บทที่ 7 บทที่ 22 ฝันคลั่ง (1)

สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด

ยังไม่ถึงเที่ยง คุกก็กลับมาถึงร้านขายเต้าหู้อีกครั้ง 

 

 

ตอนเข้ามาถึงพบว่าซานเอ๋อร์กับเสี่ยวจือล้วนแต่นั่งอยู่หน้าโต๊ะ อาหารบนโต๊ะดูอุดมสมบูรณ์กว่าวันก่อนๆ เล็กน้อย 

 

 

แต่เสี่ยวจือกลับถือช้อนและเอาแต่จ้องดูอาหารที่เต็มอยู่บนโต๊ะตลอดเวลา เห็นได้ชัดว่าหิวจนแทบทนไม่ไหวแล้ว 

 

 

เสี่ยวจือพุ่งเข้าไปหาคุก คุกไม่ได้หลบ ปล่อยให้เธอจูงมือตนเองไปที่หน้าโต๊ะ “กินข้าวๆ” 

 

 

ซานเอ๋อร์พูดขึ้นในตอนนี้ว่า “เสี่ยวจือ ลูกไปดูโทรทัศน์อยู่ทางนั้นก่อน แม่มีเรื่องจะพูดกับลุงมาร์ค” 

 

 

 “เสี่ยวจือก็อยากฟังด้วย” เสี่ยวจือยกมือขึ้น 

 

 

 “เสี่ยวจือ” ซานเอ๋อร์ถลึงตาโต 

 

 

เสี่ยวจือเบ้ปาก ถือชามข้าวเดินไปหน้าโทรทัศน์ ทั้งยังจงใจเดินเสียงดังเป็นพิเศษ ไม่หันหน้ากลับมา ซานเอ๋อร์ถอนหายใจกับผู้ชายตรงหน้าและพูดเบาๆ ว่า “คุณ…คุณหาอะไรเจอไหม”  

 

 

คุกส่ายหน้าและพูดว่า “ฉันไปถามที่ร้านขายโลหะ เขารู้ว่าใครซื้อชะแลงไป” 

 

 

 “เป็นใครเหรอ” ชั่วขณะนั้นซานเอ๋อร์ก็ตื่นเต้นขึ้นมา 

 

 

คุกกลับพูดว่า “ฉันไม่รู้จัก แต่ตอนบ่ายฉันจะแอบไปดูหน่อย” 

 

 

สำหรับเขาแล้วมันเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้เวลาทั้งเช้าและถามข้อมูลมาได้แค่นี้ ในความเป็นจริงนั้นเขายังไปที่โรงพยาบาล เพราะเมื่อคืนมีหนึ่งคนในพวกนั้นที่ถูกเขาทำร้ายอย่างหนัก ไม่สามารถหายาทาและหายเองได้ 

 

 

แต่โรงพยาบาลในเมืองไม่มีคนป่วยที่บาดเจ็บสาหัส…อย่างนั้นก็หมายความว่าคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสน่าจะถูกส่งไปที่อื่นในคืนนั้น อาจจะเป็นเมืองใกล้ๆ 

 

 

อีกอย่างโรงพยาบาลในเมืองไม่ใหญ่มาก คุกจึงพบว่าคนคนหนึ่งที่ควรจะนอนอยู่ในโรงพยาบาลนั้นกลับหายดีและออกจากโรงพยาบาลไปแล้ว 

 

 

 “ตอนที่ฉันไม่อยู่ มีใครมาหรือเปล่า” คุกถาม 

 

 

ซานเอ๋อร์ส่ายหน้าและพูดว่า “เอาอย่างนี้ คุณ…คุณนั่งลงกินข้าวก่อนเถอะ ใกล้จะบ่ายแล้ว” 

 

 

คุกพยักหน้า ยื่นมือออกไปคีบอาหารบางส่วนใส่ชาม “ฉันจะกลับไปกินในห้อง” 

 

 

ซานเอ๋อร์พูดขึ้นว่า “อยู่ที่นี่…ได้ไหม” 

