสาวที่เข้าสมัครก็ถูกแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม กลุ่มละยี่สิบคน ในมือทุกคนจะมีป้ายทะเบียน และให้เดินเข้าไปในสนาม ยืนตรงข้ามทหารห้านายนี้ ให้พวกนางเป็นผู้เลือกทหาร ถ้าพบคนที่ถูกใจ ก็ให้นำป้ายทะเบียนของส่งมอบในมือทหาร ถ้าทหารเองก็ถูกใจ ก็จะเดินเข้าไปตรงหน้าของเด็กสาว เพื่อให้นางดูอย่างละเอียด ถ้าหากเด็กสาวรู้สึกไม่ใช่ สามารถส่ายหัว นี่เป็นเพียงโอกาสเดียวเท่านั้น แต่ถ้าเด็กสาวพยักหน้าตอบตกลง ทั้งสองสามารถเดินไปที่โต๊ะด้วยกัน นำป้ายทะเบียนในมือให้กับกุนซือ เพื่อให้กุนซือทำการลงทะเบียน คู่นี้ก็ประสบความสำเร็จแล้ว และไม่ต้องหาคู่ต่อ

 

 

ถ้าทหารไม่พบคนที่ถูกใจ สามารถรอรอบถัดไป ถ้าเด็กสาวไม่มีผู้ใดถูกใจ ให้ไปรอที่สนามครู่หนึ่ง ถ้ามีทหารที่เหลือจากการคัดเลือก สามารถให้เด็กสาวมาเลือกใหม่ได้อีกครั้ง

 

 

ตอนที่เปาชิงเหอกับกุนซือปรึกษากัน ก็รู้สึกว่าเช่นนี้ไม่เป็นธรรมต่อเด็กสาว แต่จะทำเช่นไรได้ จำนวนเด็กสาวที่มาสมัครมีมากเกินไป จึงต้องใช้วิธีนี้

 

 

นับเป็นครั้งแรกที่ฝูงชนที่มาเข้าชมเห็นถึงวิธีที่ยากเช่นนี้ พวกเขาค่อยๆ ดู ดูว่าวิธีนี้จะจับคู่สำเร็จได้กี่คู่ แม้ว่าประตูทางเข้าศาลาว่าการจะมีผู้ชมหลายพันคน แต่ต่างพากันเงียบสนิท

 

 

ทหารพิการเหล่านี้แม้ว่าจะมีความบกพร่องทางร่างกาย แต่กลับเป็นคนที่มีรายได้แปดสิบอีแปะทุกวัน เพียงแค่แต่งงานกับพวกเขา ชีวิตนี้ก็ไม่ต้องกลัวอดตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่บ้านยากจนมาหลายปี และเด็กสาวที่เกือบจะถูกขายไปแล้วนั้น นี่เป็นโอกาสอันดีที่หาได้ยากยิ่ง ความพิการไม่ได้อยู่ในสายตาของพวกนางเลย หญิงสาวเกือบทั้งหมดในกลุ่มนี้ยัดป้ายทะเบียนใส่มือของทหารแต่ละนาย

 

 

ทหารที่ได้รับป้ายทะเบียนยิ้ม พวกเขาไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าชีวิตนี้จะมีโอกาสได้แต่งงานมีภรรยา ยิ่งไปกว่านั้น ก็ไม่คิดว่าจะมีเด็กสาวที่ถูกใจตนเองพร้อมกันมากมายเช่นนี้ แม้ว่าจะรู้ว่าพวกนางถูกใจที่เงินของพวกเขา พวกเขาก็ยังดีใจมาก

 

 

อันที่จริงแล้วหวงฝู่ซวิ่นรู้สึกแปลกใจกับฉากนี้ เขาที่นั่งอยู่ในศาลาว่าการ หยุดมองไปข้างนอกไม่ได้

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวคิดแล้วว่าเขาจะมีอาการเช่นนี้ นางยิ้มและส่งสัญญาณไปให้เปาชิงเหอ

 

 

เปาชิงเหอโบกมือ คนรับใช้ที่เฝ้าประตูศาลาว่าการก็รีบเปิดประตูทั้งหมดออก ให้คนที่อยู่ด้านในได้เห็นสถานการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในด้านนอก

 

 

เห็นทหารยืนอยู่ตรงหน้าเด็กสาวที่ชอบด้วยรอยยิ้มพอดิบพอดี

 

 