 

 

คุกพูดว่า “ไม่จำเป็น” 

 

 

ซานเอ๋อร์ไม่พูดอะไรอีก เพียงนั่งลงอย่างปวดใจ ตักข้าวขาวเข้าปากโดยไม่คีบกับทานด้วย 

 

 

ก่อนขึ้นห้อง คุกก็พูดขึ้นในทันใดว่า “เสี่ยวจือ รับไว้สิ ซื้อมาระหว่างทาง” 

 

 

เห็นของบางอย่างลอยไปยังเสี่ยวจือ จากนั้นก็ตกลงตรงหน้าเธอ ชั่วขณะนั้นเสี่ยวจือที่แต่เดิมงอนอยู่ก็ดีใจจนยิ้มขึ้นมา “แม่ ลุงมาร์คเอาตุ๊กตาให้” 

 

 

ซานเอ๋อร์มองดูแวบหนึ่ง ทันใดนั้นก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมา ยิ้มและพูดว่า “เด็กโง่ นั่นคือพวงกุญแจ ไม่ใช่ตุ๊กตา” 

 

 

… 

 

 

ผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง คุกถึงเดินลงมาจากห้อง บอกว่าจะออกไปข้างนอกและออกไปเลย 

 

 

 “แม่คะ ทำไมวันนี้ลุงมาร์คถึงออกไปข้างนอกตลอดเลย” 

 

 

 “เขามีเรื่องต้องทำ” ซานเอ๋อร์ย่อตัวลงเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ไม่ต้องถามแล้ว เข้าใจไหม ลุงมาร์คของลูกกำลังปกป้องพวกเราอยู่” 

 

 

เสี่ยวจือครุ่นคิดครู่หนึ่ง “จริงเหรอคะ” 

 

 

 “จริงสิ” 

 

 

 “จริงเหรอๆ” 

 

 

 “จริงสิๆ” 

 

 

 “เหมือนกับพ่อที่ปกป้องเสี่ยวจือกับแม่ใช่ไหม” 

 

 

ซานเอ๋อร์เพียงลูบหัวเสี่ยวจือ ทันใดนั้นก็เลิกแขนเสื้อขึ้นมาและพูดว่า “วันนี้ไม่ต้องไปสถานรับเลี้ยงแล้ว แม่ก็จะไม่เปิดร้าน พวกเรามาช่วยกันทำกับข้าวอร่อยๆ รอลุงมาร์คกลับมาดีไหม” 

 

 

 “ดีค่ะ ครั้งก่อนที่แม่ป่วยเสี่ยวจือต้มโจ๊กได้แล้ว” 

 

 

ซานเอ๋อร์ยิ้มบอกว่าเสี่ยวจือเป็นเด็กดี…ไม่รู้ว่าเริ่มต้นอยากรอคอยใครคนหนึ่งกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ มีอารมณ์อยากทำอาหารที่หลากหลายหน่อยรอเขากลับมากิน 

 

 

ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น แต่ว่าเป็นประตูหลัง ที่ซานเอ๋อร์รู้ก็คือมาร์คมักจะเข้าด้านหลังทุกครั้ง…ประตูหลัง เธอส่ายหน้าอย่างรุนแรง รู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าว 

 

 

 “กลับมาเร็วขนาดนี้เลยเหรอ หรือลืมของ” 

 

 

 “ลุงมาร์คกลับมาเหรอคะ เสี่ยวจือจะไปเปิดประตู” 

 

 

 “นี่ เสี่ยวจืออย่าเดินเร็วขนาดนั้นสิ เสี่ยวจือ…จริงๆ เลยเด็กคนนี้” 

 

 

… 

 

 

… 

 

 

เป็นเรื่องง่ายที่จะหารูในผนังเก่า คุกสะกิดเท้ากระโดดเล็กน้อยก็สามารถเข้าไปในลานหลังบ้านของคนอื่นได้แล้ว 

 

 