เด็กสาวที่ถูกเลือกก็ไม่สงวนตัวอีกต่อไป รีบพากันเดินไปที่กุนซือนั่งอยู่ ทหารที่ถูกเลือกเพิ่งจะรู้สึกตัวว่านางตอบตกลงแล้วตอนที่ลงทะเบียนชื่อของตนเอง เขายิ้มกว้าง และเดินตามมา ส่วนเด็กสาวที่ไม่ถูกเลือก สีหน้าก็แสดงออกถึงความผิดหวัง ต้องไปที่อีกด้านหนึ่งของสนามตามกฎ

 

 

กลุ่มที่หนี่งไม่มีทหารเหลือแม้แต่นายเดียว

 

 

ต่อไปเป็นการลงสนามของกลุ่มที่สอง

 

 

พอเห็นวิธีเช่นนี้ หวงฝู่ซวิ่นพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “วันนี้ข้าได้เปิดโลกอีกแล้ว ไม่คิดมาก่อนว่าจะมีการหาคู่ด้วยวิธีแบบนี้”

 

 

“คนเยอะเกินไป ถ้าให้พวกเขาเลือกเอง ต้องมีปัญหาแน่นอน และยังเป็นการเสียเวลาอีก แต่เช่นนี้มันง่ายและประจักษ์ในพริบตา สิ่งที่เหล่าทหารต้องการคือการมีครอบครัว สามารถใช้ชีวิตได้อย่างคนปกติก็เพียงพอ สิ่งที่เด็กสาวเหล่านี้ต้องการคือค่าจ้างรายวันของพวกนาง สามารถเลี้ยงจุนเจือครอบครัว ดังนั้นนี่จึงง่ายขึ้นมาก ขอเพียงแค่ทั้งสองฝ่ายถูกใจกันก็เพียงพอ”

 

 

หวงฝู่ซวิ่นเติบโตจากในพระราชวังตั้งแต่ยังเด็ก ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ เขาง่วนอยู่แต่กับการเรียน ได้รับการสั่งสอน เรียนรู้หลักการปกครองบ้านเมือง และยังต้องระวังแผนสกปรกของบรรดาองค์ชายด้วย ดังนั้นเขาจึงไม่เคยติดต่อกับชาวบ้านเลย ไม่รู้ว่าพวกเขาใช้ชีวิตอย่างไร วันนี้เห็นพวกเขาในงานจัดหาคู่ เขาถึงรู้ว่าแท้จริงแล้วชาวบ้านยากจนเหล่านี้พอใจอะไรง่ายมาก แค่พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องก็เพียงพอแล้ว

 

 

ทหารอีกกลุ่มก็พบเด็กสาวที่ดูเหมาะสมทั้งหมด เสียงโห่ร้องของฝูงชนก็ดังมากขึ้นเรื่อยๆ

 

 

หวงฝู่ซวิ่นดึงสายตากลับ หยิบถ้วยชาในมือ และจิบน้ำชาไปพลาง

 

 

เปาชิงเหอรีบไปข้างหน้า เพื่อเติมน้ำชาให้เขา

 

 

หวงฝู่ซวิ่นเพิ่งจะสังเกตเห็นเขา ภายใต้ดวงตาที่ยิ้มแย้ม เขามองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยวและถาม “ท่านใช่เปาชิงเหอหรือไม่”

 

 

เปาชิงเหอวางกาน้ำชาในมือลงบนโต๊ะเบาๆ ยกชายเสื้อขึ้นคุกเข่าลงที่พื้น “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมคือเปาชิงเหอพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“หลายปีมานี้ ท่านดูแลเป่ยเฉิงได้ไม่เลว รอข้ากลับไป จะกราบทูลเสด็จพ่อให้ประทานตำแหน่งแก่ท่าน”

 

 

เปาชิงเหอก้มหัวลงบนพื้น “ขอบพระทัยฝ่าบาท”

 

 

“ลุกขึ้นมาตอบข้าเถอะ”

 

 

เปาชิงเหอกล่าวขอบพระทัย และลุกขึ้นมา

 

 

หวงฝู่ซวิ่นจ้องมองอย่างไม่แสดงสีหน้าอารมณ์ใดๆ และถาม “ได้ยินมาว่าท่านกับซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยเป็นสหายเก่า เมื่ออยู่ชิงเหอดูแลพวกเขาไม่น้อย ด้วยเหตุนี้จะให้ตำแหน่งทางการที่ดีแก่ท่านด้วย ไม่รู้ว่าท่านอยากไปแผนกไหน”

 

 

เปาชิงเหอประหลาดใจ เงยหน้ามองหวงฝู่ซวิ่น เพิ่งรู้ตัวว่านี่เป็นกริยาที่เสียมารยาท จึงรีบก้มหัวลงทันที “ทูลฝ่าบาท ข้าน้อยอายุเริ่มมากแล้ว อยากจะเกษียณตัวเองที่เป่ยเฉิงพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

หวงฝู่ซวิ่นประหลาดใจยิ่งกว่าเขาเสียอีก ผู้คนล้วนอยากได้ตำแหน่งขุนนาง ใครไม่อยากได้ตำแหน่งสูงบ้างเล่า อยู่ต่ำกว่าหนึ่งคนแต่สูงกว่าหมื่นคน ตราบใดที่มีโอกาสก้าวหน้า ก็ไม่ควรปล่อยไป ระยะนี้เขาเองก็เคยส่งคนไปตรวจสอบอดีตของเปาชิงเหอ รู้มาว่าเขาเป็นคนของฉู่เหวินเจี๋ย และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยว แต่เพียงแค่ต้องการความเป็นส่วนตัว มีคนพยายามจะไปไกล่เกลี่ยความคิดเขา แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะปฏิเสธ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองเห็นสีหน้าของเขา และเดาความคิดของเขาออก กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใต้เท้าเปาเป็นขุนนางที่จิตใจใสสะอาด ห่วงใยประชาชน ไม่เหมาะกับราชสำนักที่มีการแก่งแย้งในที่แจ้ง ทิ่มแทงกันในที่ลับหรอกเพคะ แม้ว่าเป่ยเฉิงจะเป็นดินแดนกันดาร แต่คนที่นี่ใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่มีความกังวลจากเหล่าขุนนาง ไม่มีใครแย่งชิงอำนาจจนใช้วิธีสกปรกมาทำร้ายเขา นี่เป็นสถานที่ที่มีความสุขสำหรับใต้เท้าเปาแล้ว ฝ่าบาทมองในมุมมองของพวกเรา ถ้าหากอยากช่วยเขา ก็รอให้ถึงตอนที่เป่ยเฉิงพัฒนาขึ้นแล้ว ก็ช่วยปฏิเสธขุนนางขี้อิจฉาและต้องการให้ย้ายมาประจำการที่นี่เถิดเพคะ”

 

 

เรื่องนี้ไม่ยาก ต่อให้เป่ยเฉิงจะพัฒนาไปมากกว่านี้ แต่ก็ยังแย่ที่สุดในสี่เมือง ผู้คนส่วนใหญ่ยังมีปัญหาเรื่องปากท้อง ถ้าจะให้ร่ำรวยเหมือนสามเมืองที่เหลือ นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางที่จะมีใครมาแย่งตำแหน่งนี้ คำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นการเปิดโอกาสให้เขาเปิดบัญชีออมใจกับใต้เท้าเปา หวงฝู่ซวิ่นจะไม่รับปากได้อย่างไร เขาจึงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ข้าจดจำไว้แล้ว ก่อนที่ใต้เท้าเปาจะสละตำแหน่ง จะไม่มีใครมาแย่งตำแหน่งของเขาได้”

 

 

เปาชิงเหอมีความสุขเป็นอย่างมาก รีบกล่าวขอบคุณ “ขอบพระทัยฝ่าบาท”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มโดยไม่มีคำพูด

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยยังคงไม่แสดงออกอาการใด ราวกับว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีผลอะไรกับเขา แต่มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ว่าภายในใจเขามีความสุขเพียงใด เพื่อตามหาหวงฝู่อี้เซวียน เปาชิงเหอยอมอาศัยอยู่ที่อำเภอชิงเหอนานเป็นสิบปี พลาดโอกาสมากมายในการเลื่อนตำแหน่ง หลังกลับเมืองหลวง ตนก็อยากช่วยเขาด้วย สิ่งนี้ดีแล้ว เมื่อมีคำสัญญาของไท่จื่อ เปาชิงเหอก็สามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุข นี่เป็นสิ่งที่เขาหวังไว้ และเป็นความปรารถนาของเปาชิงเหอด้วย

 

 

เสียงโห่ร้องด้านนอกสูงกว่าเสียงคลื่นซัด ทหารทุกกลุ่มหลังจากที่ลงสนามแล้วล้วนสามารถหาหญิงสาวที่เหมาะสมได้

 

 