เมื่อเท้าเหยียบพื้นก็ยังไม่ส่งเสียง 

 

 

ตามคำพูดของเจ้าของร้านขายโลหะทำให้คุกสามารถหาบ้านของคนที่ซื้อชะแลงได้อย่างง่ายดาย คนชั่วคนนี้อาศัยอยู่เพียงลำพัง ดังนั้นคุกจึงปีนกำแพงเข้ามาเลย 

 

 

แต่เขากลับไม่พบคนอยู่ที่นี่ มีเพียงร่องรอยว่ามีคนอยู่ที่นี่ 

 

 

 “ไม่อยู่…หรือจะไปรักษาบาดแผลที่อื่นจริงๆ” 

 

 

แต่คุกก็ไม่แน่ใจว่าว่าคนคนนี้จะเป็นคนที่บาดเจ็บหนักที่สุดเมื่อวานหรือไม่ ดังนั้นเขาจะต้องไปดูที่บ้านของอีกสามคนถึงจะแน่ใจได้ 

 

 

เขามาเร็วไปเร็วไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้เลย 

 

 

คุกเริ่มพบว่าตนเองแปลกประหลาด วิธีการใช้ไม้หาบ ทักษะการปีนกำแพง และการสืบค้นเรื่องราว…เรื่องเหล่านี้ดูคุ้นเคยกับเขามาก 

 

 

 “ฉันเป็นใครกันแน่…” 

 

 

อีกครั้งที่เขารู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังพุ่งออกมาจากหัวของเขา แต่ไม่รู้ว่าทำไมมันกลับขาดไปอีกเล็กน้อยตลอด 

 

 

เหมือนความคิดมหาศาลถูกปิดกั้น เขาลูบของบางอย่างในกระเป๋ากางเกงของตนเองโดยไม่รู้ตัว เป็นกิ๊บที่เขาซื้อมาจากแผงของหญิงชรา 

 

 

จะให้หรือไม่ให้ดีกลายเป็นการปะทะกันระหว่างอารมณ์และเหตุผล จนถึงในตอนนี้ก็ยังไม่ได้ผลลัพธ์ 

 

 

ระหว่างที่ครุ่นคิดและค้นหาไปด้วยทำให้เวลาผ่านไปจนเกือบถึงเย็นอย่างรวดเร็ว คุกได้ยินจากเพื่อนบ้านละแวกใกล้เคียงว่าผู้ชายคนนั้นมักจะไปมั่วสุมอยู่กับใครจากนั้นก็ไปตามบ้านของผู้ชายพวกนั้น 

 

 

เหมือนแทบไม่ได้อะไรเลย…เขารู้เพียงว่าวันนี้มีสองคนที่ไม่อยู่บ้านทั้งวัน และมีสองคนที่ออกจากบ้านไปแล้วตั้งแต่เช้า 

 

 

เบาะแสที่ดูมีประโยชน์เพียงเบาะแสเดียวก็คือ…ผู้ชายทั้งสี่คนนี้สนิทกับจางคุน อีกทั้งยังเรียกเขาว่าลูกพี่ 

 

 

สุดท้ายเขาก็ไปดูรอบบ้านของจางคุนและก็ไม่พบคนอยู่ในนั้น 

 

 

 “อย่างน้อยก็จำกัดขอบเขตได้แล้ว” 

 

 

แม้แต่ตัวคุกเองก็สัมผัสได้ว่า…ภายในดวงตาฉายแววสังหารอันน่ากลัวออกมา ตอนนี้ภายในหัวของเขาเกิดความคิดขึ้นมาว่า การแก้ปัญหาที่ดีที่สุดก็คือทำให้มันหายไปตลอดกาล… 

 

 

คุกฉวยโอกาสช่วงเย็นที่คนน้อยเดินอ้อมตามตรอกรอบบ้านซานเอ๋อร์ จากนั้นถึงหันกลับไปหน้าประตูหลังร้านขายเต้าหู้ เขามั่นใจแล้วว่าในละแวกนั้นไม่มีคนที่น่าสงสัย…แค่ต้องรอดูว่าคืนนี้จะมีใครมาอีกไหม  