การหาคู่ในรอบนี้ดำเนินไปจนถึงเกือบเที่ยงวัน กุนซือถือสมุดบัญชีรายชื่อเดินไปเดินมาอย่างมีความสุข รายงานด้วยความเคารพ “เรียนฝ่าบาท ซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟย ท่านแม่ทัพ ท่านผู้ใหญ่ การจัดหาคู่ในวันนี้เป็นไปได้อย่างสมบูรณ์ เหล่าทหารทั้งหมดพบหญิงสาวที่พวกเขาชอบ นี่คือสมุดบัญชีรายชื่อของพวกเขาพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เปาชิงเหอไปข้างหน้า รับมันไว้ และวางไว้ตรงหน้าหวงฝู่ซวิ่น

 

 

หวงฝู่ซวิ่นเปิดไม่กี่หน้าพอเป็นพิธี พยักหน้า “ดีมาก”

 

 

กุนซือมีความสุขมาก เขาถาม “แล้วขั้นตอนต่อไปต้องทำเช่นไรต่อพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เปาชิงเหอมองไปยังเมิ่งเชี่ยนโยว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวออกคำสั่ง “ให้ทุกคนแยกย้ายกลับไป ส่วนทหารและหญิงสาวที่จับคู่กันแล้ว สามารถพูดคุยเรื่องการแต่งงานเป็นการส่วนตัวได้”

 

 

กุนซือขานรับ ยิ้มและเดินออกไป และประกาศสิ้นสุดพิธีจัดหาคู่

 

 

ผู้คนจากไปอย่างน่าเสียดาย มีเพียงหญิงสาวและทหารในสนามเท่านั้นที่ยังคงถามกันและกันถึงเรื่องราวของอีกฝ่าย ถ้าจะให้พูดอย่างถูกต้อง คือเหล่าทหารมากกว่าที่ถามถึงเรื่องราวของหญิงสาว

 

 

เปาชิงเหอโน้มตัว “ฝ่าบาท ซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟย ท่านแม่ทัพ เกือบเที่ยงวันแล้ว ขอเชิญไปเสวยที่เรือนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยโบกมือลา “พิธีจัดหาคู่สิ้นสุดลงแล้ว ข้าก็ต้องพาพลทหารชั้นยอดกลับค่ายทหารแล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตอนที่พวกเรามา เสด็จแม่ก็กังวลว่าจะมีใครชนข้าเข้า ไม่วางใจเป็นอย่างมาก พวกข้าก็ต้องรีบกลับจวนแล้ว เพื่อให้เสด็จแม่สบายใจ”

 

 

หวงฝู่ซวิ่นกล่าว “ข้าเองก็มีธุระ ต้องกลับไปแล้วล่ะ” พูดจบ จึงยืนขึ้น

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยว รวมถึงฉู่เหวินเจี๋ยก็ยืนขึ้น

 

 

พวกเขาเดินตามรัชทายาทไป เปาชิงเหอก็เดินตามหลังพวกเขาไป

 

 

หวงฝู่ซวิ่นออกจากศาลาว่าการ ขึ้นรถม้าของตน และกลับวังไป

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวก็ขึ้นรถม้าของตนกลับจวน

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยดูรถม้าพวกเขาจากไปไกลๆ ถึงจะพาทหารชั้นยอดกลับค่ายทหารนอกเมือง

 

 

ตอนเช้าตื่นเช้าเกินไป เมิ่งเชี่ยนโยวจึงเหนื่อยล้า พอขึ้นรถม้า รอหวงฝู่อี้เซวียนนั่งเสร็จ ก็โน้มตัวในอ้อมแขนของเขา

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนยื่นมือโอบนางไว้ ถามด้วยเสียงนุ่มนวล “เหนื่อยหรือ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวค่อยๆ พยักหน้า “ข้าอยากพักสักประเดี๋ยว”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนหยิบผ้านวมบางๆ ห่มไว้บนกายนาง “พักผ่อนก่อนเถอะ กลับถึงจวนแล้วข้าจะปลุกเจ้าเอง”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับ นางหลับตาลง เตรียมจะงีบหลับสักครู่ มีเสียงโหยหวนของขันทีดังอยู่ข้างนอก “ซื่อจื่อ องค์รัชทายาทตรัสสั่งว่าจะคอยพวกท่านที่ทางแยกข้างหน้า วันนี้ฝ่าบาทจะไปเสวยพระกระยาหารที่จวนกับพวกท่าน”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวลืมตาขึ้น มองไปที่หวงฝู่อี้เซวียน

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว ถึงจะตอบกลับ “ทราบแล้ว”

 

 

ขันทีจึงถอยกลับไป

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่หลับต่อ “นี่ตงกงเลี้ยงเขาไม่ไหวแล้วหรือ เกือบจะเที่ยงวันแล้วยังจะไปกินข้าวที่จวนอ๋องของพวกเรา”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนยิ้ม “เป็นเพราะช่วงนี้ถูกเสด็จลุงบังคับให้อ่านฎีกา คงทนต่อไปไม่ไหวแล้ว จึงฉวยโอกาสอู้จาการออกมาทรงงานในครั้งนี้ไปที่จวนอ๋องหนึ่งวัน เขานี่ช่างหน้าหนาเสียจริง แม้ว่าเราจะไม่ตอบตกลงเขาก็จะไป เช่นนั้นก็สนองเขาเถิด”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้า และหลับตาอีกครั้ง

 

 

ที่ทางแยกข้างหน้านั้นเอง มีรถม้ารออยู่ที่นั่น รถม้าหรูหราพร้อมด้วยกองเกียรติยศ และยังมีขันทีและนางกำนัลที่มากับเขาล้วนหายไป ดูแล้วหวงฝู่ซวิ่นเตรียมพร้อมที่จะไปจวนอ๋องแต่แรกแล้ว

 

 

เห็นรถม้าของทั้งสองผ่านมา หวงฝู่ซวิ่นที่เปิดม่านรอทั้งสองก็กล่าวอย่างไม่พอใจ “ที่พวกเจ้าสองคนชักช้าโอ้เอ้ เพราะไม่ต้อนรับข้าไปจวนอ๋องใช่หรือไม่”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวที่กำลังจะหลับ ถูกเขารบกวน ไม่พอใจอย่างมาก พูดอย่างไม่เกรงใจ ตอบกลับตรงไปตรงมา “เข้าใจเช่นนั้นแล้วก็ดี”

 

 

หวงฝู่ซวิ่นสำลัก

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนจูบหน้าผากของนางอย่างผ่อนคลาย เขาก้มหน้าและหัวเราะ

 

 

หวงฝู่ซวิ่นหูดี ได้ยินเสียงหัวเราะของเขา ดึงม่านลงพร้อมกับถอนหายใจด้วยความโกรธ และมองด้วยสายตาที่ไม่พอใจ

 

 

รอรถม้าของทั้งคู่ผ่านไปแล้ว รถม้าของหวงฝู่ซวิ่นจึงตามหลังไป

 

 

พอถึงจวนอ๋อง ทั้งสามลงจากรถม้าพร้อมกัน หวงฝู่ซวิ่นอยู่ด้านหน้า หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ด้านหลัง พวกเขาเดินเข้าไปในจวน

 

 

บ่าวรับใช้รีบออกมาต้อนรับด้วยความเคารพ “องค์รัชทายาท”

 

 

“ไปรายงานต่อเสด็จอา วันนี้ข้าจะมาร่วมทานข้าวที่จวนด้วย”

 

 

บ่าวรับใช้ขานรับ รีบวิ่งไปรายงานต่อพระชายาฉี

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวแก่หวงฝู่อี้เซวียน “เจ้าไปอยู่เป็นเพื่อนพี่ใหญ่เถอะ เดี๋ยวข้ากลับเรือนเอง”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า และหยุดฝีเท้าลง

 

 

ชิงหลวนและจูหลีทั้งสองก็เดินมาข้างหน้า และพยุงข้างกายของเมิ่งเชี่ยนโยวคนละข้าง

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนพาหวงฝู่ซวิ่นไปทักทายพระชายาฉีในเรือนของนาง

 

 

ผู้เป็นนายและผู้เป็นบ่าวเดินกลับไปที่เรือนของพวกเขา ชิงหลวนเปิดม่านออก เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะก้าวขาเดินเข้าเรือน

 

 

หวงฝู่อวี้แอบเข้ามาจากสวน เขามองไปรอบๆ ไม่เห็นหวงฝู่อี้เซวียน จึงถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ก็ต้องพูดอย่างตะกุกตะกักว่า “พะ พี่สะใภ้ใหญ่”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดฝีเท้าลงและมองไปที่เขา

 

 

หวงฝู่อวี้กลืนน้ำลาย พูดติดอ่างอีกครั้งว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าจะหนีออกจากเรือน”