 

 

ขณะที่กำลังครุ่นคิด คุกก็ขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างฉับพลันและหยุดอยู่ที่หน้าประตูหลัง 

 

 

เขายื่นมือออกไปผลักประตูเบาๆ…เพียงเบาๆ ประตูก็เปิดออก ไม่ได้ล็อก คุกเงยหน้าขึ้นมาในทันใด และพุ่งตัวเข้าไปในลานหลังบ้านเหมือนเสือชีต้า 

 

 

ที่ลานหลังบ้าน ไม่รู้ว่ากระถางล้มลงตั้งแต่เมื่อไหร่ เหมือนจะมีร่องรอยของการดิ้นรนและยังมี…รองเท้าข้างหนึ่ง 

 

 

รองเท้าของเสี่ยวจือ 

 

 

คุกเก็บขึ้นมา ออกแรงบีบเล็กน้อย นัยน์ตาฉายแววเย็นยะเยือก เห็นอักษรสีแดงแถวหนึ่งถูกเขียนไว้บนกำแพง 

 

 

… 

 

 

… 

 

 

ที่นี่เป็นโรงสีแห่งหนึ่งนอกเมือง ด้านข้างยังมีกังหันวิดน้ำเก่าแก่อยู่อันหนึ่ง 

 

 

จางคุนกับลูกน้องสองคนของเขากำลังมองผู้หญิงและเด็กหญิงที่ถูกมัดอยู่ที่นี่…ไม่รู้ว่าตอนนี้จางคุนที่ดวงตาเต็มไปด้วยความชั่วร้ายกำลังคิดอะไรอยู่ 

 

 

 “ลูกพี่ พี่อยากจัดการสักหน่อยก่อนไหม” ลูกน้องกระซิบข้างหูจางคุน “พวกเราสองคนจะออกไปเฝ้าข้างนอก รอเจ้าต่างชาติคนนั้นมาแล้วเห็นว่าผู้หญิงของตัวเองถูกย่ำยีจะไม่โมโหอีกเหรอ ฮ่าๆ” 

 

 

นัยน์ตาของจางคุนเปลี่ยนเป็นน่ากลัวและเกิดความปราถนาขึ้นมาเล็กน้อย เขาพูดขึ้นในทันใดว่า “พวกนายสองคน ออกไปก่อน” 

 

 

 “รับทราบ” 

 

 

เสียงเปิดและปิดประตูดังขึ้น 

 

 

ซานเอ๋อร์ที่ถูกมัดมือไพล่หลังและปิดตาอยู่บนพื้นหวาดกลัวจนตัวสั่นขึ้นมา…ลูกสาวที่อยู่ข้างๆ ก็ร้องไห้ไม่หยุด ร้องเรียกหาแม่ 

 

 

 “แก…พวกแกจะทำอะไร ปล่อยฉันนะ ปล่อยฉัน สารเลว…ปล่อยนะ…เดรัจฉาน” 

 

 

จางคุนคล้ายกับกลายเป็นหมาบ้าขึ้นคร่อมบนตัวซานเอ๋อร์ ใบหน้าดูบ้าคลั่ง “ทำไมเธอถึงไม่ชอบฉัน ทำไม ฉันยกให้เธอเป็นผู้หญิงของฉันตลอด ไม่เคยใช้กำลังกับเธอ แต่เธอกลับไม่สนใจฉัน แต่กลับไปมีอะไรกับเจ้าต่างชาตินั่น เธอมัน…นังแพศยา แพศยา นังแพศยา” 

 

 

เขาใช้สองมือบีบคอผู้หญิงที่เขาต้องการครอบครองมาโดยตลอด “ฉันจะฆ่าเธอให้ตายซะ” 

 

 

แค่ก…แค่ก 

 

 

 “แม่คะ แม่ แม่ แง” 

 

 

เสี่ยวจือร้องไห้เสียงดังขึ้นมา